พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 535


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๓๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ทุกสิ่งที่มีตั้งแต่เกิด ไม่เหลือเลย แต่ละขณะ โดยไม่รู้ แล้วก็หลงติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาบ้าง ในเสียง ในกลิ่น ในความคิด ในเรื่องราวต่างๆ ไม่รู้เลยว่า แต่ละขณะมีปัจจัยเกิดแล้วดับไป โดยไม่รู้เลย เนียนมาก ใครสามารถที่จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป แล้วจะเหลืออะไร นอกจากความไม่รู้ และความติดข้องต่อไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏ และอีกเมื่อไรจะมีโอกาสได้ฟังความจริงซึ่งมีอยู่ เกิดเมื่อไรก็มีความจริง แต่ไม่รู้ว่า ความจริงของสิ่งนั้น แท้จริงแล้วคืออะไร ด้วยเหตุนี้การฟังเพื่อปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง

    เมื่อวานนี้ก็มีคนถามว่าแล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่จะรู้ว่า นี่แข็ง หรือนั่นเป็นเสียง หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา คนถามหมายความว่าไม่เห็นประโยชน์ใช่ หรือเปล่า จึงถาม เพราะฉะนั้น แต่ละคน แม้แต่ความคิด เราก็แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย แต่ละคนจะคิดอย่างไรตามการสะสม มีคนมากที่ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดโดยไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็กังวล เดี๋ยวก็สนุกสนาน มาจากไหนอย่างไร แล้วก็หมดไป โดยที่ไม่มีอะไรเหลือเลย ก็มีคนอีกมากที่ไม่สนใจที่จะเข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะรู้ว่า เกิดแล้วต้องตาย เหมือนเมื่อวานนี้ที่เราพูดถึงเพชฌฆาตที่กำลังจะประหารชีวิตของแต่ละคน เมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ว่า ณ ที่นี้ ตรงนี้ใครจะถูกประหารไปก่อน ใครจะถูกฆ่าให้จากโลกนี้ไปก่อนใคร ทั้งๆ ที่กำลังอยู่รวมกันที่นี่

    นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้เลย ว่าเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อจะตายวันหนึ่ง ช้า หรือเร็ว แต่ก่อนจะตายไป ก็มีแต่สิ่งที่ไม่เที่ยง เพียงแต่ลวงให้เห็นเหมือนเป็นสิ่งที่เที่ยง ทำให้เกิดความยินดีพอใจ แล้วเมื่อไรจะรู้ความจริง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ก็พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งไม่เที่ยง สะสมความพอใจ และเมื่อพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ อะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นความเศร้าโศก โดยที่ไม่มีความรู้เลยว่า แท้ที่จริงทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นการเกิดดับของสภาพธรรมที่เร็วมาก สุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่ามีเห็นจริง มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจริง แล้วก็มีการรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร จากรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับ จนปรากฏเป็นนิมิต ถ้าสิ่งนั้นเพียงปรากฏทางตาแล้วก็ดับไปเลย ไม่เกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิตสัณฐานต่างๆ จะพอใจไหม ในเพียงที่ แค่ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    นี่แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มากมาย แต่ถ้าไม่ได้สะสมการที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ว่า อะไรเกิด แม้แต่เกิดก็ไม่รู้ว่าอะไร คิดก็ไม่รู้ว่าอะไร สุข หรือทุกข์ก็ไม่รู้ว่าอะไร สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจ ก็ไม่รู้อะไร ก็เป็นอย่างนี้ไปตลอดในสังสารวัฏ ซึ่งจะห้ามการเกิดดับของสภาพธรรมไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จึงทรงแสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อให้มีความเข้าใจถูก แม้เพียงขั้นเริ่มต้น ถ้าขั้นเริ่มต้นไม่ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งปฏิปัตติธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทั้งหมดเป็นปัญญา ซึ่งต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าไม่ใช่สาวก คือ ผู้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรม นอกจากจะบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นการสุดวิสัยที่จะคิดว่า จะไม่ฟังพระธรรม โดยเฉพาะผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ทุกคำที่พูดควรที่จะเข้าใจ ไม่ใช่เพียงพูดลอยๆ กล่าวง่ายๆ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พึ่งเมื่อไร พึ่งอะไร

    นี่ก็คือความไม่รู้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ พระธรรมคำสอนทั้งหมดก็มาจากพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพื่อที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิดขึ้นมาโดยไม่มีสภาพธรรมปรากฏว่าความจริงเป็นอย่างนั้น หรือไม่ และสิ่งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพื่อดอกไม้ ธูปเทียน คำสรรเสริญสักการะทั้งหมด แต่เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก สัตตูปการคุณ คือ พระคุณที่ทรงอุปการะสัตว์โลกให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ถ้าจะมีคนที่บูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ ธูปเทียน วัตถุของหอมมากมายมหาศาล กับการที่ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรม คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทำให้พระองค์เกิดปีติ ดอกไม้ทำให้ปีติได้ไหม หรือการที่มีผู้สามารถเข้าใจพระธรรมที่ได้ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น ระลึกถึงขณะที่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ความปีติของพระองค์จะมีไหม สัตตูปการคุณ หรือสัตตูปการสัมปทา การถึงพร้อมด้วยการอนุเคราะห์สัตว์โลกได้สำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่พระมหากรุณา และมีผู้ที่สามารถจะได้รับประโยชน์จากการฟัง สมกับการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี และตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ไม่ว่าใครที่ไหน ที่ได้สะสมปัจจัยพอที่จะเข้าใจธรรม ทรงพระมหากรุณาที่จะเสด็จไปแสดงธรรม

    นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทั้งหมดเพื่อชาวพุทธ หรือผู้ที่เข้าใจว่า ตนเองมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ต้องไม่ลืมพระธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงเข้าใจแต่ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลส ทรงเป็นพระบรมศาสดา ยิ่งใหญ่กว่าเทวดา พรหม มนุษย์ใดๆ ทั้งปวงในสากลโลก ในจักรวาล ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่พระองค์แสดงธรรมอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับผู้ฟัง ความเป็นมิตรที่ดี กัลยาณมิตรที่เลิศ ก็คือเพื่อประโยชน์ของผู้ที่เราเป็นมิตรด้วย เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุด เพราะทรงพระมหากรุณา ทุกอย่างที่ทำเพื่อประโยชน์ของผู้ที่ได้พบเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ กว่าจะได้เข้าใจพระธรรม คือธรรมขณะนี้ตามความเป็นจริง สัจจธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นด้วยได้เลย ให้เป็นอย่างอื่น ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรมประการเดียว กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมดก็คือเป็นธรรม

    ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ก็มีคำว่า “ธรรม” แต่ละคนก็ได้ยินคำนี้ แต่จะมีความเข้าใจคำนี้ลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ มั่นคง ถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะมีความเข้าใจธรรมโดยประการทั้งปวง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมด

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟัง คือ เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็หลอกตัวเอง เข้าใจว่าไม่มีกิเลสแล้ว ไม่รู้อะไรสักหน่อย ก็เข้าใจว่า รู้แล้วมาก กำลังที่จะเป็นพระอริยบุคคล หรืออะไรอย่างนั้น ก็ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าธรรมเป็นเรื่องที่ตรง

    ด้วยเหตุนี้ การฟังคงไม่ลืมว่า เพื่อเข้าใจธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว คำว่า “ชั่วคราว” เล็กน้อยที่สุด เพราะเพียงแต่เห็น ก็ไม่ใช่การรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เพียงแต่ได้ยินเสียง ก็ไม่รู้ว่า เสียงสูงๆ ต่ำๆ หมายความถึงอะไร เพราะเป็นคนละขณะจิต นี่คือความรวดเร็วอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยปัญญาที่มาจากการละ การคลายความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่ด้วยความพยายามจงใจ จะเห็นการเกิดดับของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีปัญญาเลย ต้องการอย่างเดียวเพียงจะเห็น เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ความเข้าใจธรรมคืออะไร ขณะนี้ธรรมปรากฏ ฟังธรรม ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่ถ้าไม่เข้าใจแล้ว จะไปสามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง มีผู้ใหม่บางท่านเกิดโทสะ เมื่อเกิดโทสะจิตขึ้น ก็อยากหาวิธีดับโทสะขณะนั้น เดี๋ยวนั้น

    ท่านอาจารย์ และตอนที่ฟังธรรม เข้าใจว่าอย่างไร ก่อนที่โทสะจะเกิด คนนั้นกำลังฟังธรรม แล้วเข้าใจ หรือไม่ว่า ธรรมมีจริงๆ และธรรมก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครสักคนเดียว และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย นี่คือการฟังธรรม และเริ่มเข้าใจ ซึ่งจะเปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมเป็น ธรรม และเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจก็จะเปลี่ยนแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้น ในขณะที่ ก่อนที่โทสะจะเกิด และฟังธรรม รู้ว่าธรรมมีจริงๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่มีใครจะบังคับบัญชาได้เลย เพราะฉะนั้น ก่อนฟังธรรมเข้าใจอย่างนี้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ก่อนฟังไม่ได้เข้าใจอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นฟังแล้วเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจแค่เรื่องราว

    ท่านอาจารย์ เห็น เป็นเรื่องราว หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เห็น เป็นธรรม หรือไม่ หรือเป็นเรา

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ให้เกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธรรม และเป็นอนัตตา หรือไม่

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจถึงเป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ ฟังจนกว่าจะรู้ความจริงว่าเป็นอนัตตา นี่คือประโยชน์ของการฟัง มีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ หรือเปล่า การพูดถึงธรรม ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ แต่ตลอดชีวิตเป็นธรรมซึ่งไม่เคยรู้ว่า เป็นธรรม แต่เมื่อรู้แล้ว ก็คือเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรม จนกว่าจะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมจริงๆ นี่คือ การเริ่มเข้าใจความจริงของธรรม แสดงว่าเมื่อไรที่เป็นเรา ก็คือหลงลืม ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้จริง ขณะนี้กำลังเห็น ที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ถ้าเพียงแต่บอกว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเท่านั้น ใครจะละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังเห็นว่าไม่ใช่เราได้ แต่เมื่อทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดให้มีความเข้าใจ ถึงแม้จะกล่าวอย่างที่เราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ก็ใช่ว่าจะละความเป็นเราจากจิตที่กำลังเห็น แต่เป็นการสะสมปรุงแต่งความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เป็นสังขารขันธ์ ซึ่งวันหนึ่งสามารถที่จะรู้ลักษณะที่เห็น และเข้าใจถูกต้อง แม้จะไม่ใช้คำใดๆ เลยก็ตามแต่ แต่ก็เริ่มรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ในภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่เราใช้ เมื่อได้ยินภาษาบาลีก็ไม่ต่างกันเลย เช่น "อารัมมณะ" หมายความถึง สิ่งที่จิตกำลังรู้ เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เกิดเมื่อไรต้องรู้ นี่คือความต่างกันของธาตุ ใครจะเปลี่ยนแปลงธาตุได้ไหม ถ้าเป็นธาตุ ธาตุไฟร้อน หรือเย็น เปลี่ยนให้เป็นแข็งได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวว่า"ธรรม"กับ"ธาตุ" ธรรม ก็คือธาตุ หรือ ธาตุก็เป็นธรรม ก็คือมีความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพที่มีจริง ไม่ว่าจะใช้คำอะไรก็ตามแต่ หมายความว่า ลักษณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโลกนี้ โลกไหน เมื่อไรก็ตามแต่ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ก็จะมีธาตุที่ต่างกัน ธาตุหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น อีกธาตุหนึ่งก็น่าอัศจรรย์ ซึ่งใครก็จะไปเปลี่ยนไม่ให้เกิด หรือทำให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีเมื่อมีปัจจัย เป็นธาตุรู้ ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น นามธาตุที่เกิด ใช้คำว่า “นามธาตุ” แต่ขณะนี้จำแค่ชื่อ แต่ยังไม่รู้จักความเป็นนาม หรือ "นามะ " ความไม่ใช่รูปของธาตุที่เป็นนามธาตุ มี ๒ อย่าง คือ จิต และเจตสิก คนที่เคยฟังมาบ้างแล้ว ก็คงไม่สงสัย แต่สำหรับคนที่เริ่มฟัง ไม่ใช่มีแต่จิตเท่านั้นที่เราคุ้นหู แต่มีเจตสิก คือสภาพธรรมที่เกิดกับจิตด้วย เมื่อจิต และเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน จะแยกกันเกิดไม่ได้เลย รู้อารมณ์เดียวกัน สิ่งใดก็ตามที่จิตรู้ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ทั้งหมด จะเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม จะเป็นเรื่องราว จะเป็นนิพพาน หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ สิ่งใดที่จิตรู้เป็นอารมณ์ของจิต

    เพราะฉะนั้น สภาพใดๆ ก็ตามที่จิตกำลังรู้ สภาพธรรมนั้นเป็นปัจจัยแก่จิต เพราะถ้าไม่มีสภาพธรรมนั้น จิตก็เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จิตกำลังรู้ จึงเป็นอารัมมณปัจจัย แสดงความเป็นปัจจัยของจิตว่า อาศัยปัจจัยหลายอย่าง แม้ว่าต้องอาศัยเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกัน ก็ยังต้องอาศัยสิ่งที่จิตกำลังรู้นั้นเองเป็นอารมณ์ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตเกิด เพราะว่ามีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้จิตเกิด

    เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจคำว่า “อารัมมณปัจจัย” ก่อน ถ้ายังไม่มีความเข้าใจเรื่องอารัมมณปัจจัยก่อน จะไปกล่าวถึงปุเรชาตัตถิปัจจัยได้ไหม ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมพื้นฐานก็คือว่า มีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ในสิ่งที่ได้ยิน อย่าผ่านไปเฉยๆ แม้แต่คำว่า “ปัจจัย” ตั้งแต่เริ่มได้ยินคำว่า “ธรรม” ก็มีคำว่า “ปัจจัย” แล้ว เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ธรรมนั้นก็เกิดไม่ได้เลย ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นอารัมมณปัจจัย กล่าวถึงเฉพาะจิตเห็นเดี๋ยวนี้ เพื่อจะรู้ว่าไม่ใช่เรา เห็นมานาน กำลังเห็น และจะเห็นต่อไป ถ้าไม่รู้ก็คือเป็นเราจนตาย แต่ถ้ารู้ขึ้น ค่อยๆ คลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นเราในขั้นฟัง แต่สังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งความเข้าใจให้มั่นคง จนสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ยินทุกอย่าง เพราะฉะนั้นในขณะนี้พูดถึงจิตเห็น เกิดแล้ว ใช่ไหม ถ้ายังไม่เกิด จะเห็นได้ไหม แล้วเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสี

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกสีได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตาซึ่งกำลังปรากฏ ถ้าไม่มีจักขุปสาท แม้สิ่งนี้ คนที่มีจักขุปสาทเห็น สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏกับคนที่ไม่มีจักขุปสาท ด้วยเหตุนี้ต้องมีสิ่งที่เกิด เป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เกิดแล้วก่อนจิตเห็น ปุเร- ชาต - ปัจจัย เป็นอารมณ์ซึ่งต้องเกิดก่อนจิตเห็น แล้วก็ต้องกระทบกับจักขุปสาทรูป ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูปเป็นปัจจัย จิตเห็นก็เกิดไม่ได้เลย แต่จักขุปสาทรูปไม่ใช่สีสันวัณณะที่จิตกำลังเห็น แต่จิตเห็นต้องอาศัยจักขุปสาทรูปเกิด แล้วจักขุปสาทรูปเกิดก่อนจิตเห็น จักขุปสาทรูปจะเกิดภายหลังจิตเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดพร้อมได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ารูปที่จะเป็นปัจจัยได้ ไม่ใช่ในขณะเกิด แต่ต้องเป็นขณะหลังจากเกิดแล้ว สามารถเป็นปัจจัยได้เมื่อเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น จักขุปสาทรูปก็เป็นปุเรชาตปัจจัยสำหรับจิตเห็น แต่เนื่องจากจักขุปสาทรูปไม่ใช่อารมณ์ จึงไม่ใช่ปุเรชาตัตถิอารัมมณปัจจัย เพราะไม่ใช่อารัมมณปัจจัย แต่เป็นปุเรชาตัตถิปัจจัย เพราะว่าต้องมีอยู่ ยังไม่ดับไป ถ้าจักขุปสาทรูปเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ จักขุปสาทรูปจึงต้องเกิดก่อนจิตเห็น แต่ไม่ได้เป็นอารมณ์ แต่เป็นที่อาศัยเกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือ มีรูปขันธ์ด้วย เพราะฉะนั้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ คือมีรูป จิตต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใด จะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้จิตเห็นเกิดที่ไหน ก็ต้องรู้ว่า ที่เกิดของจิตทั้งหมดมี ๖ รูป วัตถุ ๖ หมายความถึง ที่เกิดซึ่งเป็นรูป ๖ รูป ได้แก่ จักขุปสาทรูป เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก โสตปสาทรูปเป็นที่เกิดของจิตได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก กำลังได้กลิ่น จิตที่รู้กลิ่นเกิดที่ฆานปสาทรูป ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก จิตที่ลิ้มรสก็เกิดที่ชิวหาปสาทรูป ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก ถ้าเป็นความรู้สึกสุข หรือทุกข์ทางกาย จิตที่กำลังรู้สภาพที่กระทบกาย เป็นกายวิญญาณจิต ก็ต้องเกิดที่กายปสาทรูป ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก ทั้งหมดเป็นเรา หรือไม่ หรือว่าเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิด นี่คือกว่าจะเห็นว่าไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่ละเอียดยิ่งขึ้นๆ ๆ

    เพราะฉะนั้น รูปที่เป็นที่เกิดของจิตทั้งหมดมี ๖ รูป ไม่ก้าวก่ายสับสนกัน จะให้โลภมูลจิตเกิดที่จักขุปสาทรูปได้ไหม ไม่ได้ จะให้จิตได้ยินเกิดที่หทยวัตถุได้ไหม ไม่ได้ เพราะเมื่อสักครู่ เรากล่าวถึงรูป ๕ รูปซึ่งเป็นที่เกิด จักขุปสาทรูป โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูป แต่อีกรูปหนึ่งคือ หทยรูป เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมด นอกจากจิต ๑๐ ดวงนี้แล้ว จิตอื่นต้องเกิดที่หทยวัตถุ เร็วไหม จิตเห็นเกิดที่จักขุปสาทรูป ดับ จิตต่อไปไม่ได้เกิดที่จักขุปสาทรูป แต่เกิดที่หทยรูป

    เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเห็นต้องอาศัยจักขุปสาทรูป ซึ่งเกิดก่อนแล้วยังไม่ดับ ด้วยเหตุนี้จักขุปสาทรูปจึงไม่ใช่อารัมมณะ แต่เป็นวัตถุ เป็นที่เกิด ก็เป็นวัตถุปุเรชาตัตถิปัจจัย หมายความว่า เป็นรูปซึ่งเกิดก่อน แล้วยังไม่ดับด้วย จึงเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น

    ตอนนี้จักขุปสาทรูปดับไป หรือยังกับจิตเห็นเมื่อสักครู่นี้ ดับหมดแล้ว ไม่เหลือเลย เป็นใคร ที่ไหน เมื่อไร ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ และได้ยินคำนี้เมื่อไร เข้าใจได้เมื่อมีความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็สงสัย ไปจำชื่อว่า ได้แก่อะไร เมื่อไร อย่างไร ก็ยังมีอีกมากซึ่งเป็นธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อให้เห็นความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายการเกิดดับของไม้ ผมก็พอเข้าใจว่า อุตุก็ยังมีอยู่ แต่มองไม่เห็นว่ามันเกิด อธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะที่เป็นไม้แข็งๆ ผมไม่เห็นมันเกิดอีก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เวลาที่พูดถึงไม้ มีอะไรที่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่จะสนทนากัน เห็นไหม แล้วจะก้าวไปถึงว่าเกิดดับ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องทราบว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามลำดับขั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567