ปกิณณกธรรม ตอนที่ 669


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๖๙

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๗


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีโลภะไหม เห็นไหม เตือนแล้ว ขณะนี้มีไหม แต่ว่ารู้หรือเปล่า มีคนตอบว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง นึก ใช่ไหม คิด แต่ไม่ใช่รู้โลภะ ทั้งๆ ที่ขณะนี้กำลังเป็นโลภะ นี้คือความต่างกัน มีก็ไม่รู้ ทั้งหมดที่พูด ไม่ว่าจะเป็น ถีนมิทธะ เวลานี้ใครมี ก็ไม่รู้ รู้จักชื่อ เรียกชื่อถูก แต่ว่าลักษณะที่ไม่ใช่เราเป็นสภาพธรรม ที่มีลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับโลภะ

    เมื่อกี้นี้รู้สึกคุณเด่นพงษ์ กับ คุณนิพัฒน์ วุ่นวาย ใช่ไหม วุ่นวายกับดอกไม้บนโต็ะ ใช่ไหม โลภะ หรือโทสะ เป็นแล้วเกิดแล้ว ดับแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะรู้จริงๆ ก็ไม่ใช่ พอจบไป หรือมีใครบอก หรือมีคนทัก แต่ว่าต้องเป็นสติสัมปชัญญะ ที่ระลึกในลักษณะนั้น จึงจะรู้ว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ แล้วเป็นลักษณะของธรรมด้วย ไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียว เหมือนอย่างที่คุณแก้ว ถามเมื่อกี้นี้ ถีนมิทธะ ก็เป็นลักษณะของถีนมิทธะ ไม่ใช่ใคร มีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้น ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ก็คือเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด จึงชื่อว่ารู้ มิฉะนั้นก็เป็นเรื่องคิด คิดว่ามีโลภะ คิดว่าเป็นโลภะ คิดว่าเป็นถีนมิทธะ แต่ว่าไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง ก็ลองคิดดูอีกทีว่า คิดถึงบ้าง ไม่คิดถึงบ้าง หรือว่าเวลาถามก็ ตอบได้ว่าชื่ออะไร แต่ว่าจะรู้ลักษณะจริงๆ ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด ในขณะสภาพธรรมนั้นปรากฏ

    ผู้ฟัง ผมก็ยังวุ่นวายอยู่ เมื่อกี้นี้ถีนมิทธะ ถ้าเป็นพระอริยบุคคล

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ไม่มี

    ผู้ฟัง พระอรหันต์แล้ว ท่านก็ง่วงเป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ ท่านเหนื่อยเป็น

    ท่านอาจารย์ ถีนมิทธะเป็นเจตสิก ที่เป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นลักษณะกิริยาจิต ไม่เรียกว่าถีนมิทธะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถีนมิทธะ เป็นอกุศลเจตสิก

    ผู้ฟัง ท่านไม่มี

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความแตกต่าง

    วิทยากร. ท่านมีความอ่อนเพลีย ร่างกาย

    ผู้ฟัง มันล้าไปเอง แต่ว่าของเรา ต้องง่วงเหงาหาวนอน ท่านอาจารย์ เมื่อกี้ที่ท่านอาจารย์ ว่าวุ่นวาย อย่างปัดดอกไม้ บางทีเราปัด เรายังทราบเลยว่าเราปัด เพราะโทสะ หรือโลภะ

    ท่านอาจารย์ ก็ทั้งหมดนี่ รับประทานอาหาร อาบน้ำ แต่งตัว พอตื่นขึ้นทุกอย่าง วุ่นวายด้วยอกุศล แต่ก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง แต่ถ้าเราวิเคราะห์ไปทุกๆ วาระ ของการกระทำของเรา เป็นสภาพธรรมหมด

    ท่านอาจารย์ คิด เป็นเรา ที่คิด

    ผู้ฟัง เป็นความอยากด้วย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่มี คนอื่นรู้ได้ วาระจิตของคนอื่น นอกจากของตัวเอง เพราะอะไร เกิดแล้วดับทันทีเร็วมาก ใครจะรู้ได้

    ผู้ฟัง น่าสนใจ ขอบพระคุณ

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่า ต่างระดับของ ปฏิภาณอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปฏิภาณเป็นความรู้ เป็นความสามารถ ในการใช้ถ้อยคำ ที่จะให้เข้าใจ หรือเข้าถึง ให้คนอื่น จะรู้ได้ ในความหมายนั้นๆ เวลาที่ศึกษามาแล้ว ก็ได้ยินได้ฟัง เรื่องของปรมัตถธรรม ทุกคนพูดได้เหมือนกันหมดเลย ใช่ไหม ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะตนๆ เป็นสภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็แล้วแต่จะพูดไป อันนี้ก็คือ จากความเข้าใจ ขั้นปริยัติ ถ้าสมมติว่ามีคำอีกมากมาย ที่เคยได้ยินได้ฟังมา แล้วก็ไม่ได้ทบทวนบ่อยๆ ก็จะมีการเสื่อมได้ ในเรื่องของปริยัติ แต่ไม่ใช่ ในปฏิภาณระดับของการรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสรรเสริญ ในที่นี้หมายถึงการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าไม่ได้นำมาซึ่งความเสื่อมของกุศล แต่กุศลที่เป็นไปในภูมิ ๓ ก็ยังเป็นกุศลที่แม้จะมี แต่ก็นำไปซึ่งความเสื่อมได้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ มีข้อความว่า เวลาที่รู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ขมักเข้น ความไม่ท้อถอย สติ และสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ก่อนที่จะละ ต้องรู้ ใช่ไหม แต่รู้ นี่ไม่ใช่รู ว่าเรา รู้จักอกุศลว่าเป็นธรรม

    แม้ที่ทำความเพียรก็ไม่ใช่เรา นี่เป็นสิ่งซึ่ง แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่สามารถจะรู้ได้พร้อมสติสัมปชัญญะ รู้แม้แต่ ขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ แล้วก็รู้เมื่อสภาพธรรมนั้นหมดไปด้วย จึงสามารถที่จะเห็น ความไม่ไช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ได้ เราจะเป็นผู้ที่ไม่ละเอียด แล้วก็ศึกษาธรรม ข้ามๆ แล้วก็คิดว่าสติสัมปชัญญะ จะรู้เพียงบางสิ่งบางอย่าง ไม่มีทางที่จะดับ การยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ

    ผู้ฟัง ง่วงนี้มันก็ป็นอกุศล ใช่ไหม ทีนี้มันก็บังคับบัญชาไม่ได้ ที่มันจะเกิด แต่ถ้า สติมันเกิดรู้ว่า ตอนนี้เราฟังธรรม ไม่ควรจะง่วงตรงนี้ใช่ไหมที่มันเป็น เหตุผลต่อมา

    ท่านอาจารย์ มิได้ หมายความว่า จะรู้จักง่วงเมื่อไร ตอนที่ยังไม่ง่วง หรือว่ากำลังที่ง่วงมีลักษณะนั้นปรากฏ แล้วขณะที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่รู้สภาพที่ง่วง ง่วงนั้นจะเป็นเราหรือเปล่า กว่าจะไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรม แล้วกว่าจะดับไป ให้ประจักษ์ว่าเกิดแล้วดับ นี่คือสิ่งที่จะต้องรู้ยิ่ง

    ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าพูดเลยไปหน่อย ง่วงมากจนกระทั่งหลับ ตอนนี้หลับมันเป็นวิบาก จิตยิ่งแย่เลย บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ต้องหลับไป

    ท่านอาจารย์ เหมือนกับจะบังคับ เหมือนจะอนุญาต แต่ความจริงแล้วแต่ว่า ขณะนั้น เป็นอะไร สำคัญที่สุดคือว่า สิ่งนั้นเกิดแล้ว จะง่วงนิดหนึ่ง ก็เกิดแล้ว จะง่วงมากๆ ก็เกิดแล้ว จะหายง่วงก็เกิดแล้ว คือ ทุกอย่างให้ทราบว่า จะรู้ความจริง ต่อเมื่อสิ่งนั้นปรากฏ ไม่ต้องไปใส่ใจในสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะว่าถ้าคิดว่า พอง่วงแล้วเราก็จะไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นคือใส่ใจในสิ่งที่ยังไม่เกิด ใช่ไหม แต่ในลักษณะที่ง่วงกำลังปรากฏ ไม่ใช่รู้อื่น ไม่ใช่คิดอื่น ไม่ใช่จะทำอื่น แต่ว่ารู้ลักษณะของลักษณะที่ง่วงในขณะนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจท่านอาจารย์ว่า อะไรจะเกิดถึงแม้มันไม่ดี ก็ต้องยอมรับ สภาพศึกษามัน ทีนี้อะไรมันไม่ดี เราเหมือนจะไม่อยากรับรู้มัน

    ท่านอาจารย์ มีตัวเราที่ยอม แต่ความจริงต้องเป็นปัญญา ที่เห็นถูกเข้าใจถูก จึงจะสามารถละสิ่งที่ไม่ดี ไม่ติดทั้งในสิ่งที่ ไม่ดี และ ดี เพราะเหตุว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจได้ ว่าเป็นสภาพธรรม ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด จะไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถที่จะหยั่งถึงลักษณะของ สภาพธรรมแต่ละอย่างได้ แต่ทุกอย่างที่ได้ยิน ชื่ออาจจะหลายชื่อทีเดียว เช่น วิตก หรือว่าภาษาบาลีก็ต้องเป็น วิ-ตัก-กะ สภาพที่ตรึกหรือคิด ขณะนี้มีไหม ก็มี เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่อง ที่มีอยู่ แต่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงจากการตรัสรู้โดยละเอียด ว่าสภาพธรรมที่มีทั้งหมด ต้องมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ให้เราค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนี้ แต่ว่าไม่เคยคิด ไม่เคยฟัง ไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างต่างกันอย่างไร โดยละเอียด ว่าแต่ละอย่างมีเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุปัจจัย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็คงจะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากคำที่ได้ยิน เช่น คำว่า วิตก เป็นสภาพที่ตรึกหรือคิด หรือมี แต่จริงๆ แล้วถ้าทราบถึงลักษณะของวิตกเจตสิก ยังไม่ทันคิด ทันทีที่จักขุวิญญาณ ขณะนี้เห็นแล้วดับ จิตที่เกิดต่อก็มีวิตกเจตสิกเกิดด้วย

    นี่ก็คือสิ่งซึ่งยากแสนยาก ที่จะรู้ที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม แต่ถ้ามีการฟังพระธรรม เริ่มที่จะเข้าใจว่า เราไม่รู้อะไรมากมายเหลือเกิน อวิชชามากมาย ที่ผ่านมาแล้ว ถ้าไม่รู้ ก็จะมีต่อไปอีกมาก แม้แต่เพียงขั้นฟัง ทันทีที่จิตเห็นดับ เพราะว่าจิตเกิดดับเร็วมาก จิตเห็นขณะนี้ดับหรือเปล่า ดับ ทุกคนก็ตอบ จิตเห็นขณะนี้ดับ แต่ว่าจิตที่เกิดต่อ จะเร็วสักแค่ไหน เพราะว่าขณะนี้เหมือนจิตเห็นไม่ได้ดับเลย แล้วจิตที่เห็น ไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ทันที่จะตรึกหรือจรดในอารมณ์ด้วย วิตกเจตสิก แต่มีปัจจัย ที่จะให้เห็นขณะนี้เกิดขึ้น เพราะว่ามีกรรมเป็นปัจจัย อยากเห็นหรือเปล่า นี่เริ่มที่จะแสดงถึงเหตุ ที่จะให้เกิดอกุศลจิต อยากเห็นไหม เห็นแล้วทุกคนต้องเป็นผู้ ตรง อยากเห็นไหม ไม่อยากเห็นหรือเปล่า เมื่อกี้อยากเห็นไหม ตอนนี้ไม่อยากเห็นหรือเปล่า ไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่อยากเห็นสิ่งที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นว่าแม้เห็นเกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มาอย่างไร ไปอย่างไร เกิดเห็นเดี่ยวนี้ได้ แต่ทั้งหมดต้องมีเหตุปัจจัย ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่ามีการฟังแล้วก็พิจารณา แล้วก็เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ให้เห็นความเป็นอนัตตา ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าไม่มีกรรม จะเห็นไหม เพราะว่ามีตาจักขุปสาท ซึ่งมีกรรมเป็นปัจจัย แล้วก็สิ่งที่กระทบตา เลือกไม่ได้เลย อยากจะเห็นแต่สิ่งที่ดี น่าพอใจ แต่วันหนึ่งๆ ใครจะรู้ดี เท่ากับแต่ละบุคคล แต่ที่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่า เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาแล้วก็จะรู้เลย ทุกขณะต้อง มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น แม้เห็น ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย อยากจะเห็นหรือไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น นอนหลับ ไม่ตื่นขึ้นเห็นได้ไหม ไม่ได้ ใช่ไหม ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าถ้าเข้าใจ ถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทุกขณะ ก็จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ หรือว่าการที่จะยึดถือสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นเรา เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องคิดว่าเราเห็น ใช่ไหม จะเป็นใคร จะเป็นเพียงเห็นที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป แค่ฟัง แต่ว่าฟังสิ่งที่เป็นสัจจธรรม เป็นความจริง จะไม่เปลี่ยนเลย แต่ว่าปัญญาจะต้องอบรมจนถึงสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ จึงเห็นได้ ถ้าไม่ใช่นามธรรมก็เห็นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ ไม่ว่าจะอ่านอะไร ที่ไหนอย่างไร ถ้ามี พื้นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในเรื่องสภาพธรรม แม้ว่าจะมีชื่อมาก ก็คือขณะนี้นั่นเอง แค่นี้ใช่ไหม แล้วก็เห็นอีก แล้วก็ไม่รู้อีก จนกว่าจะฟังอีก เข้าใจอีก เพิ่มขึ้นอีก ถึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย กว่าจะไต่ไปถึงลักษณะแท้จริงของสภาพธรรม ในขณะนี้ได้ ก็จะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ทรงตรัสรู้จะไม่มีคำสอนที่เรากำลังได้ยินได้ฟัง เรื่องของสภาพธรรมในขณะนี้เลย

    ผู้ฟัง อกุศลวิตก ๓ ประการ ที่เรียกว่าจะมีเป็นชีวิตประจำวัน สำหรับปุถุชนมีแน่นอนอยู่แล้ว ที่จะมีทั้ง ๓ ประการ แต่พูดถึงสมณะพราหมณ์ คนใดคนหนึ่งที่ถูก อกุศลสัญญาหรืออกุศลวิตก ทั้ง ๓ ประการนี้ก่อกวน ก็จะอยู่เป็นทุกข์ คือส่วนใหญ่เราก็จะคิดถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือเรื่องงาน เรื่องเงิน อะไรอย่างนี้ ก็ดูแล้วไม่เป็นทุกข์อึดอัดระอา ตรงไหน อันนี้ ตรงนี้จะต้อง ละ ด้วยไหม เพราะดูแล้วก็ไม่ก่อกวนอะไรมากมาย

    ท่านอาจารย์ เวลาไฟจะเกิดไหม้ กองใหญ่ๆ มาจากกองเล็ก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เริ่มจากเล็กๆ

    ท่านอาจารย์ สะสมไปทุกวันๆ มากไหม

    ผู้ฟัง สะสม ก็มากขึ้นๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังไหม้ศีรษะ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้สึก

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงไฟกำลังไหม้ศีรษะ เพราะเหตุว่าอวิชชามากมายเหลือเกิน

    ขอถามว่า ขณะไหน ไม่ใช่กาม ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เมื่อกี้พูดถึงเรื่องกาม ใช่ไหม มี ๒ อย่าง วัตถุกาม กับ กิเลสกาม กามคือความไคร่ ความพอใจ เราจะใคร่พอใจในสิ่งไม่น่าพอใจ ได้ไหม ถ้ากิเลสกามเกิด กิเลสกามจะพอใจในวัตถุกาม สิ่งใดที่พอใจของกิเลส ซึ่งเป็นความติดข้อง สิ่งนั้นเป็นวัตถุกาม เพราะฉะนั้น ความใคร่ก็จะ ต้องพอใจในสิ่งที่น่าใคร่สำหรับบุคคลนั้น อันนี้แน่นอน ใช่ไหม

    กิเลสกาม ความใคร่ ความพอใจ ก็ต้องพอใจในวัตถุกาม ซึ่งเป็นที่น่าใคร่น่าพอใจของกิเลสในขณะนั้น ถูกต้องไหม แล้วธาตุ ธา-ตุ มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธาตุ สิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่าง ที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง เฉพาะอย่างที่มีจริง ถ้าใช้คำว่า ธรรม กับใช้คำว่า ธาตุ ความหมายเหมือนกัน คือไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร มีลักษณะเฉพาะอย่าง เฉพาะอย่าง ที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นธาตุหรือเปล่า เป็น คือจะต้องเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังว่า ไม่ใช่ไม่มีอยู่ในขณะนี้ ทั้งๆ ที่กล่าวว่าเป็นธรรม เป็นธาตุ นี้ก็เพียงขั้นฟัง เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่ธรรม หรือไม่ใช่ธาตุ ไม่มี ในขณะนี้เป็นธาตุชนิดไหน

    ผู้ฟัง เป็นกามธาตุ

    ท่านอาจารย์ เป็นกามธาตุ ที่ไม่ใช่กามธาตุ ก็เป็น รูปาวจรธรรม ได้แก่รูปาวจรจิต ไม่ใช่กามธาตุ อรูปาวจรจิต โลกุตตระ เหล่านั้นไม่ใช่กามธาตุ เพราะฉะนั้น ในมนุษย์ หรือว่าในอบายภูมิ ในสวรรค์ ก็เต็มไปด้วย กามธาตุ เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ความพอใจของเรา ที่อยู่ในกามโลก ในมนุษย์ แล้วเป็นกามบุคคล จะพ้นจากความยินดีพอใจ ในสิ่งที่เห็น ในเสียงที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่กระทบสัมผัสไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นกามหรือเปล่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกาม ไม่พ้นจากกามเลย

    ถ้าจะเข้าใจคำว่า กามธาตุ ก็ต้องรู้ หมายความถึงธาตุที่ เป็นไปในกาม ในความติดข้องในรูปในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทั้งหมด เป็นกามธาตุ ขณะนี้เป็นกามบุคคลหรือเปล่า อยู่ในโลกนี้ก็ต้องเป็นกามบุคคล แล้วก็มีกิเลสกาม แล้วก็มีวัตถุกามซึ่งเป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สงสัยไหม ตอนนี้ ที่นั่งอยู่นี้ธาตุทั้งหมด ธรรมทั้งหมด แล้วก็เป็นระดับกาม ยังไม่พ้นจากระดับกาม ยังไม่ถึงรูปาวจรธรรม อรูปวจรธรรม โลกุตตรธรรม เพราะฉะนั้น ก็ต่ำสุด เป็นไปทั่วหมดดก็คือ กามธาตุ

    ผู้ฟัง ทำไมท่านอาจารย์ถึงกล่าวว่า ทุกอย่างไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะการเข้าใจ นี่ อะไรก็ของเรา กระเป๋าก็ของเรา นี่ก็ของเรา เป็นเจ้าของทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นเจ้าของอะไรบ้าง ลองให้ละเอียด สิ่งที่ปราฏกทางตา ใครเป็นเจ้าของ มาจากไหน แล้วจะบอกว่าเป็นของเราได้อย่างไร เพราะเพียงเห็น ที่จริงเพียงเห็นแล้วดับ ใครเป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏ หรือเสียงที่ได้ยิน ปรากฏเกิดขึ้น ใครทำให้เสียงปรากฏ เมื่อได้ยินแล้วเสียงก็ดับไป ใครเป็นเจ้าของ แม้แต่จิตได้ยิน ซึ่งคิดว่าเป็นเราได้ยิน ก็มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ใครเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถึงคำว่า ธรรม หรือธาตุจริงๆ ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีปัจจัยเกิด แล้วก็ต่อไป ก็จะเป็นเรื่องของความไม่รู้ ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ซึ่งเป็นกามวิตก กามสัญญาต่างๆ พวกนี้ก็มาจากสภาพธรรมในชีวิตประจำวันที่มี

    ผู้ฟัง อนุญาตขอเรียนถามท่านอาจารย์ ถ้าไม่รีบละ ให้รีบละเสียอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เวลาที่ฟังว่าทุกอย่าง เป็นธรรม พอมาถึงบรรทัดนี้ อาจจะลืม เป็นเราเสียอีกแล้ว เพราะฉะนั้น การที่เราจะเข้าใจธรรม จริงๆ ต้องมีพื้นฐาน ที่มั่นคง แล้วต้องไม่ลืม รากฐานพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย คือทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นเราอีก แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ จะรู้ได้ว่าใครรีบ แล้วรีบทำอะไร แล้วรีบได้ไหม เราซึ่งไม่รู้อะไรเลย จะไปรีบละกิเลส บรรเทากิเลส รีบอย่างไร ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ที่ใช้คำว่า รีบก็คือว่าเป็นผู้ที่ไม่นิ่งนอนใจ หรือว่าไม่ใช่ว่าไม่เห็นประโยชน์ ของการที่ฟังธรรมแล้วก็จะต้องอบรมเจริญปัญญา แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เรารีบไปทำอะไร หรือว่าให้รีบบรรเทา ใครรีบบรรเทาได้ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่เข้าใจความหมายของอนัตตา ไม่เข้าใจความหมายของธรรม ไม่เข้าใจความหมายของธาตุ ที่ฟังทุกวันบ่อยๆ สนทนากันด้วยเรื่องต่างๆ ก็เพื่อให้มีความมั่นคง ในความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าทั้งหมดมีจริง แต่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล เป็นธรรม หรือเป็นธาตุ ไม่ว่าจะกล่าวถึงข้อความใดทั้งหมด แม้แต่รีบ ขณะนั้น เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง รีบหรือ ก็เป็นธรรมเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็รีบ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ในกรณีนี้ เหมือนกับที่หลายแห่ง ที่บอกว่าเหมือนกับจะให้ทำ ทำไมถึงไม่รีบ ทำไมถึงไม่บรรเทา ตรงนี้จริงๆ แล้ว ในกรณีที่บอกว่า สิ่งนี้เป็นไม่ดี นะ ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วข้อประพฤติปฏิบัติ มันตรงกันข้าม ต้องเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์ อธิบาย ว่าต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ดิฉันว่าตรงนี้ เป็นข้อใหญ่เลย ที่ทำให้คนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ข้อปฏิบัติด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีพื้นฐาน ที่มั่นคง ถ้ามีพื้นฐานที่มั่นคง เราอ่านแล้วก็เข้าใจได้ ถ้าใครจะให้เรารีบ ถามเขาเลย รีบอย่างไร ทำอย่างไร ช่วยบอกด้วย อย่างเห็น ไม่มีชื่อเลย แต่ต้องใช้คำว่าเห็น เพื่อจะให้เข้าใจว่า หมายความถึง ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วมีธาตุที่สามารถเห็น สิ่งนี้ได้ ซึ่งธาตุอื่นไม่สามารถจะเห็นได้เลย นอกจากธาตุนี้ นี่ ไม่เห็นต้องมีธาตุอะไรเลย แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจในลักษณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ ว่ามี แล้วก็ไม่มีรูปร่างลักษณะ แต่กำลังเห็นนี่แหละคือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ไม่คิดว่าจะมีธาตุชนิดนี้ หรือว่าที่กำลังเห็นเป็น ธาตุ

    ผู้ฟัง ขณะอบรมทำไม จะต้องเจริญอย่างที่อาจารย์ว่า แต่ว่าเวลาการศึกษา พิจารณาไม่ได้ว่า อย่างกามวิตกอย่างนี้เป็นต้น เขาเกิดทางปัญจทวาร หรือว่า เกิดได้ทั้งปัญจทวาร หรือ มโนทวาร เพราะว่าทาางปัญจทวาร ชวนะ ชวนะนี่ กามวิตก เท่าที่ฟังมานี่ เกิดได้

    ท่านอาจารย์ กามวิตกขณะนี้ มีไหม คือต้องหาตัวจริงๆ ก่อน ว่ามีหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเราก็ไปนึกถึงชื่อ นึกถึงเรื่อง นึกถึงชวนะ นึกถึงทวาร แต่ขณะนี้ มีกามวิตกไหม หรือเห็นแล้ว ไม่มีการคิดถึงสิ่งที่ปรากฏ ได้ยินเสียงแล้วไม่มีการคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ ความรู้ของเรายังไม่ละเอียดพอ ถึงขณะจิตหนึ่ง มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย เราเพียงแต่ฟัง พิจารณา จากพระธรรมที่ทรงแสดงโดยละเอียดให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า สภาพธรรมที่จะเกิดได้ ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นจิต ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะไหนมีเจตสิกอะไร นั่นก็คือจากการฟัง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 108
    25 มี.ค. 2567