พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 511


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๑๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    อ.คำปั่น ขอสนทนาเรื่องการฟังธรรม การฟังธรรมเป็นเครื่องลับปัญญา เพราะเหตุว่าเราได้สั่งสมความไม่รู้ สั่งสมอวิชชามาเป็นอย่างมากในสังสารวัฏที่ผ่านมา ซึ่งนับภพนับชาติไม่ถ้วนเลย การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมเป็นโอกาสที่ดี แต่พระธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก เห็นได้ยาก ลึกซึ้ง ซึ่งถ้าเปรียบกับการเห็นวัตถุสิ่งของ ซึ่งในพระไตรปิฎกท่านก็อุปมาไว้ว่า เห็นยาก เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดถูกปิดบังด้วยภูเขา

    ธรรมยาก เพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคจะเสด็จอุบัติขึ้น และถึง ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่น้อยเลย ฉะนั้น การมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นเครื่องเพิ่มพูนความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับด้วย จากความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น

    และจะต้องเป็นผู้ตรงในการศึกษาธรรม ตรงในที่นี้ก็คือ เป็นผู้ที่ยังไม่รู้ ก็ศึกษาเพื่อจะรู้ตามความเป็นจริง และยังตรงอีกว่า ยังมีอกุศล ยังมีกิเลสประการต่างๆ มากมาย ก็ต้องศึกษาเพื่อขัดเกลากิเลส ซึ่งมีมากในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า สำคัญที่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงฟังแล้วไพเราะ ไม่ใช่เพียงเฉพาะในความไพเราะของพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง อย่างเช่นที่ได้สนทนากันประจำเรื่องความโกรธ พระผู้มีพระภาคตรัสเป็นประจำว่า ฆ่าความโกรธเสียได้ย่อมอยู่เป็นสุข คำนี้ไพเราะมาก แต่ลืมเวลาโกรธ ซึ่งทำให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตน แต่ว่าเกิดขึ้นเพราะได้เหตุได้ปัจจัย

    ฉะนั้น การศึกษาพระธรรมจึงเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ค่อยๆ ฟัง วันนี้ก็ได้ยินเรื่องปัจจัยอีกแล้ว ก็ไม่ต้องลำบากใจ ค่อยๆ ฟังไปตามลำดับ เพราะว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมทั้งหมดเลย พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม แม้ว่าจะทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ ของธาตุ หรือแม้กระทั่งปัจจัยก็ตาม ก็แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งไม่มีสัตว์ บุคคล ไม่มีตัวตนเลย ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา หาความเป็นตัวตน หาความเป็นเราในสภาพธรรมไม่ได้เลย ก็เป็นกำลังใจให้ผู้ศึกษาธรรมทุกๆ ท่าน ศึกษาธรรมร่วมกัน

    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความที่ว่า ฟังแล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตาม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้คุณอรววรณน้อม ขณะนี้กำลังน้อมด้วยความเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม อะไรก็น้อมไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราพอฟังแล้ว ต่อไปนี้จะน้อมจะประพฤติปฏิบัติตาม นั่นแค่คิด แต่ถ้ารู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วปัจจัยที่ได้สะสมมาทำให้สิ่งนี้เกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แม้แต่จิต ธาตุรู้ สภาพรู้ก็เป็นธรรม ไม่ใช่ใคร หรือไม่ใช่ของใคร ก็ทำให้ขณะนั้นละความติดข้องหรือไม่ หรือว่าละโทสะไหม อย่างเช่นโกรธคนอื่น วันนี้โกรธใครบ้างหรือยัง ไม่โกรธ ก็ขุ่นใจบ้างไหม มีแน่นอนใช่ไหม ดีหรือไม่ดี ไม่ดี ก็ตอบได้ ตอบได้จริงๆ แล้วให้ไม่มีได้ไหม ไม่ได้ แต่ความ (นาทีที่ ๔.๔๗ ใช้คำว่า "การ") เริ่มเข้าใจธรรม ขณะนั้นกำลังน้อมที่จะเห็นโทษว่า จริงๆ แล้วขณะที่กำลังโกรธ ลืมจิต เพราะคิดถึงคนที่โกรธมากมายเลย นานเท่าที่ความโกรธเกิดขึ้น รู้ไหม

    ถ้าเป็นผู้มีปัญญา ขณะนั้นเห็นจิตที่โกรธว่า ขณะนั้นไม่มีคน ทุกอย่างที่ปรากฏ เพียงปรากฏชั่วขณะที่จิตคิดหรือเห็น แต่สภาพของจิตที่มีทุกขณะ ไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าจิตขณะไหนไม่ควรจะเกิดขึ้น และจิตขณะไหนควรที่จะเข้าใจถูกต้อง แล้วเป็นกุศลยิ่งขึ้น

    ถ้าเราคิดว่า เราโกรธคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นคนนั้นคนนี้ไม่มีจริงๆ แต่จิตที่กำลังโกรธเพิ่มความโกรธขึ้นทุกขณะจริงๆ ที่จะสะสมสืบต่อไป แล้วอะไรก็ละไม่ได้ นอกจากปัญญา ปัญญาของคนอื่นก็ละไม่ได้ นอกจากจิตใดสะสมอะไรมา ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เป็นการน้อมไปสู่การที่จะละอกุศล เพราะปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูก ไม่มีตัวเราที่จะไปน้อมเลย แต่ต้องเป็นการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

    โดยเฉพาะจิต เป็นธาตุที่เป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ เป็นประธาน เพราะว่าถ้าไม่มีจิต อะไรๆ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ควรรู้จริงๆ ไม่ว่าอะไรจะกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้จิตในขณะนั้นว่า เป็นอะไร แล้วน่ากลัวไหม ถ้าจิตขณะนั้นเป็นอกุศลมากๆ ก็ต้องน่ากลัว ถ้าเห็นอย่างนั้นก็จะรู้ได้ว่า ภัยใหญ่หลวงมีอยู่แล้ว เหมือนไฟแต่ละกองๆ ซึ่งมีหน้าที่อย่างเดียว คือ เผา และทำลายสภาพธรรมที่ดีงาม

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงความน่ากลัวของอกุศลจิต เพราะถ้าสะสมไปแล้วถ้ามีกำลังเมื่อไร ก็สามารถล่วงทางกาย ทางวาจาได้

    อ.ธิดารัตน์ ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่า ปัจจัยบางอย่างละเอียดเกินกว่าจะเข้าใจ แล้วยังสภาพที่ปรากฏอีก มีปัจจัยที่เราสามารถจะพอทำความเข้าใจได้บ้างหรือไม่ ในเบื้องต้น

    ท่านอาจารย์ พูดไปพูดมาก็เหมือนกับลืมจุดประสงค์ว่า ฟังธรรมเพื่ออะไร

    อ.ธิดารัตน์ เพื่อเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร

    อ.ธิดารัตน์ เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ แล้วเราก็ไปไกล ทั้งๆ ที่สภาพธรรมขณะนี้ก็ปรากฏ เพราะฉะนั้น จะฟังมากน้อยสักเท่าไร เข้าใจละเอียดขึ้นสักเท่าไร เพื่อรู้ความจริง คือ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มิฉะนั้นก็เป็นโมฆะ ว่างเปล่า เพียงแต่ชื่อที่จำในแต่ละภพแต่ละชาติ ชาตินี้จำเป็นภาษาไทย เกิดใหม่ไม่รู้ภาษาอะไร หายไปหมดเลย ภาษาไทยที่เคยจำไว้ แต่ถ้าเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งทั้งหมดที่ทรงแสดงเพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่รู้ชื่อ สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงขณะนี้ คือ ตลอดชีวิตก็จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก แต่ผ่านไปหมดเลย นานแสนนาน โดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามกฎเกณฑ์ว่า ควรจะศึกษาละเอียดแค่ไหน ฟังให้เข้าใจว่าเป็นอนัตตา ว่าเป็นธรรม จิตเป็นจิต ไม่ใช่ของใคร ขณะนี้เป็นจิตทั้งหมด แล้วก็จะค่อยๆ รู้ว่า ขณะนี้เห็นเป็นจิต ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อว่า จักขุวิญญาณทำทัสสนกิจ แต่เดี๋ยวนี้เอง ตัวจิตเป็นนามธรรมซึ่งรู้ยาก บางคนก็บอกว่า น่าคิด น่าอัศจรรย์ว่า จิตมืด เพียงแค่ได้ยินอย่างนี้ ก็เริ่มมาคิดถึงสภาพของจิตว่า จิตไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเห็นเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ไม่ใช่แน่นอน แต่มีธาตุซึ่งไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าใช้คำว่า ไม่มีรูป ต้องไม่มีรูปจริงๆ สักรูปเดียว

    ธาตุนี้เกิดขึ้นเมื่อไร รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะที่ใช้คำว่า รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏขณะนี้ คือเห็น ธาตุนี้เกิดขึ้น ตัวธาตุเองไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิต สัณฐานต่างๆ และขณะที่กำลังคิดนึก จิตคิดก็ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ว่าสามารถคิดเรื่องสิ่งที่เคยเห็นแล้ว

    ธรรมเป็นความจริงทุกกาลสมัย แต่อวิชชากั้น ไม่สามารถที่จะเห็นว่า ในขณะที่ สมมติ เพราะขณะนี้ ก็มีหลายอย่าง จะกล่าวถึงทางตาก็ฟังบ่อย ก็เปลี่ยนมาเป็นทางกาย คือ อ่อนหรือแข็งกำลังปรากฏ ขณะที่มีเฉพาะแข็งหรืออ่อนที่ปรากฏ มีธาตุที่กำลังรู้อย่างอื่น มีหรือไม่ เห็นไหม ตอบง่ายที่สุด คือ ไม่มี

    เพราะฉะนั้น ความจริงต้องไม่มี จนถึงที่สุดคือ การประจักษ์แจ้ง ก็คือ ต้องไม่มี นั่นคือเหมือนเดิม คือ สิ่งที่มีปรากฏตามปกติธรรมดา ไม่เปลี่ยนเลย แต่ปัญญาต่างหากที่เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งสภาพธรรมสามารถปรากฏตามความเป็นจริงว่า ขณะใดที่แข็งปรากฏ ไม่มีเรา ไม่มีรูปใดๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่มีโลก ไม่มีต้นไม้ ไม่มีใบหญ้า อะไรเลยทั้งสิ้น ขณะนั้นเฉพาะแข็งปรากฏกับธาตุที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง

    นี่คือความหมายของอนัตตา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะถือว่าเป็นเรา หรือสำคัญได้ว่าเป็นเรา เพราะว่าแข็งเกิดปรากฏแล้วดับด้วย และธาตุรู้ก็เป็นธาตุที่กำลังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ธาตุรู้จะรู้อื่นไม่ได้เลยนอกจากแข็ง อย่างอื่นไม่มีเลย

    นี่คือความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ จิตที่รู้แข็งมืดไหม มืดตลอดกาล จิตไม่มีทางที่จะสว่างไสวเป็นรูปนั้นรูปนี้ได้เลย และคิดดูว่า ในความที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากธาตุรู้ จะมืดกว่าเวลาที่เราบอกว่ามืดหรือเปล่า ต้องมืดกว่า นั่นคือ ธาตุที่เกิดขึ้นทำกิจการงานทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ขณะไหนก็ตาม เป็นเพียงธาตุรู้เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่ปรากฏที่จะเป็นรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น แต่การปรากฏของธาตุนี้ก็คือ มีสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อไร แสดงให้รู้ว่า มีธาตุนั้นกำลังทำหน้าที่รู้สิ่งนั้น เช่น พอเสียงปรากฏ ธาตุรู้มี ถ้าธาตุรู้ไม่กำลังได้ยินเสียง เสียงปรากฏไม่ได้เลย

    แม้เสียงที่ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น มืดไหม และจิตที่รู้มืดไหม แข็งมืดไหม เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่สว่าง ก็คือ สิ่งที่ปรากฏได้ทางตา เราบอกได้ใช่ไหม แสงพระอาทิตย์ หรือว่าแสงจันทร์ ถ้าพูดถึงแสงพระอาทิตย์สว่างไหม แต่เราไม่รู้ว่า สว่างนี่เป็นแสงของพระอาทิตย์ใช่ไหม แต่ปรากฏทางตา พูดถึงแสงจันทร์ สว่างไหม สว่าง แล้วแม้ขณะที่แสงจันทร์ปรากฏ ตัวพระจันทร์ไม่ได้ปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีแสง จะทำให้สามารถปรากฏทางตาได้ไหม ฉันใด สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป ๔ ไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม จะไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโอชา คือรูปที่สามารถจะทำให้รูปอื่นเกิดได้ด้วย

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นถึงความละเอียด แม้สิ่งที่ปรากฏ หรือสิ่งที่เห็น ได้ยิน เป็นต้น ไม่รู้อะไรสักอย่างตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่เมื่อมีแสงพระอาทิตย์ทำให้สว่างปรากฏทางตา เมื่อธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ มี เพราะว่าพระอาทิตย์มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ หรือเปล่า ต้องมี ถ้าไม่มี จะมีแสงที่สว่างอย่างนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ ฉันใด

    สิ่งที่เราเห็นว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ก็มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เมื่อมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา ไม่ได้ปรากฏเลย ปรากฏเฉพาะแข็ง เมื่อกระทบกับกายปสาท แต่ปรากฏให้เห็นเมื่อกระทบกับจักขุปสาท แสดงว่า ที่นี่มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท เช่นเดียวกับรูปอื่นๆ ที่เห็น แต่ว่าเป็นคนละรูป คือรูปที่ปรากฏทางตาไม่ใช่แข็ง แต่รูปนี้มี เมื่อมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเพียงธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป คิดถึงเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่ง มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ละเอียดยิบ เป็นแต่ละกลาปที่ละเอียดมาก ฉันใด โลกทั้งโลกต่างกันไหม ที่เราคิดว่าเป็นโลก เป็นทวีปต่างๆ ก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นหมด แต่ละรูปที่ปรากฏจึงเป็นแต่ละโลกซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มิฉะนั้นก็มีเรา แล้วก็มีโลก แล้วก็มีภูมิประเทศต่างๆ มีอะไรต่างๆ แต่ความจริงก็คือปรากฏเมื่อจิตเกิดขึ้น และกำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้

    อ.กุลวิไล ช่วงนี้เป็นช่วงการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่ความเข้าใจสภาพธรรมที่เป็นจริง แม้แต่คำพูดนี้ แต่สิ่งที่เป็นจริงคืออะไร

    ท่านอาจารย์ เป็นจริง ก็คือเดี๋ยวนี้ แน่นอนที่สุด เมื่อวานนี้หมดไปแล้ว พอมาถึงวันนี้ มีอะไรที่ต่างกันบ้างหรือเปล่าจากเมื่อวาน หมดไปแล้ว ไม่เหลือเลย แล้วถึงวันนี้ และขณะนี้ มีอะไรที่ต่างกันบ้างไหม ต่างหรือไม่ต่าง ต่าง แม้แต่ขณะก่อนเพียงสั้นๆ นิดเดียว ก็ต่างกับขณะนี้ แล้วอะไรบ้างที่เราพอจะสังเกตได้ว่า ต่างกัน เกือบจะไม่มีเลย แต่ความจริงแต่ละขณะต่างกันไป เพิ่มความวิจิตรของขณะที่จะเกิดต่อทีละขณะยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวเลย เมื่อวานนี้กิเลสมีไหม มี พอถึงวันนี้หายไปไหนหรือเปล่า กิเลสที่มีเมื่อวานนี้ ไม่ได้หายไปเลย สะสมสืบต่อ เพราะฉะนั้น กิเลสวันนี้ต้องมากกว่าเมื่อวานนี้ ใช่ไหม แล้วก็เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ แต่กุศลก็มี

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นธาตุที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับ เป็นไปตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าไม่รู้ ก็จะไม่มีใครเห็นเลยว่า แต่ละขณะที่ธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็สืบต่อ ได้เพิ่มปัจจัยหลากหลายที่จะทำให้แต่ละขณะของธรรม คือจิต และเจตสิกที่จะเกิดต่อกันไปต่างกัน อย่างคนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย ก็มีการเพิ่มอกุศลทุกประเภท และมีกุศลบ้างเล็กๆ น้อยๆ สะสมเป็นอัธยาศัยของแต่ละคน ซึ่งถ้าไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก จะไม่รู้การสะสมที่แต่ละคนสะสมมา

    แม้แต่ขณะนี้ ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่เหมือนกับว่าเราจะทำ เราจะคิด เราจะพูดต่างๆ โดยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแม้ขณะนี้ ธรรมเกิดแล้วแต่ละขณะตามเหตุตามปัจจัย เมื่อไรรู้อย่างนี้ ขณะนี้ ก็คือเป็นปกติอย่างนี้ ธรรมเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย และขณะต่อไปก็เป็นปกติเหมือนอย่างนี้ แต่ธรรมที่เกิดขณะนี้ ก็เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย จะชอบหรือไม่ชอบ บังคับไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย

    ด้วยเหตุนี้ กว่าจะรู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นธรรม แม้ว่าเราจะได้ยินได้ฟังบ่อย แต่ก็เห็นว่า การสะสมของความไม่รู้ และอกุศลทั้งหลายก็ปิดบังไม่ให้เห็นว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง แม้วิริยะ ความเพียร ซึ่งเพียรในเรื่องอื่นๆ มามากมายในสังสารวัฏ ก็จะเป็นสัมมัปปธาน ความเพียรชอบที่จะละอกุศล ที่จะเจริญกุศล เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเป็นชาติไหนก็ตาม ภพไหนก็ตาม ซึ่งการปรุงแต่งของจิตจากชาตินี้ไปสู่ชาตินั้นๆ ก็จะทำให้จิต เจตสิกเกิดขึ้นวิจิตรตามการสะสม โดยที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เป็นอย่างนั้นได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ก็คือ ฟังเพื่อเมื่อไรจะเข้าใจถูกต้องในธรรมที่เกิด และปรากฎในขณะนี้ มีจริงๆ ปรากฏจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีการฟังแล้วเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่เพื่อจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดเลยทั้งสิ้น แต่ไม่ลืมว่า ขณะนี้มีธรรมที่ปรากฏ ฟังเพื่อที่จะรู้ความจริงของธรรมที่ปรากฏ ซึ่งสามารถจะรู้ได้เพราะกำลังปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้ เราอาจจะฟังแล้วคิดเรื่องอื่น พอจบเรื่องการฟังแล้ว ก็มีปัจจัยให้จิต เจตสิกเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม แต่การสะสมการ (นาทีที่ ๒๐.๑๑ ความ) เข้าใจจะไม่หายไปไหน ก็จะทำให้ค่อยๆ สามารถเกิดรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    นี่เป็นความละเอียดของธรรม ซึ่งต้องใช้คำเพื่อที่จะอธิบาย แต่เวลาที่สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องเรียกชื่อเลย เช่น เวลาที่สติเกิด รู้ตรงลักษณะแล้ว ขณะนี้ มีลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งปรากฏ แล้วสติก็รู้ตรงลักษณะซึ่งเป็นลักษณะที่เฉพาะสภาพธรรมนั้น ไม่ปะปนกับสภาพธรรมอื่น อย่างแข็ง ถ้าสติเกิดรู้ตรงแข็ง ลักษณะแข็ง เราก็จะใช้คำอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่า ต่างกับขณะที่ไม่ได้รู้ลักษณะแข็ง แม้ว่าแข็งปรากฏเป็นแข็ง ก็ไม่ได้เข้าใจ และไม่รู้ในสภาพที่แข็ง แต่พอมีสติเกิด ก็ตรงแข็งนั่นเอง ไม่ได้จากตรงแข็งไปคิดตรงอื่นอย่างรวดเร็ว หรือว่าไม่สนใจในแข็งที่กำลังปรากฏ แต่มีลักษณะของแข็ง ซึ่งขณะนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็คือไม่มีเรา

    เริ่มเห็นความไม่มีเรา ไม่ใช่เราของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเกิดแล้วปรากฏจริงๆ แต่ว่าความสนใจ ความใส่ใจ หรือยังไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมนั้น ก็ผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนเมื่อวานนี้กับวันนี้ เหมือนกับว่าไม่ต่างกันเลย แต่ความจริงแต่ละขณะก็ต่างกันไปตามเหตุตามปัจจัย

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมเพื่อเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นปัญญานั่นเอง ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจถูกแล้วจะไปรู้ความจริงของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดในขณะนี้ ปรากฏ แล้วก็ดับไปได้อย่างไร ก็คือ เป็นปกติธรรมดา แต่ว่ามีการสะสมบุญแต่ปางก่อน ที่ทำให้มีศรัทธา ที่จะฟังแล้วไตร่ตรอง และมีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น จนกว่าจะเห็นคุณของธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังธรรมที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็ไม่มีโอกาสเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามเรื่องการสะสม คือ ถ้าสภาพธรรมเป็นอนัตตา แล้วเกิดขึ้นตามเหตุ และปัจจัยของแต่ละคนๆ ที่ยังเป็นบุคคลอยู่ การสะสมสามารถทำให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาฟัง ไม่ต้องเข้าใจธรรมจะเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ถ้าสะสมเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไหม ทีละนิด เพิ่มขึ้น หรือว่าไม่มีการสะสม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    14 ม.ค. 2567