พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 499


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๙๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดง จะไม่เหมือนคำของคนอื่นที่จะกล่าวเรื่องคุณความดีต่างๆ ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบ แต่ก็ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งนั้นๆ เลย ตราบใดที่ไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม เพียงได้ยิน เสียง ดับหรือไม่ จิตที่ได้ยินเสียงดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วหลังจากที่จิตที่ได้ยินเสียงดับแล้ว จิตอะไรเกิด

    ผู้ฟัง จิตคิด

    ท่านอาจารย์ จิตนึกคิดดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า จิต จิตที่ได้ยินก็ดับ จิตที่คิดคำว่า จิต ก็ดับ จิตที่จำคำว่า จิต ก็ดับไปด้วย ขณะนั้นสัญญาที่เกิดกับจิตที่ได้ยินก็ดับไปด้วย แต่ขณะนั้นรู้อะไร รู้ลักษณะของจิตจริงๆ หรือเพียงได้ยินคำว่าจิตแล้วจำ แล้วอาจจะไปเข้าใจว่า รู้แล้วด้วย รู้จักจิตแล้ว แต่ความจริงไม่ได้รู้จักจิตเลย เพราะว่าแม้เพียงสิ่งที่หยาบกว่าจิต เพราะกำลังปรากฏให้เห็น รู้ความจริงหรือยังของสิ่งที่ปรากฏ กำลังเห็นอย่างนี้ มีสิ่งที่ปรากฏ

    พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย นอกจากสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้เห็นความเป็นอนัตตาของธรรมนั้นๆ เพราะว่าชีวิตประจำวันก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่พ้นจากจิตเห็น เห็นแล้วก็คิด คิดแล้วก็จำ จำแล้วก็เป็นเรื่องราวต่างๆ ทั้งๆ ที่ สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้วก็ไม่รู้ ก็ยังไปจำว่า มีเรื่อง มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา

    นี่แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมแม้ได้ยินคำว่า จิต แต่รู้จักจิตจริงๆ หรือยัง ต้องเป็นผู้ที่ตรง คุณหมอตอบอีกครั้งได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ตอบว่ารู้จิตจริงๆ หรือยัง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถามว่า รู้จักจิตจริงๆ หรือยัง

    ผู้ฟัง ก็รู้ แต่ไม่รู้หมด

    ท่านอาจารย์ ก็ยังมีเหลือ ที่เหลือที่ไม่รู้หมด มากหรือน้อย และที่รู้ว่าเป็นจิตน้อยหรือมาก

    ผู้ฟัง น้อย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้จริงๆ หรือ ยัง

    ผู้ฟัง ยังรู้ไม่จริง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จริง เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่เราได้ยินธรรม จากไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย แล้วก็คงจะมีจำนวนมากแม้ในครั้งพุทธกาล ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในแต่ละภพ แต่ละชาติ ซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดได้ ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้เลย แล้วเกิด แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาเกิดอีกเลยด้วย เพราะฉะนั้น มีประโยชน์หรือไม่กับการที่จะรู้จักว่า อะไรจริงในชีวิต

    ผู้ฟัง มีประโยชน์

    ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจยากใช่ไหม เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรจะเป็นสิ่งที่เป็น "ลาภานุตริยะ" ลาภที่ประเสริฐสุด ก็คือ ทุกอย่างที่เป็นกุศลที่ทำแล้ว ก็ขอให้อำนาจของกุศลนั้นเป็นปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น และไม่ใช่เข้าใจธรรมเมื่อไร ที่ไหน เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เราบอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง คิดเรื่องอื่นไปแล้ว มีใครกำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กำลังพูดเรื่องนี้ แล้วก็มีสิ่งนี้กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการสะสมความเข้าใจ ถ้าเป็นท่านพระสารีบุตรฟัง ไม่มีความสงสัยเลย เพราะกว่าจะรู้ว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เคยฟังมาแล้วนานแสนนาน แล้วก็อย่างที่เรากำลังได้ยินได้ฟัง ก็อาจจะเคยได้ฟังมาแล้วบ้าง มิฉะนั้นคงจะไม่อยู่ที่นี่ ในอดีตอาจจะโกสัมพี สาวัตถี ราชคฤห์ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ เพราะเหตุว่ามีที่อีกเยอะในสังสารวัฏที่ผ่านมา แต่ในสังสารวัฏชาตินั้นๆ มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังหรือไม่ ถ้ามีโอกาสได้ยินได้ฟังเห็นประโยชน์ ก็ยังสะสมศรัทธา เป็นปัจจัยที่ทำให้ฟังต่อไป พิจารณาต่อไป เข้าใจต่อไป และรู้ว่า การเจริญขึ้นของปัญญาไม่ใช่ ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จะกล่าวว่า ปัญญาเจริญได้ไหม ฟังมาก หลายตำรา แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปัญญาเจริญหรือเปล่า หรือแป็นแต่พียงจำเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ประโยชน์คือเพื่อละความไม่รู้ เพราะเห็นความไม่มีสาระของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ผู้ที่ตรัสรู้แล้วสามารถที่จะประจักษ์ความจริงว่า สิ่งนี้เพียงปรากฏแล้วดับหมดไม่เหลือเลย

    ผู้รู้ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมซึ่งยากแก่การที่จะรู้ความจริง ทุกคนที่ฟังจะกล่าวว่า ง่าย เป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็เป็นความจริงทุกคำ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ตรัสไม่เป็นสอง ขณะนี้สิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับด้วย สืบต่อจนกระทั่งเป็นนิมิต ของทุกอย่างที่ทำให้หลงยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา

    ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรมในชาติไหนอีกก็ตามแต่ จะพ้นจากความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้หรือไม่ ไม่ได้เลย ก็เพราะอย่างนี้ ก็เพราะไม่รู้จึงฟัง ฟังเพื่อได้เข้าใจจนสามารถประจักษ์ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือเป็นลาภอันประเสริฐ ที่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ซึ่งยากที่จะเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏว่า เป็นอนัตตา เกิดแล้วทั้งนั้น จริงหรือเปล่า

    ถ้าใครจะคิด คิดเกิดแล้ว ใครจะจำ จำเกิดแล้ว เกิดแล้วทั้งหมด โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง ไปทำให้เกิดได้ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ซึ่งความจริงของธรรมถูกปกปิดไว้ด้วยอวิชชาอย่างเดียว และโลภะซึ่งติดตามมาเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่เห็นความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะอะไร

    ขณะนี้ทุกคนกำลังคิด ถูกต้องหรือไม่ ตั้งใจจะคิดอย่างนี้หรือเปล่า บังคับให้คิดเรื่องนี้หรือเปล่า ได้ยินใช่ไหม คิดหรือเปล่าว่า เมื่อสักครู่ไม่ได้ยิน แล้วจะได้ยิน ก็เป็นธรรมที่เป็นอนัตตาทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่ง

    ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียด ความเป็นอนัตตาก็แสดงความเป็นอนัตตาตลอดทุกขณะ ทุกอย่าง แต่เมื่อปัญญาไม่เกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเห็นความเป็นอนัตตาได้ เพราะเหตุว่าอวิชชา ความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น รู้ได้เลยว่า กิเลสทั้งหมด ภพชาติทั้งหมดที่ยังจะมีต่อไป ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น จะไปฟังเรื่องอื่นดีไหม เรื่องอื่นก็คือ ธรรม แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม

    อ.กุลวิไล คุณหมอได้คำตอบแล้วใช่หรือไม่ ที่รู้จักจิตจริงหรือยัง ท่านอาจารย์ แสดงว่า ระดับของปัญญาก็แตกต่างกัน เพราะว่าจากการศึกษา เราก็จะจำเรื่องราวของจิตได้ แต่เราก็คิดว่า นี่คือสิ่งที่เรารู้แล้วว่า จิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ ต้องมีสิ่งที่จิตรู้ แต่ก็เป็นเรื่องราวของจิต แต่ไม่ใช่ขณะที่จิตกำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังธรรมเลย จะพูด จะคิด จะทำอะไร ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เลย

    อ.กุลวิไล บางคนก็บอกว่าง่าย พูดเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีอยู่แค่นี้เอง รู้แล้ว แต่รู้ของเขารู้เรื่องราว แต่ไม่รู้ตัวธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น การที่จะเห็นความเป็นธรรมแต่ละอย่าง ต้องรู้ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ธรรมลึกซึ้งไหม ปรากฏอย่างนี้ก็ไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็ลึกซึ้งแน่นอน ถ้าบอกว่า ชีวิตไม่เห็นมีอะไรเลย ธรรมก็ง่ายๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลึกซึ้งหรือไม่ ก็แสดงว่าไม่รู้จักความลึกซึ้งของธรรม เพราะไม่รู้จักธรรม จะกล่าวว่า รู้จักธรรมไม่ได้ ถ้ารู้จักธรรมเมื่อไร ลึกซึ้งเมื่อนั้น

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ไม่รู้จึงถาม ที่ท่านอาจารย์แสดงว่า เป็นของจริง เห็นขณะนี้เป็นของจริง อาจารย์ช่วยแสดงว่า เป็นของจริงตรงนี้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ขอถามว่า เห็นจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จากการศึกษา

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องจากการศึกษา ถามใครก็ได้ เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นนี่จริงหรือเปล่า ไม่ต้องไปศึกษาอะไร ตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง เห็นจริง

    ท่านอาจารย์ รู้ในสิ่งที่มีจริงหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะถามเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง จะถามว่า ที่แสดงว่า เห็นขณะนี้เป็นของจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วจริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริง แต่จะขอถามว่าจริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จริงเพราะปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่มีจิตเห็น สิ่งนี้จะปรากฏได้ไหม นี่คือจริงอย่างนี้ จริงอย่างนี้เพราะกำลังเห็น แล้วมีสิ่งที่กำลังถูกเห็น และถ้าไม่มีจิตเห็น สิ่งที่ปรากฏ จะปรากฏได้ไหม นี่คือจริงอย่างนี้ และใครไปทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ใครไปทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏได้ หรือเกิดขึ้นปรากฏ

    นี่คือความหมายของธรรม เป็นธรรมทุกอย่าง ทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะพูด จะทำ จะคิด ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จึงไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ขณะนี้มีเห็น แล้วธรรมอยู่ที่ไหน จะเอาอะไรมาเป็นธรรม ถ้าคิดว่า ธรรมเป็นอย่างอื่น ไม่ใช่เห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตา อะไรจะเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ขณะนี้เป็นธรรม แต่ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้คือ

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นจึงเป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่อื่น ขณะที่มีเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา จะมีธรรมอื่นให้รู้ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้จักธรรมว่า ขณะนี้เองเป็นธรรม จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า จิตไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่จิต เห็น ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นกำลังเห็น มีจริงๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็คือว่า ถ้าฟังเพียงเรื่องราว แม้มีเห็น ก็ไปคิดเรื่องอื่นหมดเลย ไม่รู้ลักษณะของเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงต้องไม่เว้นที่จะพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้รู้ว่า นี่เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ทราบว่า มันคืออะไร

    ท่านอาจารย์ แต่มีใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่ฟัง จะเข้าใจได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เริ่มฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าเข้าใจได้ทันที เดี๋ยวก็เป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องคอยนานเลย

    ผู้ฟัง ดิฉันก็ไปติดคำว่า ค่อยๆ ของท่านอาจารย์อีกครั้ง ค่อยๆ นี่ค่อยแค่ไหน ที่ฟังแต่ละแผ่น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อย่างนั้นหรือเปล่า มันติดตรงนี้จริงๆ ตั้งแต่ฟังทีแรก

    ท่านอาจารย์ ไมโครโฟนที่จับอยู่ มีวันที่จะแตกสลายย่อยยับไหม

    ผู้ฟัง มี ถ้าสงสัยแล้วกล้าถามก็จะถาม

    ท่านอาจารย์ เรื่องถาม ธรรมดา แต่ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อสักครู่นี้ฟังไม่เข้าใจ ฟังอีก ไม่เข้าใจอีก ฟังไปอีก ก็ไม่เข้าใจอีก จนกว่าจะเริ่มเข้าใจขึ้น นั่นคือค่อยๆ หรือเปล่า หรือต้องไปทำค่อยๆ ให้ดู เหมือนค่อยๆ เดิน ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ภาษาไทยธรรมดา เวลาที่ศึกษาธรรมแล้ว เหมือนอีกภาษาหนึ่งเลย ใช่ไหม กลายเป็นภาษาที่ใช้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ค่อยๆ เข้าใจ แสดงว่า เข้าใจทันทีทั้งหมดโดยตลอดไม่ได้แน่นอน แม้ว่าสิ่งที่ได้ยิน จริง ไม่ผิด อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ จะกล่าวว่า ไม่จริงไม่ได้ เสียงที่กำลังปรากฏก็มีจริงๆ จะกล่าวว่า ไม่จริงก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ฟัง แล้วฟังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ฟังแล้วเข้าใจทันทีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็อาจจะเป็นวันใดวันหนึ่งในแสนโกฏิกัปป์

    ท่านอาจารย์ เมื่อฟังแล้วไม่เข้าใจทันที แสดงว่าอะไร

    ผู้ฟัง ก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจไง ก็ที่ถามมาทั้งหมด จะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร จะตอบเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ถ้ามีเงินจำนวนใหญ่โตมโหฬาร ถ้าไม่ค่อยๆ เก็บทีละเล็กทีละน้อย จะเป็นจำนวนนั้นได้ไหม หรือน้ำฝนทีละหยด จะให้เต็มโอ่ง ค่อยๆ หรือเปล่า หรือไม่ใช่ค่อยๆ

    อ.กุลวิไล แสดงว่า ต้องมีวันเริ่มต้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเริ่มต้น จะไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้เลย ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นความดี ความชั่วก็เหมือนกัน ทุกอย่าง ไฟที่จะเป็นกองใหญ่ได้ ก็ต้องมีไฟที่เป็นจุดเริ่มต้น

    ผู้ฟัง จากที่ฟังท่านอาจารย์สนทนา เมื่อถามว่า รู้ความจริงขณะนี้หรือยัง ในขั้นศึกษา บางครั้งผู้ศึกษายังไม่ทราบเลยว่า รู้ความจริงขณะนี้หรือยัง ก็จะกราบเรียนถามว่า ในเมื่อผู้ศึกษายังตอบคำถามไม่ได้ว่า รู้ความจริงขณะนี้หรือยัง ยกตัวอย่าง ขออ้างถึงที่ท่านอาจารย์สนทนากับคุณหมอศรีพธูว่า รู้ความจริงขณะนี้หรือยัง ดูเหมือนว่า ผู้ศึกษาหรือพวกเรายังไม่ทราบว่า ยังไม่เข้าใจว่า เมื่อฟังแล้วรู้ความจริงหรือยัง

    คำถาม คือ ดูเหมือนการเข้าใจธรรมจะมีหลายระดับขั้น เช่น ขณะนี้พวกเรากำลังศึกษาเรื่องราวของลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ตัวธรรมที่ปรากฏจะรู้ได้ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะหรือสติปัฏฐานเกิด แต่ขั้นฟังขั้นนี้เราก็เพียงทราบว่า เรื่องราวของลักษณะของสภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ซึ่งถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้ก่อน เช่น เห็น ก่อนฟังก็คิดว่า เป็นเราเห็น แต่เมื่อฟังแล้ว ก็ทราบว่า เห็นเป็นจิตเห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าทุกคนก็จะคิดเลยไปแล้ว คือ เมื่อเห็นแล้วก็คิด ก็จำได้ว่าเป็นอะไร ซึ่งตรงนี้เป็นขั้นที่ศึกษาเพื่อรู้เรื่องราวของลักษณะของสภาพธรรม โดยที่ปัญญาไม่ถึงขั้นรู้ความจริง คือ เมื่อฟังท่านอาจารย์สนทนากับคุณหมอศรีพธูแล้ว ก็ขอเรียนให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความว่า ดูเหมือนพวกเรายังไม่เข้าใจว่า รู้อะไร ไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ อย่างใช้คำว่า “ศึกษาธรรม” หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง ศึกษาสิ่งที่มีจริง และไม่เคยรู้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ศึกษาคำในหนังสือ แต่รู้ว่า แม้ว่าสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็มีจริงๆ แต่ด้วยเหตุว่า สิ่งที่มีจริงหลากหลายมากมายโดยประการต่างๆ จึงจำเป็นต้องใช้คำ เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร อันนี้ถูกต้องหรือไม่

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม แต่ว่ากำลังฟังเรื่องจิต เจตสิก รูป อายตนะ ขันธ์ ธาตุ ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ชื่อว่า ศึกษาธรรมหรือเปล่า แม้เพียงขั้นปริยัติ

    ผู้ฟัง ไม่ชื่อว่า ศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ ที่กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เป็นปริยัติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าฟังสิ่งที่มีจริงแล้วเข้าใจตามนั้นก็เป็นปริยัติ

    ท่านอาจารย์ คือการศึกษาเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูก เพื่ออะไร ปฏิปัตติ มีปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่ากำลังฟังเรื่องจิต เจตสิก รูป ทั้งๆ ที่ขณะนี้จิต เจตสิก รูปเกิดดับ มีจริงๆ หมดไปแล้วมากมาย โดยไม่รู้

    การฟังเรื่องจิต เจตสิก รูป ก็เพื่อสามารถรู้ลักษณะของจิต หรือลักษณะของเจตสิก หรือลักษณะของรูปที่ปรากฏ เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า ตรงกับที่ได้ยินได้ฟัง คือ เป็นธรรมที่เกิดจึงปรากฏ แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่มีใครสามารถที่จะสร้างหรือทำให้เกิดได้ เมื่อเกิดแล้วเพียงปรากฏ แล้วหมดไป นี่คือการศึกษาธรรม เพราะรู้ว่า ธรรมจริงๆ ขณะนี้เป็นอย่างนี้ เพื่อที่จะได้สามารถรู้ลักษณะที่เป็นจริงๆ จนแทงตลอด จากปริยัติเป็นปฏิปัตติ แล้วก็เป็นปฏิเวธ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

    ผู้ฟัง หมายความว่า ในการศึกษา ถ้าจะเป็นปริยัติ คือไม่ใช่เข้าใจคำ หรือเรื่องราว แต่เข้าใจว่า กำลังศึกษาเรื่องของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงใช้พยัญชนะเพื่อให้ส่องถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงในขณะนี้ ถ้าผู้ศึกษาไปสนใจคำหรือเรื่องราว โดยไม่สนใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ไม่ชื่อว่า ศึกษา

    ท่านอาจารย์ โดยไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้เอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้ สิ่งที่หมดไปแล้วเมื่อสักครู่นี้มีใครรู้บ้าง สิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไปเมื่อสักครู่นี้ มีใครรู้บ้าง ยังไม่รู้ แต่ฟังเพื่อสามารถที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ซึ่งเกิดดับ เหมือนเมื่อสักครู่นี้เอง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ย้ำมาตลอดว่า ฟังเข้าใจ ทำเข้าใจก็ไม่ได้ เพราะฟังเข้าใจก็เป็นธรรม การพิจารณาไตร่ตรองก็เป็นธรรม เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ถ้าทำได้ ทุกคนก็สามารถทำให้เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเกิดอีก แต่ก็รู้ว่าต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไป นั่นก็คือค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อยากทราบตอนที่ว่า หวังจะเข้าใจ

    ผู้ฟัง ก็เป็น

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เป็นอะไรก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว ก็เป็นโลภะ ต้องให้เรียก ต้องให้บอกหรือเปล่า หวังจะเข้าใจ ทั้งๆ ที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และกำลังฟัง ถ้าไม่หวังจะเข้าใจอย่างอื่น ก็กำลังเข้าใจแล้วในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อเข้าใจเกิดขึ้น แต่จะไปหวังให้เข้าใจไม่ได้ ถ้าหวังให้เข้าใจก็คือโลภะ แล้วจะเข้าใจอะไร ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏแน่ เพราะหวังจะเข้าใจ ต้องเป็นสิ่งอื่นแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ปัญญาเจริญ ก็คือรู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งที่กำลังปรากฏนั่นเอง

    ผู้ฟัง ขณะที่มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ปรมัตถธรรม ก็คือจิต เจตสิก รูป และนิพพาน แล้วเรามีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ มีลักษณะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ รู้จักปรมัตถธรรมไหม

    ผู้ฟัง ก็คือจิต เจตสิก รูป นิพพาน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีรูปปรากฏหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง เป็นลักษณะ ถ้าจับไมโครโฟนก็เป็นแข็ง อันนี้ก็คือเป็นลักษณะของปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ แข็งปรากฏหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตที่กำลังรู้แข็ง แข็งจะปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราเรียกคำว่า “ปรมัตถธรรม” แต่ไม่รู้ว่า แข็ง เป็นปรมัตถธรรม หรือเราอาจจะจำว่า แข็ง เป็นปรมัตถธรรม แต่ขณะที่แข็งปรากฏ ไม่รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม เพราะเราไปคิดเรื่องชื่อ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    14 ม.ค. 2567