พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 496


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๙๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมซึ่งเป็นอนัตตา มีอยู่ตลอดเวลา ธรรมที่เป็นอัตตาไม่มี นอกจากความเห็นผิด มี แต่สิ่งที่เป็นอนัตตาก็ยังคงเป็นอนัตตา จะเปลี่ยนไปตามความเห็นผิดไม่ได้ เวลาที่กำลังค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ว่า เป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา คุณสุกัญญาไม่ต้องไปทำอะไร เพราะมีความเข้าใจว่า ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ว่าธรรมทุกอย่างขณะนี้ที่มีเกิดแล้วแน่นอน ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งเกิด ความจริงก็ต้องดับไปด้วย ไม่มีใครสามารถไปคิดถึงการดับไปของสภาพธรรมในขณะนี้

    ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงประจักษ์ความจริง และทรงแสดงความจริง แต่เมื่อปัญญาขณะนี้กำลังเริ่มฟัง ไม่ต้องไปคิดถึงว่า แล้วจะประจักษ์อย่างไร เมื่อไรจะประจักษ์ เพราะทั้งหมดคือความเห็นถูก มีตั้งแต่เริ่มฟัง และความเห็นถูกหรือปัญญาก็จะเจริญขึ้น เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะได้มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ทั้งๆ ที่สภาพธรรมขณะนี้ก็เป็นอนัตตา แต่ไม่เห็นมีใคร จะรู้ว่าสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดในขณะนี้ว่า เป็นอนัตตา

    แต่การฟังมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น จะทำให้การเข้าใจธรรมมากขึ้น จนกระทั่งแม้ธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ตามปกติ ก็สามารถที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะซึ่งมีลักษณะเฉพาะตน อย่างเห็นเป็นอย่างหนึ่ง เสียงเป็นอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังให้เข้าใจ นั่นคือปัญญาเจริญขึ้น ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วย ไม่ต้องไปนั่งถามว่า แล้วสติที่เกิดกับปัญญา หรือปัญญาที่เกิดพร้อมสติ เป็นอย่างไร นั่นคือไม่ได้เข้าใจธรรม มีแต่ชื่อแล้วสงสัย เพราะไม่รู้ทั้งลักษณะของสติ ไม่รู้ทั้งลักษณะของปัญญา และไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร และไม่รู้ว่า ปัญญาไม่ใช่สติ และธรรมที่ปรากฏในขณะที่ปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็มีอยู่ทุกขณะ

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่นี้ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ขณะที่จิตเห็นเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง แล้วความเข้าใจที่รู้ว่า สิ่งนี้มีจริง ก็คือปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจตามที่กล่าวว่า สิ่งนี้มีจริงๆ แล้วสิ่งที่มีจริงนี่เองไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ แล้วมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง คือ เห็น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเห็น กำลังเห็นด้วย เพื่อให้ถึงความเข้าใจความเป็นอนัตตา แต่นี่อัตตา ตัวตน กำลังพยายามทุกอย่าง แทนที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ก็จะเห็นความลึก ความหนาแน่นของความเป็นตัวตน ฟังเข้าใจ แล้วก็มีสภาพธรรมปรากฏตลอด เพราะสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ดับ แล้วสภาพธรรมอื่นก็เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น จะไม่ขาดสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเลย แต่ว่ายังไม่มีความเข้าใจว่า เป็นอนัตตา ยังไม่มีความเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นธรรม จนกระทั่งถึงขณะที่สภาพธรรมที่สติกำลังเกิด ก็จะรู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นธรรม แล้วก็ละความเป็นเรา เพราะรู้ว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้ว พอเราศึกษาก็รู้ว่า สภาพธรรมมีจริงในชีวิตประจำวัน แต่พอศึกษาก็อาศัยชื่อ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของสภาพธรรมใดก็ต้องมีชื่อทั้งนั้น เหมือนกับว่า เวลาสิ่งที่ปรากฏหรือเกิดขึ้นเราก็ต้องใส่ชื่อ พอใส่ชื่อแล้ว นอกจากใส่ชื่อในสภาพธรรมนั้น เราก็ยังนึกถึงชื่อ แล้วไปหาสภาพธรรม อันนี้คือเรื่องจริง

    ท่านอาจารย์ เรื่องจริงของคุณสุกัญญาว่า ไม่ว่าสภาพธรรมใดเกิดต้องใส่ชื่อ ใช่หรือไม่ ใส่ชื่อเห็นหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น ใส่ชื่อเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คือจริงๆ เห็นมีจริง แต่ถ้าไม่เรียก อาจารย์ก็ไม่รู้ว่า สุเห็น

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เห็นต้องเรียก เห็นแล้ว ไม่ได้เรียก คุณสุกัญญาบอกว่า ธรรมเกิดแล้วต้องใส่ชื่อ แข็ง คุณสุกัญญาใส่ชื่อหรือเปล่า เสียง เกิดแล้ว ใส่ชื่อหรือเปล่า ไปใส่ชื่อทำไม เข้าใจลักษณะนั้น เป็นธรรม ซึ่งไม่ต้องเรียกชื่อเลย ขณะนี้ ก็เป็นธรรมแต่ละลักษณะ แต่ที่ต้องพูดถึงชื่อ เพราะจะให้เข้าใจว่า หมายความถึงสภาพธรรมอะไร จำเป็นต้องใช้คำที่จะให้เข้าใจว่า สภาพธรรมนั้นๆ เป็นอย่างไรๆ ก็ต้องใช้คำให้เข้าใจ แต่ตัวธรรมจริงๆ จะต้องไปเรียกชื่อทำไม อย่างนั่งอยู่อย่างนี้ จะต้องไปเรียกชื่ออะไร เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน เสียงก็มี เสียงจากไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ จะต้องไปนั่งเรียกอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวก็หมายถึง จะต้องเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง อย่างเดียว คือ ปัญญาเจริญขึ้น เพราะขณะนั้นก็มีสติเกิดร่วมด้วย แต่ลักษณะของสติไม่ปรากฏ เพราะอะไร สภาพธรรมจะปรากฏเพียงทีละหนึ่งอย่าง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเพราะมีจิตเห็น แต่ก็ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตาของสิ่งที่ปรากฏ และจิตเห็น

    กว่าจะถึงความเข้าใจจริงๆ นานหรือไม่ หรือพอฟังก็เข้าใจได้เลย นานมาก แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ พอเห็นรู้เลย เหมือนกับคุณสุกัญญาเห็นแล้วรู้ว่า เห็นอะไร นานไหม

    ผู้ฟัง ไม่นาน ชั่วครู่เดียว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ทันทีที่ปรากฏก็รู้เลย จะเห็นความต่างของอวิชชากับวิชชา

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่อยากจะทำ อยากจะอะไรต่างๆ ในส่วนนี้อาจารย์บอกว่าไม่ต้องทำอะไร แต่ในการเข้าใจสภาพความเป็นอนัตตา อยู่ที่ความเข้าใจ ความเข้าใจก็คงมีลำดับของการเข้าใจ คือ เข้าใจลำดับต้นๆ ทุกคนก็ต้องคิดนึก อย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เราฟังธรรม เพื่อจะรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เพราะก่อนที่จะฟัง ก็เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น สามารถที่จะทนให้พิสูจน์รู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า ไม่ต้องทำอะไร ก็เริ่มตั้งแต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดแล้ว จึงเห็น ใครทำอะไร

    ผู้ฟัง ไม่มีใครทำอะไร

    ท่านอาจารย์ คิดเกิดแล้ว ใครทำอะไร

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีใครทำอะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จนกว่าจะรู้ว่า ทั้งหมดเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คือหมายความว่า ต้องเข้าใจจนกว่าจะรู้ว่า ทั้งหมดเป็นธรรม แค่นี้ก็เป็นขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่า การสอบถามหรือความไม่เข้าใจบางครั้งก็มีอยู่ การทำไม่ได้หมายความว่า สอบถามหรืออะไรทั้งสิ้น แต่การสอบถามขยายความเพื่อให้เข้าใจว่า มีเหตุผลต่างๆ กัน ชื่อที่เกี่ยวข้องกัน

    ท่านอาจารย์ เวลาสนทนา และสอบถาม เพื่อจะรู้ความละเอียดของสภาพธรรมนั้นๆ ที่เข้าใจแล้ว ไม่ใช่หมายความว่า เราฟังแล้ว ฟังแล้ว แล้วก็ถามว่า ที่เราเข้าใจถูกไหม นั่นไม่ใช่ความเข้าใจเลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งฟังแล้วเข้าใจ และถามเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งนั้นละเอียดยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแล้ว ที่เข้าใจนี่ถูกหรือเปล่า อย่างนั้นก็ชัดเจนว่า ไม่ได้เข้าใจจึงถาม แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ใครจะเปลี่ยนความเข้าใจที่ถูกต้องให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เช่น ทุกอย่างเป็นธรรม เริ่มต้นอย่างนี้ เพราะว่ามีจริงขณะนี้ และเป็นธรรมเพราะอะไร เพราะไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง ไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย จะไปบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้

    นี่คือการเข้าใจความหมายของธรรม ซึ่งมีจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงคำที่ใช้ แล้วเราก็ไปดูคำแปลว่า คำนี้หมายความว่าอะไร โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงตัวธรรมจริงๆ มี และเป็นธรรมจริงๆ ด้วย และก็มีความเข้าใจว่า ที่กล่าวว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นมีลักษณะที่ใครก็ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ สักอย่างเดียว

    ผู้ฟัง พูดถึงคำว่า พิจารณา กับ ปัญญาเข้าใจสภาพธรรมชัดเจนว่า ขณะนี้มีธรรมเกิดขึ้น เช่น แข็งก็ไม่ต้องเรียกชื่อ อย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้น ความเข้าใจ จะเข้าใจไปถึงลักษณะของความเป็นอนัตตา ก็เพราะว่าความเข้าใจที่ทราบว่า แข็งนั้น ก็คือแข็ง ตรงนี้พิจารณาได้ไหม หรือพิจารณาอย่างไร หรือความเข้าใจเกิดขึ้นจากการสะสม การพัฒนาสภาพความเข้าใจ ที่ทราบว่า สิ่งนั้นคือแข็งเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม มีเหตุที่จะทำให้ได้เข้าใจ เพราะกล่าวถึงสัจจะ คือความจริง ทุกอย่างที่ทรงแสดง ทรงแสดงถึงความจริงของสภาพธรรมที่เป็นจริงตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่ใช่หมายความว่า ให้ใครไปทำ แต่ให้เข้าใจจริงๆ เช่น ขณะนี้ทุกท่านที่มานั่งฟังธรรม ทำไมไม่ไปที่อื่น ใช่หรือไม่ มีเหตุมีปัจจัย จะต้องให้บอกไหมว่า เพราะสะสมมาที่มีศรัทธาที่จะฟัง เพราะฉะนั้น ก็มีศรัทธาที่จะมา และฟัง และการฟังก็ฟังสิ่งที่จริง ที่สัตบุรุษ หรือกัลยาณมิตรที่สูงที่สุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหวังดีต่อสัตว์โลกทุกประการ ที่จะให้มีความเข้าใจถูก เห็นถูก ได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้น มีเหตุแล้ว แล้วจะต้องมานั่งบอกว่า เพราะเหตุว่ามีศรัทธามาแล้ว และอยู่ในประเทศที่สมควร ได้คบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรม ได้พิจารณา เป็นความเข้าใจ ก็กำลังเป็นเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น แสดงธรรมตามความเป็นจริงให้เข้าใจว่า ไม่มีเราเลย แต่ทั้งหมด แม้บัดนี้ก็ต้องมีเหตุที่ได้สะสมมาแล้วนั่นเอง เพื่อให้เข้าใจความเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องทราบวัตถุประสงค์ จุดประสงค์แม้ของการทรงแสดงธรรม ก็เพื่อให้คนอื่นได้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้เช่นเดียวกับพระองค์

    เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกในความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เวลาฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ถ้าวันนี้ฟังเข้าใจ ต่อไปมาฟังอีกหรือเปล่า เห็นไหม แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ รู้ว่า ฟังแล้วก็ไม่สามารถทำให้เข้าใจธรรม คือ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้ จะฟังอีกไหม นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคนก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า เมื่อมีศรัทธา มีปัญญา ก็เจริญขึ้น โดยที่ศรัทธาก็เพิ่มขึ้น ปัญญาก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยไม่ต้องไปทำอะไร แต่เพราะเหตุว่า มีการฟัง และเข้าใจ ให้เห็นความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วเป็นเราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ หาวิธีต่างๆ นั่นคือไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็หยุดที่นั่น ไม่มีการเข้าใจต่อไปได้เลยว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะว่าตัวตนทำด้วยความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า การยึดถือสภาพธรรมเพราะไม่รู้ นานแสนนาน ยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีความติดข้องอยู่ในจิต เจตสิกทั้งหลายเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต อยู่ในจิต หรือเกิดในจิตนั่นเอง ไม่ได้ออกไปนอกจิตเลย

    เพราะฉะนั้น เมื่อจิต และเจตสิกดับ สิ่งที่เกิดแล้ว หมดไปแล้ว อยู่ที่ไหน หายไปเลย ก็ไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ หมดไปแล้ว แต่เพราะเหตุว่าเป็นปัจจัยให้นามธรรมคือ จิต และเจตสิกขณะต่อไปเกิดตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

    เพราะฉะนั้น ปัจจัยทั้งหมดก็ยังคงสะสมอยู่ในจิตต่อไปเรื่อยๆ เป็นทั้ง "อาสยะ และอนุสยะ" รวมเป็น "อาสยานุสยะ" คือ สะสมทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี ถ้าทางฝ่ายไม่ดีที่เราใช้คำว่า “อนุสัย” ก็สามารถดับหมดเป็นสมุจเฉทได้ แต่ต้องรู้ถึงความติดแน่น ลึก นานของอนุสัยว่า จะหมดไปได้ ด้วยเราไปทำหรือ เพียงได้ฟังแล้วเราไปทำ อนุสัยจะหมดได้ไหม หรือว่า การที่อนุสัยจะหมดไปได้ก็เพราะเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ที่จะทำให้ความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมค่อยๆ หมดไป แต่จะนานสักแค่ไหน เพราะว่าเราสะสมมานานมาก

    ที่พิสูจน์ได้ ขณะนี้ทุกคนบอกได้ว่า เห็นอะไร ใช่ไหม เห็นคน แต่ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแล้ว เพราะสติสัมปชัญญะสามารถระลึก คือ รู้ และเข้าใจลักษณะต่างๆ ซึ่งต่างอย่างรวดเร็วมาก แต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่า แต่ละลักษณะเป็นธรรมที่หลากหลายมาก และรวดเร็วมาก ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะเห็นว่า เป็นอนัตตา อันนี้ลืมไม่ได้เลย ไม่ใช่เห็นแล้วเราจะทำ นั่นผิดทันที เพื่อสะสมความเห็นว่า เป็นธรรมเพิ่มขึ้นๆ จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ และเมื่อปัญญาเจริญขึ้น ธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงของธรรม คือ เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ไม่ใช่มีใครสามารถที่จะไปทำแล้วก็คิดว่า โดยรวดเร็วก็สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมได้ แล้วอนุสัยกิเลสอยู่ที่ไหน ไม่ได้ดับไปเลย เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ได้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ขณะนี้ เหมือนมีสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้แล้วยังไม่ดับ ถูกต้องไหม แล้วลองคิดดูว่า นี่คือความจริง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงอย่างนี้เลย พระองค์ทรงแสดงธรรมที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ถ้าเป็นเพียงเรื่องศีล ใครก็แสดงได้ ถ้าเป็นเรื่องความสงบของจิต ใครก็สามารถกล่าวได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถแสดงได้ ผู้ใดก็ตามที่แสดงธรรม ผู้นั้นกล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วทั้งหมด ไม่คลาดเคลื่อนเลย ใครกล่าวคลาดเคลื่อน คนนั้นผิด จะถูกไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นความจริงซึ่งไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

    การฟังธรรม ปกติ ขณะนี้มีธรรม แล้วการฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ จะน้อยจะมาก ไม่ใช่เรื่องใครคนใดคนหนึ่งจะกะเกณฑ์ หรือพยายามด้วยความเป็นเรา เพราะปัญญาไม่มี แล้วจะไปทำอย่างไรให้มี ไม่ใช่ไปทำปัญญาให้เกิดขึ้นได้ แต่แม้แต่เพียงเพิ่งได้ยินได้ฟัง ก็เป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับคนที่ยังไม่เคยฟังธรรม แล้วจะรู้ว่า ธรรมจริงๆ ก็คือสิ่งที่มีทุกๆ ขณะนั่นเอง และค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้น

    ถ้าเรามีความเข้าใจธรรม และรู้ว่า จุดประสงค์ของการฟังธรรมก็เพื่อเริ่มลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง แล้วจึงจะเริ่มเข้าใจข้อความอื่นๆ ในพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น รวมทั้งอรรถกถาด้วย ก็จะทำให้รู้ได้ว่า จุดประสงค์ของการทรงแสดงธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อที่จะให้เข้าถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าปัญญาของใครสามารถที่จะเข้าใจโดยลักษณะไหน อย่างไร มากน้อยต่างๆ กันไป ก็แล้วแต่การสะสม ก็คงจะไม่มีใครที่จะกล่าวได้ว่า เข้าใจพระไตรปิฎกตลอด พร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมด แล้วแต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้ว เข้าใจ

    สิ่งที่สำคัญที่สุดของความเข้าใจนั้น คือ รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา อันนี้กว่าจะถึงความมั่นคงที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่ไปติดข้อง หรือไม่ใช่ตัวตนที่พยายามแยกเรื่องราวต่างๆ หรือพยายามอย่างโน้นอย่างนี้ มีรูปแบบต่างๆ ที่จะทำ หรือทำให้เข้าใจขึ้น บางคนอาจจะบอกว่า หาทางลัด หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดไม่เกื้อกูลต่อการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้ารู้อย่างนี้ส่วนใดที่ฟังแล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางวิทยุ หรือหนังสือ หรือคำของท่านผู้ใดก็ตาม เข้าใจสิ่งที่เป็นอนัตตา เพราะได้รู้ความละเอียดของสภาพธรรมนั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะรู้ตัวจริงของธรรมนั้นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญญาต้องอบรมเจริญระดับไหน แม้ขั้นฟังก็มากมายเหลือเกินที่จะเข้าใจได้ทั้งหมด ทั้งอรรถกถา ทั้งพระไตรปิฎก โดยละเอียดยิ่ง ก็เป็นไปไม่ได้ แต่เท่าที่จะเป็นไปได้ ก็คือว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ปรากฏให้รู้ให้เข้าใจได้ โดยจากการฟัง ทำให้สามารถที่จะถึงลักษณะที่เป็นธรรม เพราะขณะนี้พูดเรื่องจิต ไม่สงสัยเลย แต่มีใครรู้จิตหนึ่งจิตใดในขณะนี้บ้าง เพราะจิตมากมายที่เรียน ๘๙ ประเภท จิตเห็น จิตได้ยิน จิตคิดนึก อะไรต่างๆ พูดถึงทั้งหมดเลย แต่รู้จิตหนึ่งจิตใดในขณะนี้บ้าง

    นี่คือแสดงให้เห็นประโยชน์ว่า ฟังเพื่อจะรู้ความจริง รู้จักตัวจริงของสภาพธรรมเมื่อไร นั่นคือปัญญาเจริญขึ้น มิฉะนั้นเราก็ไปจะไปติดอยู่กับสิ่งที่มีความเป็นตัวตน และมีความกังวล มีความสงสัย มีความอยากรู้ ทั้งๆ ที่ลักษณะของสภาพธรรมก็ปรากฏ แต่ใครก็ตามอ่านพระสูตรจบแล้ว จำเป็นไหมที่จะต้องเข้าใจไปทั้งหมดทุกหัวข้อ เพราะว่าทรงแสดงโดยนัยหลากหลาย พระสูตรอาจจะแสดงเพียง ๗ อีกพระสูตรหนึ่งแสดง ๘ อีกพระสูตรหนึ่งแสดง ๑๐ ก็ได้ จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องไปจำทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟังมา เพราะการได้ยินได้ฟังไม่น้อยเลย ยากที่จะจำได้ แต่ถ้าสามารถที่จะรู้ว่าเป็นอนัตตา แล้วลักษณะนั้นมีจริงๆ และกำลังปรากฏด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดๆ โดยอุปมาใดๆ ก็สามารถเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากการเข้าใจว่า ธรรม คือ ขณะนี้ปรากฏ แล้วก็ฟังเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อย่างพูดเรื่องสัญญาเจตสิก ขณะนี้มีไหม ก็มี ก็ตอบได้ แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรทั้งหมด ตอบได้ทุกเรื่อง แต่ไม่เคยรู้จัก

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ศึกษาเพื่อเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แล้วจะสามารถเข้าใจยิ่งขึ้น ในข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถา แต่ถ้าจะไม่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน แล้วก็คิดว่า จะไปเข้าใจพระไตรปิฎก และอรรถกถาโดยละเอียดยิ่งขึ้น ก็เป็นไปไม่ได้

    สภาพธรรมแท้ๆ มี ไม่รู้เลย เหมือนคนนอนหลับ ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ถึงแม้ว่าจะตื่น ที่เราใช้คำว่า “ตื่น” แต่ไม่รู้สิ่งที่ปรากฎก็เหมือนหลับ เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ กี่ภพกี่ชาติ เมื่อไม่รู้ ก็คือหลับในสังสารวัฏ แต่ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด สิ่งที่มีจริงๆ จะรู้ได้เลย และถ้าสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐานสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมหลากหลายขึ้น บ่อยขึ้น ก็จะรู้เลยว่า เมื่อสักครู่นี้ไม่มีสาระ เหมือนหลับ เพราะว่ามีลักษณะที่ปรากฏเมื่อสติกำลังรู้เท่านั้น แต่ถ้าสติไม่เกิด แม้สิ่งนั้นปรากฏก็หมดแล้วอย่างรวดเร็ว

    อ.กุลวิไล ดูเหมือนว่าในชีวิตประจำวัน การไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏมีมาก เพราะฉะนั้นหลับมากกว่าตื่น เราฟังธรรมในขณะนี้เอง สภาพธรรมเล็กน้อยเท่านั้น แต่เราไม่สามารถเข้าถึงตัวจริงของธรรมได้ แล้วความหลงลืมสติก็มาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    14 ม.ค. 2567