พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 536


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๓๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามลำดับขั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ถ้าบอกว่า ขณะนี้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดดับเร็วมาก ใครเชื่อ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมเลย สุดที่จะประมาณได้ ใครเชื่อ แม้แต่จิตขณะนี้ก็ดับไปแล้ว รูป เจตสิกทั้งหมดที่เกิดดับแล้ว เร็วมาก ใครจะเชื่อ ก็ไม่เห็นดับ แล้วจะบอกว่าเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นเรื่องของปัญญา โดยมากคนไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องของความเข้าใจถูก ความเห็นถูกตั้งแต่ต้น ทีละเล็กทีละน้อย จึงสามารถที่จะเข้าใจคำว่า เกิดดับได้ มิฉะนั้นก็เป็นเพียงคำที่ได้ยิน แล้วก็ประมาณไม่ได้ คิดไม่ออกว่า ขณะนี้เกิดดับอย่างไร แล้วเกิดดับจริงหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่อเห็นถูกความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ยากหรือไม่ ถ้าบอกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เกิดจึงปรากฏ เขาไม่ได้เห็นการเกิดของไม้ ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่เห็น เห็นว่ามีอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในขณะนี้ สิ่งนั้นต้องเกิดจึงปรากฏ ธรรมต้องเป็นเหตุเป็นผล และต้องไตร่ตรอง แล้วรู้ว่าการศึกษาธรรม คือให้รู้ว่าเป็นธรรม ก่อนที่ทุกคนจะได้ฟัง คำว่าเป็นธรรมเป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นโลก เวลาฟังธรรมก็เพื่อที่จะมีความเห็นถูกว่า ธรรม คืออะไร สิ่งที่มีจริงในโลกนี้ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะมีจริง คือความเข้าใจต้องตามลำดับขั้น

    ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ลืมว่าเป็นเรานั่งอยู่ในห้องนี้ แต่มีเห็นหรือเปล่า เห็นมีจริงๆ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธรรม เป็นจีน เป็นไทย เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ หรือว่าเป็นคนหนึ่งคนใดหรือเปล่า เห็นเป็นเห็น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ที่เคยไม่รู้ว่า ทุกขณะที่เห็นไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ฟังเพื่อให้รู้ความจริงของธรรมซึ่งมี แต่ไม่เคยรู้ จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเกิดที่ตัว ใช้คำว่า “ตัว” คือไม่ใช่ที่อื่นภายนอก ก็เข้าใจว่า เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา แต่ความจริงๆ ทุกขณะเป็นธรรม จะฟังอีกกี่ครั้งก็เพื่อที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้เป็นธรรม และมีธรรมที่กำลังปรากฏด้วย มีเห็นแน่นอน และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จริงๆ กำลังปรากฏให้เห็น นี่คือธรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็น ระลึกได้หรือเปล่า เป็นธรรม ฟัง ได้ยินชื่อ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แข็งมีจริงๆ ปรากฏ รู้ลักษณะที่แข็ง กำลังแข็ง เป็นธรรม ก็ไม่เคยคิดที่จะรู้จักธรรมเลย ทั้งๆ ที่มีแต่ธรรม ตลอดเวลา ใกล้ชิดที่สุด ไม่ห่างไปเลย ที่ไหนก็มีธรรมทั้งนั้น แต่ไม่รู้จักธรรมเลย ถ้ารู้จักธรรม ถ้าพูดเรื่องแข็ง ทุกคนเคยกระทบแข็ง รู้จักแข็งด้วยความจำว่า แข็งมี แต่รู้จักตัวแข็งไหม ถ้ารู้จักตัวแข็ง คือ ขณะนี้แข็งปรากฏแล้วรู้ว่า แข็งมีจริงๆ ในขณะที่แข็งมีจริงๆ อย่างอื่นจะมีด้วยไม่ได้เลย

    นี่คือธรรม ธรรมต้องแยกออกไป เป็นแต่ละลักษณะตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริง ไม่ปะปนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมก็มีหลายๆ ลักษณะ ไม่ใช่รูปเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม ก็มีทั้งจิตซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ และมีเจตสิก คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่เกิดกับจิต ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูป และมีลักษณะเฉพาะของเจตสิกแต่ละอย่าง

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นธรรมจริงๆ ฟังเพื่อให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น จะไปพูดเรื่องจิต ๑๗ ขณะจิต หรือไปพูดเรื่องรูป เป็นสภาวรูป อสภาวรูป มีอากาศธาตุแทรกคั่น ถ้าขณะนี้พูดเรื่องธรรม แต่ไม่รู้จักธรรมที่กำลังปรากฏ จึงฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจถูกว่า เป็นธรรมจริงๆ

    เป็นธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยการอบรมที่นานมากกว่าจะมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า สภาพธรรมใดเกิด ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วดับอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ซึ่งเราสามารถที่จะคิดถึงการเกิดดับอย่างรวดเร็วว่า เร็วแค่ไหน เร็วจนไม่รู้ว่าเกิดดับ เร็วจนกระทั่งเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิตสัณฐานปรากฏให้เห็นในขณะนี้ แล้วสภาพธรรมที่จำ ก็ยึดถือ และเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ไม่ได้ดับเลย

    นี่คือความต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง กำลังเป็นจริงในขณะนี้ คือ เกิดปรากฏแล้วหมดไป เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ จะเปรียบเทียบปัญญาของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่ตรัสรู้ความจริงในขณะนี้ก็ต้องห่างไกลกันมาก แต่ส่วนใหญ่จะไม่คำนึงถึงปัญญา หรือความเห็นถูก

    เวลาที่คุณเด่นพงศ์สนทนากับเพื่อน ไม่ได้พูดถึงความเห็นถูกหรือปัญญา พูดแต่เพียงว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็เกิดดับอย่างนั้น ทำอย่างไรถึงจะให้เขาเข้าใจตรงนั้นว่าเกิดดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเราบอกเขาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม เกิดดับ

    ผู้ฟัง คือความจริง ผมก็พยายามเริ่มต้นแบบที่ท่านอาจารย์พูด แต่เนื่องจากความรู้น้อย ผมก็บอกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่

    ท่านอาจารย์ ก็ให้เขายกตัวอย่างว่า อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง อย่างเราเห็น เราได้ยิน อะไรต่างๆ ก็เป็นธรรม เป็นของจริง พิสูจน์ได้ การเห็นก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยเกิด ถึงจะเห็นได้ มีจักขุปสาทรูป มีรูปให้เห็น ถึงจะเกิดเป็นการเห็นขึ้นมาได้ ต้องมีสี มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีธรรมเกิดขึ้นเป็นปรมัตถธรรม คือผมก็พยายามพูด แต่ว่าเร็วไป เขาบอกว่าไม่ต้องพูดมากหรอก เอาเรื่องโต๊ะที่เห็น มันเกิดดับอย่างไร ตรงนี้ที่เขาเห็นแค่นั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้สนใจเรื่องธรรมเกิดดับใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใ่ช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น เขาบอกว่าเป็นธรรม ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และขณะที่ได้ยิน เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เขาก็บอกว่าเป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่ดับ ได้ยินจะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงอยู่แล้วว่า แม้แต่คำ “เกิดดับ” ก็ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า สภาพธรรมแต่ละลักษณะจะปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีจิตซึ่งกำลังรู้สิ่งนั้นแล้วดับอย่างเร็วมาก แล้วก็ต่างกัน เพราะว่าเห็นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ได้ยินเป็นธรรมที่ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ต้องมีเพียงลักษณะหนึ่งที่ปรากฏ และสิ่งนั้นต้องดับก่อนด้วย สิ่งอื่นจึงจะปรากฏได้

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นนามธรรม เขาพอเข้าใจได้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เพราะได้ยินแล้วหายไป ลิ้มรสแล้วก็หายไป แต่รูปที่เป็นโต๊ะ อธิบายอย่างไรก็ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ทำไมเห็นดับ ถ้ารูปไม่ดับ

    ผู้ฟัง เพราะว่ามันเป็นจิต เป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นอะไร ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นที่กระทบจักขุปสาทรูป แล้วทำไมจิตเห็นที่เห็นแล้วดับ แล้วรูปไม่ดับหรือ ในเมื่อรูปเป็นสิ่งที่จิตเห็น ถ้ารูปดับ จิตเห็นเกิดไม่ได้ ถ้ารูปยังอยู่ จิตเห็น เห็นตลอดไป ไม่มีอย่างอื่นเลย ได้ยินก็เกิดไม่ได้ คิดนึกก็เกิดไม่ได้ อะไรก็เกิดไม่ได้ ถ้ารูปนั้นไม่ดับ เพราะว่ารูปนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้ารูปนั้นดับไป จิตเห็นจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น รูปต้องดับด้วย รูปดับด้วยแน่นอน

    ผู้ฟัง เขาก็มองไม่เห็นมันดับ ก็ยังเห็นโต๊ะอยู่

    ท่านอาจารย์ ก็ยังเป็นโต๊ะ

    ผู้ฟัง พูดไปอย่างไร ก็ของมันเห็นอยู่กับตา จะเอาอย่างไร อธิบายให้ผมหน่อย

    ท่านอาจารย์ จะประจักษ์การดับของรูปเมื่อเป็น "สัมมสนญาณ" แต่ต้องเริ่มตั้งแต่การเห็นถูกขั้นต้น รูปที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นรูปอะไร ถ้าไม่ดับ จิตก็ต้องรู้รูปนั้นไปเรื่อยๆ จะไม่มีรูปอื่นที่จะปรากฏให้เห็นได้ ถ้ารูปนั้นยังคงอยู่ แต่เพราะเหตุว่าเมื่อรูปนั้นดับไปแล้ว อย่างเสียงดับไปแล้ว เสียงมีปรากฏกับจิตที่ได้ยิน เมื่อเสียงดับไปแล้ว จะให้ได้ยินเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ในเมื่อมีเสียง เพราะฉะนั้น ถ้าเสียงนั้นยังไม่ดับ ได้ยินก็ต้องได้ยินเสียงนั้นไปเรื่อยๆ จะไม่สามารถที่จะรู้อย่างอื่นได้เลย

    ผู้ฟัง แต่เสียงมันก็ดับได้ มันก็หายไป เสียงดับกริ๊งแก๊ง แล้วก็หายไป เขาก็เชื่อ แต่รูปอย่างโต๊ะ ก็เห็นอยู่ เขาก็ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ รูปทางตาเหมือนไม่ดับ ใช่ไหม ถ้ามีคนเดินเข้ามาในห้องนี้ รูปใหม่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง รูปใหม่

    ท่านอาจารย์ เห็นรูปใหม่ แล้วรูปเก่าไปไหน ที่ว่าไม่ดับ

    ผู้ฟัง อย่างนี้ผมคิดไม่ถึงที่จะไปอธิบายเขา

    ท่านอาจารย์ คืออธิบายอย่างไร ก็เพียงทำให้เขาค่อยๆ คิด คิดใหม่ แล้วก็เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้อง หรือว่าไม่สมควรที่เห็นอย่างนี้ เพราะว่าไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าสามารถที่จะทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นได้ เขาก็สามารถเริ่มเข้าใจ แม้เพียงลางๆ ว่า เป็นธรรมที่เกิดดับ เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมโดยละเอียด โดยรอบคอบ และโดยความเข้าใจในความเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คือผมก็พยายามเขาว่า รูป ได้ยินอาจารย์พูดในเทปว่า ถ้าเราไม่แยกออกให้ละเอียดๆ แล้วจะอธิบายยาก ผมก็แยกรูปโต๊ะออกเป็นมหาภูตรูป แยกออกเป็นกลาป ให้เล็กลงๆ ใกล้กับจิตเกิดดับหายไป เขาก็ยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี ก็เลยหมดปัญญา ถ้าอาจารย์จะกรุณาเรื่องโต๊ะอีกที ผมจะกลับไปอธิบายใหม่ มันไม่ไหวจริงๆ เรามาเรียนตั้ง ๑๐ ปี แพ้เขาตื้นๆ อย่างนี้ มันอายเขา

    ท่านอาจารย์ เขาเคยปลูกต้นไม้ไหม

    ผู้ฟัง เขาปลูก ทำสวนด้วย

    ท่านอาจารย์ มีต้นไม้ทันที หรือมีเมล็ดก่อน

    ผู้ฟัง ใช่ อันนี้เขาก็พอเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ พอเกิดมาเป็นต้นแล้ว เมล็ดมันหายไปไหน ถ้ามันยังอยู่ ไม่ได้ดับ

    ผู้ฟัง แต่มันยาว ไม่ใช่ ๑๗ ขณะ

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องพูดถึง ๑๗ ขณะเลย เพราะเขาไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงไหม

    ผู้ฟัง เขาเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลง ก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีดับไปก่อนแน่ๆ หาอีกไม่ได้เลย อย่างจากเมล็ดมากลายเป็นราก เมล็ดก็หายไป แล้วก็กลายเป็นต้น กลายเป็นกิ่ง กลายเป็นดอก ก่อนนั้นรูปนั้นที่มีแล้วอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ก็หายไป

    ท่านอาจารย์ ก็หายไป แล้วไม่กลับมาอีกด้วย จะไปเอาเมล็ดที่มีเล็กๆ ก่อนจะมาเป็นต้น เป็นกิ่ง เป็นใบ มีต่อไปไม่ได้เลย นี่อย่างหยาบๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงมาจากไหน ถ้าไม่เกิดแล้วดับไป อย่างที่เราพูดถึงชรา เมื่อวานนี้ ชรา หมายความถึง การแปรของสิ่งที่มี จนกว่าจะถึงการดับหมดไป เพราะเราพูดถึงการเกิด และการดับ พูดถึงการเกิด การแก่ การตาย เพราะฉะนั้น ก่อนตาย ก็ต้องมีการเมื่อเกิดแล้ว อะไรที่บ่ายหน้าไปสู่การดับได้ ก็ต้องมีการค่อยๆ แปร เพราะฉะนั้น แม้ว่ารูปจะมีอายุเพียง ๑๗ ขณะ ขณะที่เกิดไม่ใช่ขณะที่ดับ ค่อยๆ แปรไปสู่การดับ

    นี่คือลักษณะของรูป เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้วก็มีการแปรอยู่เรื่อยๆ แต่ละขณะสืบต่อไป แต่ที่เรามองเห็นชัด ซึ่งไม่ประจักษ์การเกิดดับของแต่ละรูป แต่ละกลาป รูปนั้นเกิด ยังเป็นเด็ก และพอโตขึ้นก็อีกวัยหนึ่ง เป็นหนุ่มสาว และอีกวัยนึงคือวัยชรา และต่อไปก็หมดสิ้นไป แต่ระหว่างนั้น ถ้าไม่มีการแปร ใช้คำว่า “แปร” เพราะสามารถปรากฏทางตา มากน้อยต่างกัน ใช่ไหม เด็กโตเร็วก็มี โตช้าก็มี คนแก่เร็ว แก่ช้าก็มี ก็เป็นเรื่องของการปรากฏให้เห็นว่า ต้องมีการค่อยๆ แปรจากสภาพเดิมไปสู่อีกสภาพหนึ่ง นี่คือทั่วๆ ไปที่สามารถจะปรากฏให้เห็นทางตาได้ แต่ถ้าไม่มีสภาพที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ความแปรนั้นปรากฏไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ กว่าจะเข้าถึงการเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมจริงๆ อย่างรวดเร็ว ก็ต้องเป็นการเข้าใจในธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ใครสามารถจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ใช่สาวก ไม่ใช่ผู้ฟัง สามารถมีความเห็นถูก แม้ในความไม่เที่ยง ซึ่งปกติธรรมดาทุกคนก็เข้าใจว่า เกิดแล้วต้องตาย ไม่เที่ยง วันนี้แข็งแรงดี พรุ่งนี้ก็ป่วยไข้ ไม่เที่ยง ก็เข้าใจเพียงเท่านี้ แต่ระหว่างนั้น ก่อนนั้น ย่อลงมาเร็วแสนเร็วที่สุด ก็คือสภาพเกิดดับของสภาพธรรม ทั้งนามธรรม และรูปธรรมนั่นเอง

    ผู้ฟัง ที่ย่อลงมาให้เร็วที่สุด เขาตามไม่ทัน ต้นไม้เกิด โตขึ้น และตายไป ใบไม้อ่อน แก่ และร่วง เขาเข้าใจ แต่คนโตแก่ไป เขาเข้าใจ แต่โต๊ะตัวนี้ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ โต๊ะตัวนี้ แล้วพระอาทิตย์ แก่บ้างไหม กี่พันปีมาแล้ว ยิ่งกว่าโต๊ะตัวนี้อีก เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นธรรม ที่เราบอกว่าพระอาทิตย์ เราบอกว่าพระจันทร์ ขณะที่มีการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วจำลักษณะของสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งนั้น เห็นอีกเมื่อไรก็จำว่าเป็นสิ่งนั้น แต่สิ่งนั้นเที่ยงหรือเปล่า เห็นไหม ทุกอย่างที่เป็นสัจจะ เป็นความจริง ต้องจริงเหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ อีกสิ่งอื่นไม่เป็นอย่างนั้น รูปทุกรูปเกิดดับ แต่ไม่มีการปรากฏให้เห็นการเกิดดับ เพราะเร็วแสนเร็ว ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นจริงๆ ที่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ แต่ปัญญาที่จะรู้ความจริงนี้ได้ไม่ใช่เพียงไม่รู้อะไรเลย แล้วไปนั่งนิ่งๆ คิดเอา คิดเอา เพื่อจะรู้ความจริง แต่แม้ในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ถ้ามีความเห็นถูกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ลืมคำนี้ไม่ได้ เพราะพูดแล้ว ใช่ไหม ทุกอย่างเป็นธรรม

    ถ้ามีความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม จะรู้จักว่า เราได้ยินเพียงชื่อ และจำได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ขณะนี้ไม่รู้ลักษณะของธรรมสักอย่างเดียว ใช่ไหม ไม่รู้จักตัวธรรมจริงๆ แต่ว่าเวลาที่ฟังแล้ว ที่เคยกระทบสัมผัส ที่เคยได้ยินได้ฟัง ที่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เปรี้ยวหวาน หรือเค็มก็ตามแต่ ทั้งหมดก็ขณะที่กำลังปรากฏนั่นแหละ การที่ได้ยินได้ฟังมามาก สามารถจะรู้ลักษณะนั้นที่กำลังหวาน แล้วก็มีลักษณะอื่นปรากฏ เป็นแต่ละลักษณะของธรรมในชีวิตประจำวัน นี่จึงจะแสดงว่า เริ่มรู้จักตัวธรรม ไม่เพียงแต่บอกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เดี๋ยวนี้ไม่ได้รู้ธรรมสักอย่างเดียว ทั้งๆ ที่เป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างที่ปรากฏด้วย

    เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะสามารถรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ก็อาศัยการฟัง และไม่ลืมว่า ขณะนี้เองเป็นธรรม และเข้าใจ เริ่มที่จะรู้ลักษณะ เพราะฉะนั้น รู้ลักษณะเมื่อใด ขณะนั้นต่างกับขณะที่ไม่ได้รู้ลักษณะ จึงบัญญัติคำว่า "สติสัมปชัญญะ" เพราะความต่างกัน ขณะที่มีลักษณะกำลังปรากฏ เสียง แข็ง คิด

    ทั้งหมดเหล่านี้เป็นธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ลักษณะนั้นจริงๆ เช่น แข็งจริงๆ ถ้าขณะที่กำลังรู้ตรงลักษณะนั้นจะต่างกับขณะที่เพียงฟังว่าแข็ง แล้วจำว่าแข็ง เพราะกำลังมีแข็งปรากฏด้วยความเข้าใจ ขณะนั้นจึงบัญญัติคำว่า สติสัมปชัญญะ หรือ สติปัฏฐาน ไม่ใช่สติเพียงขั้นฟังเรื่องราวการเกิดดับของสภาพธรรม แต่มีลักษณะที่เมื่อกำลังแสดงลักษณะที่เป็นธรรมแล้ว

    เมื่อปัญญาสมบูรณ์ขึ้น ประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วดับไปของแข็งแน่นอน ไม่ต้องไปถึงเป็นต้นไม้หรืออะไรเลย เพียงแต่ลักษณะที่ปรากฏจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าเสียง ขณะนี้ซึ่งเหมือนมี แล้วหามีไม่ คือดับไปจริงๆ แต่แข็งมี แต่ยังอยู่ ไม่เหมือนมีแล้วหามีไม่อย่างเสียง แต่ธรรมต้องเป็นธรรมเหมือนกันหมด เพราะอะไร เพราะยังไม่ได้คลายการเข้าใจว่า ขณะที่แข็งปรากฏ มีเห็นด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นธรรมต่างขณะ ต่างลักษณะ ซึ่งสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏต้องหมดไปก่อน สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งจึงจะปรากฏได้

    ผู้ฟัง อาจารย์กุลวิไลจะช่วยไหม ที่เราคุยกันเมื่อวาน ก็กลับไปกลับมาตรงโต๊ะแข็งนี่แหละ คือ พูดธรรม เขาก็เข้าใจ เกิดดับเขาก็เข้าใจ เขาก็เชื่อ แล้วก็บอกว่า ถ้าบังคับให้เชื่อ แล้วอธิบายไม่เข้าใจไม่ได้เรื่องโต๊ะ ผมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

    กุล. แต่คุณเด่นพงศ์เข้าใจที่ท่านอาจารย์อธิบาย

    ผู้ฟัง ผมเข้าใจ แต่ความเกิดดับมันลึกซึ้งมาก ก็เข้าใจแค่ปริยัติ ไม่เห็นจริงๆ มองไม่เห็นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ปริยัติ คือการรอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งจะนำไปสู่การรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ตามที่ได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการเข้าใจอย่างถ่องแท้ แน่นอน ก็ไม่มีปัจจัยพอที่จะทำให้รู้ และเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ ปริยัติไม่ใช่ชื่อ แต่ว่ามีลักษณะของธรรม จากการฟังแล้วเริ่มเข้าใจลักษณะนั้น จนกระทั่งสามารถที่จะกำลังรู้ลักษณะจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ปริยัติ ความรอบรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่มีความสงสัยในเรื่องราวของสภาพธรรมที่เกิดดับ จะนำไปสู่ขณะที่กำลังรู้ลักษณะที่เกิดดับ ถ้าไม่มีปริยัติที่ถูกต้อง การที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และเกิดดับขณะนี้ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าใช้คำว่า “ปริยัติ” โดยที่ว่า คิดว่าเพียงฟังจำนวนของจิตเจตสิกก็เป็นปริยัติ แต่ต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งในความถูกต้องของธรรมจริงๆ

    อ.กุลวิไล แม้แต่คำที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อต้นชั่วโมงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เกิดดับ ไม่ทราบคุณเด่นพงศ์เข้าใจแค่ไหนสำหรับคำนี้

    ผู้ฟัง ก็อย่างที่กราบเรียนท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ คือผมฟังก็รู้ และเข้าใจเท่านี้ แล้วก็เชื่อว่า มันเกิดดับ แต่พอไปนอนหลับตาดู โต๊ะเกิดดับอย่างไร ของบางอย่างเกิดดับอย่างไร มันอธิบายกับตัวเองไม่ได้ ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ไม่ละเอียด เมื่อวานพวกเราก็ไปถึงขั้นที่ว่า เราไม่รู้ลึกซึ้งอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ เราก็รู้แค่นี้ มันละเอียดๆ ลงไปแค่ไหนไม่ซึ้ง

    ท่านอาจารย์ ทราบเหตุไหมว่า ทำไมเวลาไปนั่งคิดเอง แล้วธรรมก็ไม่ได้เกิดดับ

    ผู้ฟัง มันมองไม่เห็นภาพ

    ท่านอาจารย์ เพราะข้ามความละเอียดที่ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ยังไม่ใช่ทุกอย่างเลย แล้วจะไปเกิดดับได้อย่างไร เพียงได้ยินว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วจะไปถึงการเกิดดับ เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง ผมก็เชื่อตามอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เชื่อ แต่เป็นคุณเด่นพงศ์ ไม่ใช่ขณะคิด ไม่ใช่ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะจำ ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567