พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 529


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๒๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ผู้ฟัง แม้แต่การบำเพ็ญทานในตอนเช้า ใส่บาตร ปรากฎว่าพระมาไม่ทันหรือไม่มา เราก็หมดหวังที่จะทำทาน ก็เป็นตัวเราอีก

    ท่านอาจารย์ หวังในทาน

    ผู้ฟัง เราก็ไม่ได้ใส่บาตรตอนเช้า ก็มีปฏิฆะว่า ทำไมพระไม่มา เราก็ไม่ได้ใส่บาตร

    ท่านอาจารย์ ธรรมที่ได้ฟังอยู่ที่ไหนหมด ไม่มีปัจจัยที่จะเกิดได้เลย เพราะว่ามีน้อย แต่ถ้ามีมากว่า อะไรจะเกิดขึ้นก็คือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ก็บอกว่า ศีลกับทิฏฐิทำให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ ส่วนโภคะอย่างอื่นไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะแสดงว่า ที่จะไม่ไปสู่อบายเลย ก็คือ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเหตุให้ทั้งศีลก็สมบูรณ์เป็นพระอริยบุคคลด้วย เพราะฉะนั้น ที่จะไม่ไปสู่อบายเลย เพราะเหตุว่า ถึงพร้อมด้วยความเห็นที่ถูกต้อง สำหรับผู้มีเพียงทานก็ทำให้ไปสวรรค์ได้เพราะเป็นกุศล แต่ไม่แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ไม่มีศีลของพระอริยบุคคล ก็ยังไปสู่อบายภูมิได้

    ผู้ฟัง ที่บอกว่า อริยสัจ ๒ เบื้องต้นเป็นวัฏฏะ และอริยสัจ ๒ เบื้องปลายเป็นวิวัฏฏะ ขอให้ท่านอาจารย์ขยายความด้วย

    ท่านอาจารย์ เชิญคุณวิชัย

    อ.วิชัย ต้องเข้าใจว่า อริยสัจ คืออะไร ขอร่วมสนทนาด้วย เพราะเหตุว่าเราต้องเข้าใจตั้งแต่ต้น ถึงจะทราบว่าคืออะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่า รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย อริยสัจ หมายถึง ความจริงของพระอริยเจ้า ของผู้ที่สามารถจะรู้ตามความเป็นจริงได้ คืออริยบุคคล เพราะฉะนั้น อริยสัจ ๒ เบื้องต้นคืออะไร

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    อ.วิชัย คือทุกขอริยสัจ กับ สมุทยอริยสัจ จริงๆ แล้วธรรมก็ต้องเข้าใจว่าที่เรากล่าว หมายถึง อะไรก่อน ถึงจะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าสิ่งนั้นหมายถึงอะไรได้ สำหรับทุกขอริยสัจ ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง ก็คือ ขณะนี้ คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป คือเกิดแล้วก็ดับ เกิดสืบต่อกัน ทุกข์คือสภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ ไม่สามารถที่จะอยู่ตลอดไปได้ คือมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็มีปัจจัยที่จะให้เกิดอีก แล้วก็ดับไปอีก

    สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ที่เป็นไป ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เป็นไปในขณะนี้เป็นทุกข์ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องอาศัยเหตุ คือ สมุทัย เมื่อยังมีความต้องการ มีสมุทัย คือ ตัณหาอยู่ ทุกข์เหล่านี้ก็ยังเป็นไปได้ เพราะอาศัยสมุทัย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นไปในวัฏฏะ คือ เป็นไปในสังสารวัฏ คือยังมีการสืบต่อ เมื่อยังมีเหตุอยู่ ทุกขอริยสัจจะก็ยังเป็นไปอยู่

    แต่เมื่อมีสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่เกิดเลย ตรงกันข้ามกับทุกขอริยสัจ ก็คือทุกขนิโรธ คือเป็นสภาพที่ไม่เกิดขึ้น ต่างกับทุกขอริยสัจ คือ มีเหตุปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับ แต่มีสภาพอย่างหนึ่งที่มีจริงๆ คือเป็นสภาพที่มีจริง แต่สภาพธรรมนั้นไม่เกิดขึ้น แต่ปรากฏก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นสามารถแทงตลอดได้ ด้วยโลกุตตรปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งในสิ่งนี้ได้ ก็คือ พระนิพพาน และทรงแสดงหนทางที่จะให้ถึงที่จะประจักษ์แจ้งในลักษณะของพระนิพพานได้ด้วย ก็คือดับการที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกในสังสารวัฏ พอเข้าใจคร่าวๆ หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ ที่ท่านทรงแสดงทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ เพราะในชีวิตประจำวัน ทุกข์มีปรากฏอยู่ แต่ก็ยังไม่รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง และสมุทัยหรือโลภะ ก็มีอยู่ตลอด แต่ยังไม่รู้ว่า สมุทัยหรือโลภะเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์อย่างไร

    เพราะฉะนั้น ๒ อริยสัจข้างต้นมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แต่สามารถจะรู้ ๒ อริยสัจ ข้างต้นได้ ก็คือต้องมีการอบรมเจริญอริยมรรค หรือหนทาง ขณะที่มีการอบรมปัญญา อบรมมรรคอย่างน้อยมรรคมีองค์ ๕ ขณะนั้นสติปัฏฐานก็จะเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วการอบรมเจริญอริยมรรคจนกระทั่งปัญญามีกำลังมากขึ้น ก็เริ่มที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ คือรู้สภาพธรรมที่เกิดดับ คือ เริ่มรู้ทุกข์ตามความเป็นจริงแล้ว

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีในปัจจุบันนี้ ถึงแม้มีอยู่ แต่ถ้าไม่มีการอบรมเจริญหนทางที่ถูกต้อง หรืออบรมเจริญอริยมรรค ซึ่งกว่าจะประชุมกันมีองค์ ๘ ประชุมกันครบทั้ง ๘ ก็ในขณะที่เป็นมรรคจิต ซึ่งขณะนั้นสามารถที่จะละโลภะ ซึ่งเป็นสมุทัย ตามลำดับ พระโสดาบันก็ละโลภะ ๔ ที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ก็ยังเหลืออีก โลภะซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์จนหมดจริงๆ ก็ต้องถึงอรหัตมรรค และขณะที่ดับกิเลส ก็ต้องประจักษ์สภาพของพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้แจ้ง เพราะพระนิพพานไม่ได้มีในชีวิตประจำวัน แต่เป็นอารมณ์ของมรรคจิต ผลจิตเท่านั้น ซึ่งมาจากการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง ซึ่งอริยสัจทั้ง ๔ ก็เป็นหนทางที่พระอริยะทั้งหลายท่านรู้แล้ว ทำให้เป็นพระอริยะ

    ผู้ฟัง เราปกคลุมด้วยอวิชชาที่หนาแน่นมาก เหมือนโดนฉาบด้วยซีเมนต์ที่หนาทึบ ที่ปัญญาไม่มีโอกาสเกิดขึ้น และไม่รู้ว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นมีลักษณะอย่างไรเลย เราก็มานั่งฟังธรรม พอฟังธรรมได้ระยะหนึ่ง แต่ความเข้าใจ ปัญญาที่จะเข้าใจธรรมไม่มี เลยมีคำถามที่เป็นความคิดบ้าง แล้วก็เป็นในลักษณะอย่างนี้ แล้วเราก็พยายามเข้าใจ หาหนทางที่จะเข้าใจ ก็ผิดอีก ก็เลยหาหนทางมีการปฏิบัติ แล้วยังมีการชักชวนไปปฏิบัติที่โน่นที่นี่

    ท่านอาจารย์ อยากก็เลยไม่เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ฟังเข้าใจ แต่เราพูดได้ว่าเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วไม่มีความเข้าใจจริงๆ ว่า คำว่า ความเข้าใจนี่คืออะไร

    ท่านอาจารย์ เรารีบจะไปเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง รีบไปเข้าใจ เพราะเห็นว่า เป็นพระอริยบุคคล ถ้าเป็นเร็วๆ

    ท่านอาจารย์ รีบจะเข้าใจอริยสัจ แล้วทำไมขณะนี้รู้ไหมว่า อะไรรู้แจ้งอริยสัจ เราหรือความรีบ

    ผู้ฟัง ความรีบก็ไม่ใช่ เราก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วไปคิดทำไม เพราะฉะนั้น เวลานี้ เมื่อสักครู่นี้ก็ฟังเรื่องของสังขารขันธ์ ได้ยินคำนี้บ่อยๆ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ก็เป็นธรรมดา เข้าใจ ฟังบ่อยๆ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย จิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นวิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์ก็เป็นเจตสิกที่รู้สึกสุข ทุกข์ เป็นต้น สัญญาขันธ์ ก็คือสภาพที่เป็นเจตสิกที่จำ ไม่ใช่เราเลย แล้วสังขารขันธ์ ก็คืออื่นจากนี้ทั้งหมด ที่เป็นนามธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป มาก เป็น ๕๐ ประเภท ที่เป็นเจตสิกที่เป็นสังขารขันธ์

    ฟังอย่างนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ทุกคนมีหรือไม่มีสังขารขันธ์ มี สังขารขันธ์กำลังปรุงแต่งน้อมไป แม้เพียงจะรู้ทุกข์ ยังไม่ต้องไปถึงนิพพาน หาทุกข์เจอไหม อยู่ที่ไหน สังขารขันธ์ปรุงแต่งที่จะรู้ทุกข์ ไม่น่าจะให้รู้ทุกข์เลย ใช่ไหม รู้ทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ ทุกข์คือ ทุกข์กาย เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ทุกข์ใจก็เป็นความรู้สึก แม้กายไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่ใจปวดเจ็บได้ไหม ได้ เพราะฉะนั้น โทมนัส หรือความรู้สึกไม่แช่มชื่น ประทุษร้ายให้ไม่สบาย ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เหลือทั้งหมดในวันนี้ที่ไม่ใช่รูปธรรม ไม่ใช่จิต ก็คือสังขารขันธ์

    เพราะฉะนั้น เราจะรู้ไหม สังขารขันธ์ คือ เจตสิก ๕๐ กำลังเกิดกับจิตแต่ละประเภท ตามสมควรแก่สภาพของจิตประเภทนั้นๆ เพราะสังขารขันธ์นั่นเองทำให้จิตเกิดติดข้องพอใจเพราะโลภะ ซึ่งเป็นสังขารขันธ์เกิดขึ้น ขณะที่กำลังฟัง ไม่ใช่เรา ศรัทธาเป็นสังขารขันธ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วไม่เข้าใจว่า สังขารขันธ์เป็นตัวรู้ และเข้าใจธรรม แต่เข้าใจว่า ตัวเราเอง ต้องมีเราไปเข้าใจธรรม ก็เลยผิดทาง

    ท่านอาจารย์ สังขารขันธ์ยังไม่ได้ปรุงแต่งให้ค่อยๆ เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าสังขารขันธ์จะพาไปถึงรู้แจ้งอริยสัจธรรม ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องซึ่งเป็นโลภะ ไม่ใช่ด้วยความรู้ เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่า ไม่ว่าจะคิดอะไร ถูกผิด ก็คือสังขารขันธ์นั่นเอง ขณะนี้สังขารขันธ์ที่ได้จากการฟังแล้วพอสมควร น้อมไปที่จะรู้ทุกข์ ซึ่งเป็นอริยสัจที่ ๑ หรือยัง ยังไม่ต้องถึงอริยสัจทั้ง ๔

    ผู้ฟัง หนูขออุปมานิดหนึ่ง ถ้าเผื่อเราอยากทำซาลาเปา เราก็ต้องเตรียมแป้ง หมักแป้งทำไส้แล้วเอาไส้มาใส่ หนูก็มาคิดว่าจากอัตตสัญญามาพัฒนาเป็นอนัตตสัญญา จะเป็นไปในทำนองไหน

    ท่านอาจารย์ ซาลาเปาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง สิ่งหนึ่งเป็นรูปธรรม แต่สิ่งหนึ่งเป็นนามธรรม หนูก็เลยอยากจะรู้ว่า คงต้องมีการพัฒนา ไม่ใช่ออกมาอย่างรวดเร็ว อยากให้ท่านอาจารย์อธิบาย

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ฟังธรรมแล้วคิดถึงเรื่องอื่น แล้วแต่สังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง เพราะคุณหมอทำซาลาเปาเป็น คุณหมอก็เลยอดคิดถึงซาลาเปาไม่ได้ ว่าการศึกษาธรรมต้องมีการเตรียม แล้วมีวิธีการทำต่างๆ หรือเปล่า แต่ตามความเป็นจริง ฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรม แต่จะห้ามคิด ห้ามไม่ได้ แต่ขณะที่ฟังต้องทราบว่า แทนที่เราจะคิดเรื่องอื่น คุณหมอคิดถึงเรื่องซาลาเปา ก็ลืมว่า ขณะนี้มีธรรมที่ไม่ใช่ซาลาเปา กำลังปรากฏ แล้วฟังเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งเราไม่สนใจเท่าซาลาเปา ใช่ไหม เราจึงคิดเรื่องซาลาเปา เพราะเราไม่คุ้นกับการรู้จักสภาพธรรมจริงๆ มีจริงๆ และเป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่คุ้นเคยเท่ากับเรื่องราวของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือฟังด้วยความเคารพว่า เป็นธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีความลึกซึ้งแล้วก็มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏ แต่ยากที่จะเข้าใจตาม แม้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าถามคนที่ไม่ได้ฟังธรรม เขาจะตอบว่าอย่างไร อะไรกำลังปรากฏ เขาจะไม่ตอบลักษณะของธรรมสักอย่างเดียว เขาจะตอบว่า ต้นไม้ ดอกไม้ คน สิ่งของต่างๆ เขาจะไม่บอกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ก็กำลังปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ไม่ต้องไปคิดถึงเปรียบเทียบ คือ คิดเรื่องอื่น แต่กำลังฟังให้เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏ ยากจะเข้าใจให้ตรงตามความเป็นจริง เพราะไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ขณะนี้ปรากฏได้เพราะอะไร กำลังปรากฏแล้วก็ไม่ได้คิดถึง ว่าต้องมีสิ่งที่สามารถทำให้สิ่งนี้ปรากฏได้ ฟังมานานแล้ว ลองคิดคำตอบว่า ต้องมีสิ่งที่ทำให้สิ่งนี้ปรากฏได้ อยู่ดีๆ จะปรากฏได้อย่างไร จากไม่ปรากฏแล้วก็ปรากฏได้

    เพราะฉะนั้น ต้องมีสิ่งที่สามารถทำให้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ปรากฏได้ ธรรมหรือสิ่งนั้นคืออะไร แทนที่จะคิดเรื่องซาลาเปา ก็คิดเรื่องที่กำลังได้ฟังให้เข้าใจขึ้น คุณหมอจะตอบไหม

    ผู้ฟัง หนูพยายามคิดเรื่องสัญญา

    ท่านอาจารย์ คุณหมอฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วคุณหมอคิดถึงสัญญา แต่คำถามมีว่า ทำไมสิ่งนี้จึงปรากฏได้ ตั้งใจจะให้เกิดหรือเปล่า ตั้งใจจะให้ปรากฏหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ ทำประการใดๆ ที่จะให้สิ่งนี้ปรากฏได้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดขึ้นเองโดยปัจจัย

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ได้สนใจ คุณหมอกำลังเริ่มหันไปคิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น คำตอบที่ว่า อะไรทำให้สิ่งนี้ปรากฏได้ คิดเรื่องอื่นยังชอบคิด แต่คิดเรื่องนี้ทำไมไม่ชอบคิด บางคนอาจจะบอกว่า คิดทำไม ใช่ไหม ก็กำลังเห็น แต่ถ้าคิดแล้วรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงยิ่งขึ้นก็น่าคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง อย่างเวลาระลึกสภาพธรรมกำลังมีสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ กำลังไปเรื่องอื่นอีกแล้ว ทำไมคุณหมอไม่คิดว่า ทำไมสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ปรากฏได้ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง อย่างเสียงปรากฏได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เสียง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏให้เห็น ทำไมสิ่งนี้จึงปรากฏได้ ใครไปทำให้ปรากฏ ใครไปทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครทำเลย แต่เกิดแล้วปรากฏแล้ว และทำไมสิ่งนี้จึงปรากฏได้

    ผู้ฟัง ปรากฏเพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขุปสาท

    ท่านอาจารย์ ยาวเลยแต่จริงๆ แล้วถ้าไม่มีธาตุที่รู้ คือเห็น สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความสำคัญอยู่ที่มนินทรีย์ ธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้คิดนึก ก็เพราะธาตุรู้นี้เอง แล้วแต่ว่าจะเห็น หรือจะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะคิดนึก หรือจะรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส แค่นี้เอง ถ้าไม่มีธาตุนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้

    นี่คือการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วการหลงยึดถือสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นความเข้าใจผิด นำมาซึ่งทุกข์โดยประการทั้งปวง พระไตรปิฎกทั้งหมดเพื่อให้เกิดความรู้ เพื่อละความทุกข์ เมื่อเช้าก็ได้ยินได้ฟังท่านผู้หนึ่งบอกว่า ท่านมีความทุกข์ มีวิธีไหนบ้าง ที่จะพ้นทุกข์ ไม่มี นอกจากความเข้าใจของตัวเองเท่านั้นเอง ถ้าจะไปขอคำปรึกษาหารือจากคนอื่น เขาก็จะให้สิ่งที่เพียงชั่วคราว แต่ไม่ใช่การพ้นทุกข์จริงๆ ต้องเป็นปัญญาของแต่ละคนเองเท่านั้นที่สามารถจะพ้นทุกข์ได้ แล้วทุกข์ก็มีมากมายตั้งแต่เกิดที่ว่า เกิดมาแล้ว มีใครไม่มีทุกข์ หรือว่าทุกข์ไม่เกิดขึ้นบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย

    เมื่อวานนี้พระสูตรเรื่องอะไร เพิ่งเมื่อวานนี้เอง มารดา และบุตร ซึ่งจะไม่เป็นมารดา และบุตรเมื่อไร เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว รักใครที่สุด ตัวเอง ต่อจากนั้นคือ ตอบตามความเป็นจริง มีใครบ้างไม่รักมารดา ผู้ให้กำเนิด ผู้เลี้ยงดู ผู้เป็นที่พึ่ง ผู้ทำให้ขณะใดก็ตามที่มีทุกข์ หรืออะไรก็ตาม คนที่เห็นใจ เข้าใจ เป็นที่พึ่งได้ตลอดชีวิตคือมารดา แต่แม้กระนั้นก็ถึงวันที่มารดาจะไม่เป็นมารดา และบุตรก็จะไม่เป็นบุตรด้วย ฟังแล้วก็จริง แต่มีใครอยากฟังบ้าง จริงใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็มีพระธรรมที่ทรงแสดงถึงกาลที่ ขณะไหนบ้างที่มารดา และบุตรซี่งเคยอยู่ใกล้ชิด และเป็นที่พึ่ง เป็นที่ปรึกษา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้ จะไม่เป็นมารดาได้ในขณะไหนบ้าง เวลาที่มีน้ำท่วม พลัดพรากจากกัน ไม่เห็นกัน บุตรเหมือนไม่มีแล้วใช่ไหม ไม่พบอีกเลย แล้วจะเป็นบุตรได้อย่างไร ไฟไหม้ พลัดพรากจากกันได้ ก็ไม่เห็นกันอีก จะเป็นบุตรกันได้ไหม จะเป็นมารดากันได้ไหม เมื่อไม่เห็นกันแล้ว

    นอกจากนั้น ก็ยังมีอุทกภัย และภัยอีกหลายอย่าง เช่น โจรภัย ทำให้พลัดพรากจากกัน แต่พระผู้มีพระภาคยังทรงแสดงว่า เหตุการณ์อย่างนั้น แม้ผ่านพ้นไปแล้ว มารดาก็จะเป็นมารดา และบุตรก็จะเป็นบุตร เมื่อเจอกันอีกได้ แต่ว่าภัยที่ทุกคนมองไม่เห็น ก็คือ เวลาที่มีความเจ็บไข้ หรือความแก่ หรือความตาย มารดาช่วยได้ไหม เป็นมารดาซึ่งเคยเป็นที่พึ่งทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ขณะนั้นจะช่วยลูกได้ไหม เมื่อถึงกาละซึ่งความทุกข์เพราะเจ็บป่วยเกิดขึ้น หรือความทุกข์เพราะแก่ และสุดท้าย แน่นอน คือ ความตายซึ่งจะทำให้สิ้นสุดความเป็นมารดา และบุตร

    มีคุณแม่คนหนึ่งมีลูกสาวสวยมาก และท่านไม่อยากให้ลูกแก่ ตัวท่านแก่ไม่เป็นไร แต่ท่านไม่อยากให้ลูกแก่เลย แต่ถึงทำอย่างไรลูกก็ต้องแก่ ก็แน่ๆ อยู่แล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไข หรือป้องกัน หรือเป็นที่พึ่ง หรือทำทุกอย่างให้พ้นไปได้

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่อให้พ้นจากภัยทั้งหลาย คือ เกิด มีมารดาบิดา แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ซึ่งความจริงไม่มีใครเลย นอกจากความติดข้องทำให้ยึดถือบุคคลหนึ่งบุคคลใด จะด้วยความผูกพัน หรือว่าด้วยกุศลจิตที่เป็นกตัญญูกตเวทีก็ตามแต่ แต่ละชาติก็เฉพาะชาติหนึ่งๆ แล้วก็มีมารดาใหม่ มีบุตรใหม่ ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยไปในสังสารวัฏ

    เพราะฉะนั้น ที่จะพ้นภัยจากภัยอย่างนี้ได้จริงๆ ก็คือไม่เกิดอีกเลย ท่านที่กำลังมีความทุกข์ ก็อาจจะเพิ่งเริ่มฟังวันนี้ ก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณาถึงความจริงว่า ไม่มีใครพ้นจากความจริงนี้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงจะทำให้เราเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละ เข้าใจถูกต้องหรือยังว่า เป็นเพียงธรรม ถ้ายังก็มีทุกข์ต่อไป ใครก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็คือ จะพ้นจากทุกข์ได้ เมื่อเป็นความเข้าใจของตัวเอง

    ผู้ฟัง อย่างเวลาที่เราได้ยินเสียง แล้วมีการระลึกถึงสภาพรู้ และความหมาย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567