ปกิณณกธรรม ตอนที่ 678
ตอนที่ ๖๗๘
สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑
พ.ศ. ๒๕๔๗
ท่านอาจารย์ กับคนที่แล้วก็คงที่ขึ้นมาทีละน้อย เจริญขึ้นทีละน้อยก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกได้ ถึงความเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น อย่างเวลาที่ฟังธรรม หลายคนก็บอกว่า ตอนแรกๆ ก็อาจจะมีอกุศลมาก แต่ตอนหลังก็ค่อยๆ ดีขึ้น เจริญขึ้นหรือเปล่า ใช่ไหม ก็เจริญขึ้น แต่ว่าส่วนน้อยมาก เพราะเหตุว่ายังมีอยู่ ยังไม่ได้ดับหมดเลย เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ จะกล่าวว่าไม่เจริญก็ไม่ได้ แต่ว่าเหมือนคงที่ คือยังมีโลภะอยู่เท่าไร ยังมีโทสะอยู่เท่าไร ยังมีอะไรอยู่เท่าไร ก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะหมดไป เพราะฉะนั้น ก็จนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน
ผู้ฟัง ความเบื่อเกิดจากความยาก พอความไม่พอ ความยาก พิจารณาไป มันพิจารณาไม่ถึง พอไม่ถึงมันก็เบื่อ เบื่อแล้วก็หลับไปเลย
ท่านอาจารย์ ก็ขอถามคุณสุกิจ มีวิธีจะให้คุณสุกิจไม่เบื่อ แล้วก็มีวิธีที่จะให้สติปัฏฐานเกิด มีวิธีที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เอาไหม
ผู้ฟัง จะตอบว่าเอาก็ไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็นี่ก็ถูกแล้ว คือไม่รีบร้อนที่จะตอบว่าเอา แต่ว่ายังยับยั้งชั่งใจว่า หนทางจะมีหรือ จะถูกหรือเปล่า จะจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่หนักแน่นในเหตุผล รู้เลยว่าคำพูดนั้นผิด
ผู้ฟัง มีปัญหาถามมาจากท่านผู้ฟังว่า การจะเป็นพระโสดาบันได้ จะเริ่มต้นตรงไหน ในการละวางราคะ โทสะ โมหะ
ท่านอาจารย์ ละวางนี่ ปัญญาหรือว่าอวิชชา ละวางได้
ผู้ฟัง จริงๆ ต้องเป็นปัญญา
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น การเป็นพระโสดาบันคือ โลกุตตรปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา อย่าคิดฝันที่จะเป็นพระโสดาบัน เป็นชื่อที่ปรารถนาที่ต้องการ โดยไม่รู้ว่าการเป็นพระโสดาบันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน หรือเราจะไปถึงได้ แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง อริยสัจ ๔ เมื่อไรก็เป็นพระโสดาบันเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องละความไม่รู้ ก่อนอื่นเป็นผู้ที่ตรงที่สุด ขณะนี้ที่กำลังเห็น เราพูดกันถึงเรื่องรูปารมณ์ ภาษาไทยง่ายๆ ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ ยังเป็นคน เป็นสัตว์ หรือว่าเริ่มที่จะเข้าใจอรรถที่ว่า ไม่ติดไม่ยึดมั่นในนิมิตอนุพยัญชนะ ทั้งๆ ที่มีสิ่งที่ปรากฏ เคยยึดมั่นว่าเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ แต่ว่าเวลาที่ปัญญาเกิด ก็สามารถที่จะเริ่มค่อยๆ เข้าใจตั้งแต่คำที่ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรม อย่างหนึ่ง มีจริงๆ แล้วปรากฏ วันนี้ก็ปรากฏ พรุ่งนี้ก็ปรากฏ ต่อไปก็ปรากฏ ก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท ถ้าไม่มีตา ตาบอด สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ จะไม่ปรากฏเลย
เมื่อมีเหตุปัจจัย พร้อมที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อไร ก็หมายความว่า มีธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งกำลังสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ค่อยๆ มีความเข้าใจอย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะละความสงสัย ละความไม่รู้ในความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา แล้วก็เป็นอย่างนี้หรือยัง ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ จะเริ่มอย่างไรที่จะให้ปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ได้ ก็ไม่มีทางเลย ก็เป็นแต่เพียงหวัง อ่านชื่อ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานบ้าง แต่ขณะนี้มีสภาพธรรม แล้วก็ที่จะค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เริ่มหรือยัง ถ้ายังไม่เริ่ม ก็ไม่มีทางที่จะเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เฉพาะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เรื่องราวที่คิดนึก ถ้าจิตไม่เกิด ก็ไม่มีเรื่องนั้นๆ เลย ต้องเข้าถึงความเป็นธรรมของนามธรรมและรูปธรรมทั้งหมด หมดความสงสัยในสภาพธรรมทั้งหลาย แล้วก็ประจักษ์แจ้งในความเป็นจริงของนามธรรมและรูปธรรม จึงจะถึงความเป็นพระโสดาบันได้
เพราะฉะนั้น ที่จะไปปฏิบัติ หรือ ปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่ว่าเราจะไปปฏิบัติเลย แต่ว่าความเข้าใจที่เกิดจากขั้นการฟัง การพิจารณา แล้วก็มีความมั่นคงเป็นสัจจญาณ รู้ว่าปัญญารู้ถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามใครเลยว่ารู้แค่ไหน หรือว่ายังไม่ได้รู้เลย เพียงแต่ฟัง แล้วค่อยๆ จำไว้ บางครั้งก็จะเกิดการนึกขึ้นมาได้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แล้วลองนึกบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ สามารถจะค่อยๆ เข้าใจถูกได้ไหมว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะว่าบางท่านอาจจะไม่ชอบเลย คือดูเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็ปัญญาจะรู้ได้อย่างไร แต่ปัญญาต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะกำลังปรากฏ มิฉะนั้น ก็คือ ความไม่รู้ตลอดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น เลิกคิดเรื่องพระโสดาบัน เลิกคิดเรื่องปฏิบัติ แต่เป็นเรื่องที่ว่า เป็นผู้ตรงว่าขณะนี้รู้ หรือไม่รู้ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ในขั้นของการฟัง เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมมีหลากหลาย สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นลักษณะอย่างนี้แหละ ซึ่งไม่สามารถจะไปกระทบหู กระทบกาย ก็ไม่ได้ แต่ต้องกระทบจักขุปสาทเท่านั้น ธรรมอย่างนี้จึงจะปรากฏได้ แล้วปรากฏแล้วก็ดับด้วย การที่จะไม่ยึดถือสภาพธรรม เพราะมีความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ก็เป็นเรื่องของการอบรม เป็นเรื่องของภาวนา คือ การมีขึ้นเจริญขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมได้
อ. ประเชิญ ตามที่ท่านอาจารย์ได้อธิบาย ตรงกับใน โสดาปัตติยังคสูตร โสดาปัตติยังคสูตร ข้อที่ ๑ การคบสัตบุรุษ ๒ การฟังธรรมของสัตบุรุษ ข้อ ๓ คือ โยนิโสมนสิการ ข้อที่ ๔ คือ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ซึ่งท่านกล่าวว่า เป็นองค์ที่เป็นไปในส่วนเบื้องต้นที่จะให้ได้โสดาปัตติมรรค
ผู้ฟัง จากที่ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวอยู่ อย่างที่ว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ท่านอาจารย์อธิบายไปในลักษณะของที่ว่า เป็นสภาพธรรมที่ไม่ได้มีอยู่ แล้วก็ปรากฏ แต่ดิฉันไปนึกเป็นเรื่องราวที่ว่าอย่างตัวดิฉันเอง ไม่ได้มีมาเลย แล้วก็มี อยู่ในท้องมารดา ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ มีอยู่ในท้องมารดา อันนี้ตอนนี้ หรือว่าเสียงไม่มีแล้วก็มี
ผู้ฟัง น่าจะเสียงไม่มี แล้วก็มี มากกว่า
ท่านอาจารย์ นั่นสิ นี่ข้อสำคัญที่สุด คือเวลานี้ไม่ได้มีท้องของมารดา แต่เมื่อกี้นี้ไม่มีเสียง แต่เดี๋ยวนี้ก็มีเสียง แล้วเสียงก็ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เมื่อกี้นี้แข็งไม่ปรากฏ ไม่มีแข็ง แต่แข็งก็มี แล้วก็หามีไม่
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ต้องเป็นในลักษณะของปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเห็นภัยของการเกิดดับ
ผู้ฟัง บุคคลที่ ๔ ท่านกล่าวว่า เป็นพระโสดาบันมีอันไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เป็นอย่างไร ไม่ตกต่ำนี้
อ. นิภัทร ปิดประตูอบายได้ ไม่มีไปอบายภูมิแน่นอน แล้วก็เกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ สุปพุทธกุฏฐิ บุรุษโรคเรื้อนน้ำเต้า ท่านก็จน ขนาดที่ต้องไปขอข้าวจากพระ จากอะไรทาน ไปในวัด วันหนึ่งบังเอิญเขาทำบุญกันมากมาย ก็ไปวัดเผื่อจะได้อะไรที่เหลือจากพระบ้าง แต่ปรากฏว่ามีคนเขาฟังธรรมกัน ก็เลยนั่งฟังหน่อย ฟังไปๆ พระพุทธองค์ท่านรู้ คนนี้จะได้บรรลุมรรคผล ฟังจบก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน พระอินทร์ทดลอง ลองกล่าวสิว่าพระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แล้วจะให้สมบัติ ให้ร่ำรวยเลย ท่านบอกไม่มีความหมาย การได้สมบัติ เป็นพระอินทร์ก็ดี หรือว่าได้สมบัติอะไรทั้งหลายทั้งปวงไม่มีความหมาย เพราะว่าสมบัติ คือ อริยมรรค คืออริยผล คือความเป็นพระโสดาบันยิ่งใหญ่กว่าสมบัติทั้งหลายในโลก เพราะฉะนั้น เรื่องจะเอาเงินเป็นโกฏิ เป็นล้าน หรือเอาภูเขาเป็นทองมาแลก ท่านไม่เอาหรอก ท่านไม่ต้องการ
ผู้ฟัง ท่านได้อริยทรัพย์แล้ว
อ. นิภัทร ท่านได้แล้ว ท่านไม่จน
ท่านอาจารย์ เป็นชีวิตประจำวัน เพราะว่าการที่เราจะมีชีวิต อยู่ทุกชาติ นี่ก็เข้าใจได้ เมื่อได้ศึกษาพระธรรมว่า ชีวิตของเราถึงการกระทำที่เป็นกุศลมากน้อยแค่ไหน ในวันหนึ่งๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่าแม้ว่าจะเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ยังต้องถึงการกระทำที่เป็นกุศลด้วย จนกว่าจะถึง ความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะเห็นได้ว่าเราไม่สามารถที่จะถึงการกระทำที่เป็นกุศลได้ตลอดเวลา เพราะเหตุว่าบางกาลก็เป็นอกุศล แต่ก็ทรงแสดงธรรมที่ควรถึง ๔ ประการ ๔ ข้อแรก เป็นสิ่งที่เป็นกุศลหรือเปล่า ธรรม ๔ ประการเป็นที่ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ หาได้ยากในโลก เป็นกุศล หรือเปล่า เป็นหรือไม่เป็น เป็นโลภะก็ต้องเป็นโลภะ จะเป็นกุศลได้อย่างไร ธรรมที่ปรารถนา เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้ว ที่เกิดมามีโลภะ ยังไม่ได้ดับโลภะเลย เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดมาแล้ว โลภะก็ปรารถนาธรรม ๔ ประการซึ่งไม่ทราบมีใครปฏิเสธว่า ไม่ต้องการประการหนึ่งประการใดบ้างหรือเปล่า
ประการที่ ๑ ขอโภคสมบัติจงเกิดแก่เรา อันนี้ขอ แต่ก็ยังมีสติที่จะรู้ว่าโดยทางที่ชอบ เพราะฉะนั้น ก็ต้องแยกกัน ขณะที่ขอโภคสมบัติจงเกิดแก่เรา ขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นโลภะ แต่โดยทางที่ชอบ ไม่ใช่โดยทางทุจริต ถ้าไม่ใช่โดยชอบ ก็คือย่อมทำการที่ไม่ควรทำ บุคคลมีอภิชฌาวิสมโลภะครอบงำแล้ว ย่อมทำการที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ อย่าง สมโลภะ กับวิสมโลภะ แต่ว่าขอให้พิจารณาถึงสิ่งซึ่งเป็นที่ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจของทุกคนในโลกก็คือ ขอโภคสมบัติจงเกิดแก่เรา แต่ว่า ถ้ามีความคิดว่าโดยทางที่ชอบ ก็ขณะนั้น ก็ไม่คิดที่จะแสวงหาโภคสมบัติในทางที่เป็นอกุศล ชีวิตนี้เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะสลับกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่อยากมีโภคสมบัติ ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล แต่ขณะที่มีความเห็นที่ถูกต้อง คือ ไม่เป็นไปในทางทุจริต ขณะนั้นก็เป็นความเห็นที่ชอบ ประการที่ ๑ แต่ให้ทราบว่า ไม่มีใครที่ไม่มีอารมณ์ที่น่าปรารถนาคือโภคสมบัติ เพราะฉะนั้น โภคสมบัตินี่หาได้ยากในโลกไหม ที่หากันทุกวัน หาโภคสมบัติ ถ้าไม่ต้องหาก็หาได้ง่าย แต่นี้หาได้ยากในโลก คือต้องกระทำกิจการงาน ต้องแสวงหาทางที่จะให้ได้โภคสมบัตินั้นๆ ความปรารถนาข้อที่ ๑ ทุกคนมี ทีนี้ต่อไปก็จะได้พิจารณาว่า เมื่อมีความปรารถนาข้อที่ ๑ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เพราะต้องหาโภคสมบัติ เมื่อได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว แค่นั้นพอไหม ได้แล้ว โภคสมบัติมีแล้ว ก็ยังปรารถนาต่อไป
ขอยศจงมีแก่เราพร้อมกับญาติ พร้อมกับพวกพ้อง นี่เป็นธรรมประการที่ ๒ อันเป็นที่ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ หาได้ยากในโลก ความปรารถนาไม่เคยสิ้นสุดเลย ตัวคนเดียวทำทุกอย่าง แต่ว่าถ้ามีพวกพ้อง ก็ยังมีผู้ที่ช่วยเหลือ สงเคราะห์ในกิจการงานต่างๆ ได้ แม้ว่ามีทรัพย์แต่ก็ต้องมีการกระทำ ซึ่งการกระทำนั้นก้ต้องอาศัย พวกพ้อง คือบริวาร ยศ ต้องการไหม ทุกคนก็ต้องการ ไม่มีใครที่อยากจะเกิดมาตัวคนเดียวในโลก ไม่มีเพื่อน แล้วก็ไม่มีพวกพ้อง
ประการที่ ๓ ครั้นได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว ได้ยศ พร้อมกับญาติ พร้อมกับพวกพ้องแล้ว ความปรารถนาต่อไปก็คือ ขอเราจงเป็นอยู่นาน รักษาอายุอยู่ได้ยั่งยืน นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ อันเป็นที่ปรารถนารักใคร่ ชอบใจ หาได้ยากในโลก ธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริงทุกประการ ที่จะเตือนให้รู้สึกตัวว่าโลภะเป็นไปในทางไหนบ้าง เป็นไปในโภคสมบัติ เป็นไปในบริวารสมบัติ คือพวกพ้อง เมื่อได้แล้ว อยากจะตายเร็วๆ หรือเปล่า มีทั้งโภคสมบัติ มีทั้งบริวารสมบัติ ก็ขอให้มีอายุยืน นี่ก็เป็นธรรมที่หาได้ยากในโลก เพราะว่าจะยืนแค่ไหน ยืนเท่าไรก็ไม่พอ ถ้าอายุสัก ๒๐ ก็ยังไม่อยากตายแล้ว ๓๐ ยังอยู่ต่อไปอีก ๔๐, ๕๐, ๖๐, ๗๐, ๘๐, ๙๐, ๑๐๐ ถามคนที่อายุร้อยหนึ่งว่าพอไหม จะตอบว่าอย่างไร ไม่พอ ถ้าสามารถจะอยู่ได้เหมือนบนสวรรค์ มีอายุทิพย์ ก็ไม่อยากที่จะจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมที่หาได้ยากในโลก เพราะเหตุว่ายากที่จะเป็นไปได้
ประการที่ ๔ คือรู้แน่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ครั้นได้โภคสมบัติโดยทางที่ชอบแล้ว ได้ยศพร้อมกับญาติ พร้อมกับพวกพ้องแล้ว เป็นอยู่นาน รักษาอายุอยู่ได้ยั่งยืนแล้ว เมื่อกายแตกตายไป ขอเราจงไปสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ อันเป็นที่ปรารถนา รักใคร่ชอบใจ หาได้ยากในโลก
อ. นิภัทร รู้สึกว่าเราผู้ครองเรือน เป็นคฤหัสถ์ โอกาสที่จะห่างไกลจากโลก จากโลภะ รู้สึกจะเป็นไปได้ยาก แต่ว่าโลภะตามธรรมใน ๔ ประการนี้ คงจะไม่ถึงเป็นเหตุให้ตกนรก
ท่านอาจารย์ เพราะว่าผู้ที่ไม่มีโลภะ คือพระอรหันต์ แสดงให้เห็นว่า แม้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็ยังมีความติดข้อง แล้วแต่ว่าระดับขั้นนั้นเป็นระดับไหน เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ก็คิดดูถึงใจของเราว่าเราจะติดข้อง หนาแน่นมากมายสักเท่าไร โดยความที่ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล แต่เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ความปรารถนาในทางที่เป็นอกุศล อยากได้ นะอยากได้ ทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งอายุยืน แต่ว่าไม่เป็นไปในทางที่เป็นอกุศลที่จะทำให้ไปสู่อบายภูมิ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้ สะสมมาอย่างไร ทุกขณะจิตที่เกิดขึ้น คนอื่นทำให้เกิดไม่ได้ แม้เราเองก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีเรา แต่ทุกขณะที่เกิดขึ้น มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น แต่ละขณะจิตย่อมเป็นไปตามปัจจัย แต่พระธรรมก็ได้ทรงแสดง ให้พิจารณาให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า แม้ยังมีอกุศล แต่ก็ควรถึงการกระทำ คือกุศลกรรมด้วย มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีแต่ อกุศลมากมาย
ผู้ฟัง คนเราเวลารับราชการ หรือทำงาน มันต้องการ ๔ อย่างนี้แน่ๆ แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอีก ๔ อย่าง คือทั้งยศ ทั้งทรัพย์ ทั้งอายุยืน ทั้งขึ้นสวรรค์ โดยที่จะต้องมีทั้งศรัทธา ทั้งศีล ทั้งจาคะ และทั้งปัญญา
ท่านอาจารย์ คงไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ที่ทำงาน หรือราชการอย่างที่คุณสุรีย์ กล่าวถึง เพราะเหตุว่า ธรรมเป็นเรื่องจริง เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ใครจะไม่พอใจในโภคสมบัติ หรือว่าในบริวารสมบัติ คือ พวกพ้องมิตรสหาย หรือว่าเมื่อได้แล้วก็อยากที่จะมีอายุยืน แล้วเมื่อรู้แน่ว่าต้องตาย ก็ขอให้เกิดในสวรรค์ ทุกคนปรารถนาอย่างนี้หรือเปล่า แน่นอน มีใครปฏิเสธว่าไม่จริง บ้างไหม นี่เป็นพระพุทธพจน์ แล้วก็สิ่งใดที่เป็นความจริง ต้องค่อยๆ พิจารณาว่า หนทางที่จะให้ได้มาคืออย่างไร เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา หาได้ยากในโลกแล้ว สิ่งที่ได้มา ได้มาจากไหน เพราะว่าบางคนอาจจะคิดว่าต้องทำทุจริตแล้วก็ได้มา แต่ความจริงทั้งหมดนี้ ต้องมาจากถึงการกระทำที่เป็นกุศล
เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ เรามีแต่โลภะ มีความปรารถนา มีความต้องการใน ๔ อย่างนี้ หรือว่ามีการถึงการกระทำที่เป็นกุศลกรรมด้วย ซึ่งก็จะได้พิจารณาว่าพระผู้มีพระภาค ได้พิจารณาหนทางที่จะทำให้ได้สิ่งที่ปรารถนาทั้ง ๔ ประการ ซึ่งเป็นเรื่องของกุศลทั้งสิ้น ประการแรกคือ ศรัทธาสัมปทา
ศรัทธาสัมปทา คือความเชื่อในการตรัสรู้ ในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงสภาพธรรม ที่ได้ตรัสรู้ตามความเป็นจริง ในเรื่องของผล ในเรื่องของเหตุ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่กล่าวไว้ ก็เป็นสิ่งซี่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเหตุว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของกุศลกับอกุศล ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ทรงแสดงว่า ธรรมที่น่าปรารถนาทั้งหมด จะได้มาก็เพราะกุศล ไม่ใช่ได้มาเพราะอกุศล
กุศลประการแรกก็คือ ศรัทธา ความเชื่อในการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้ก็จะมีได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม แล้วก็ได้เข้าถึงความเข้าใจในอรรถ ในความหมายของพระธรรมที่ทรงแสดง จึงทำให้บุคคลนั้น มีศรัทธาสัมปทา คือมีความเชื่อถึงพร้อมด้วยความเชื่อ หรือว่าความผ่องใสของจิตที่มั่นคง ในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นก็เพียงแต่เชื่อว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ แต่ไม่ทราบว่าสอนอย่างไร เพราะฉะนั้น การกระทำก็เป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้น ในการที่เราฟังธรรม พิจารณาธรรม ก็เพื่อเพิ่มศรัทธาในการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ไม่ทราบข้อนี้มีใครสงสัยไหม ศรัทธาสัมปทา ถึงพร้อมในการเชื่อพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ มีแต่ว่ายังไม่ถึงพร้อม เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาต่อไป เพื่อที่จะได้มั่นคงยิ่งขึ้น ถึงพร้อมด้วยศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว ผู้ที่มีศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว เป็นใคร
ผู้ฟัง พระโสดาบัน
ท่านอาจารย์ ไม่หวั่นไหวเลย มั่นคง เมื่อมีศรัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธาแล้ว การกระทำของเราก็ไม่เป็นไปในทางทุจริต คือ
เป็นผู้ที่เว้นจากปาณาติบาต การทำลายชีวิตของบุคคลอื่น สัตว์อื่น
เว้นจากอทินนาทาน การถือเอาสิ่งของที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้
เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดในกาม
เว้นจากมุสาวาท การพูดสิ่งที่ไม่จริง
เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
วันก่อนนี้ก็ได้สนทนาธรรมกับท่านผู้หนึ่ง ที่ท่านก็ดื่มสุรามาก ในวัยหนึ่ง ท่านก็อธิบาย ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่ได้ดื่มสุราแล้ว ก็เป็นเรื่องของอกุศลมากมายหลายประการ ทุกอย่างจะค่อยๆ มา ตามขณะที่ดื่มสุราจนกระทั่งเมา เพราะฉะนั้น ถ้าเว้นได้ก็เว้นเหตุอันเป็นที่ตั้งของความประมาท
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 680
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 720
