ปกิณณกธรรม ตอนที่ 677


    ตอนที่ ๖๗๗

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๗


    ผู้ฟัง ตอนแรก ผมจะใช้วิธีจำเอาว่า ถ้ารูปายตนะจะต้องคู่กับจักขุ สัททายตนะ จะต้องคู่กับหู อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งมันก็เป็นการที่จะพอฟังเสียงขึ้นมา ก็บอกนี่ได้ทางหูแล้ว จริงๆ แล้วมันยังคลาดเคลื่อนอยู่มากทีเดียว

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นธรรม จนกว่าจะเป็นธรรมทั้งหมดที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ ความสุขก็แสวงหา แต่ความทุกข์แสวงหาหรือ หรือแสวงหาด้วยความไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสภาพธรรมเกิดขึ้น ทุกข์จะมาจากไหน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่มีนามธรรม ไม่มีรูปธรรมเลย จะเจ็บจะป่วยไหม เพราะฉะนั้น แสวงหาสิ่งซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ สภาพธรรมที่ไม่น่าพอใจ ตั้งแต่ทุกขเวทนา โทมนัส ความขุ่นเคืองใจ ความคับแค้นใจ ความโศกทุกอย่าง จนกระทั่งถึงสังขารทุกข์ สภาพธรรมที่เกิดดับ อย่างที่คุณแก้วบอก ไม่มีใครต้องการทุกข์

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างเช่น พรากจากสิ่งที่รัก อะไรอย่างนี้ มันทำไมต้องแสวงหา ไม่ได้แสวงหานี่

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้แสวงหา แต่แสวงหาอะไรที่เป็นที่รัก อะไรที่เป็นที่รัก ขันธ์ นามธรรม รูปธรรม ที่เป็นที่รัก คุณแก้วจะรักอะไร ถ้าไม่มีนามธรรม รูปธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นที่รัก และสิ่งที่เป็นที่รักต้องพลัดพรากแน่ ก็คือว่าแสวงหาทุกข์

    ผู้ฟัง ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระโสดาบัน ลักษณะตรงนี้มันก็ยังต้องมีอยู่ เกิดขึ้นหรือ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้แจ้ง รู้ยิ่งโดยชอบในลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางที่จะหมดความสงสัย ไม่มีทางที่จะไม่ยึดถือสภาพธรรมใดๆ

    ผู้ฟัง แต่มันก็แปลก เวลามันเกิดขึ้นที มันต่อต้านแรงขึ้นกว่าครั้งแรกๆ ทุกครั้ง

    ท่านอาจารย์ ก็ให้เห็นกำลังของการสะสมในอดีตแสนโกฏิกัปป์ กับวันนี้หรือว่ากี่ครั้งที่ได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์บรรยายแสดงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา รูปารมณ์ไม่มีชื่อ ตรงนี้ถ้าไม่ได้ฟังท่านอาจารย์ การอบรมมันก็เพี้ยนไป

    ท่านอาจารย์ คนที่เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องสี พอจะบอกได้ไหมว่าสีมีอยู่กี่สี

    ผู้ฟัง ก็หลายสี

    ท่านอาจารย์ นับไม่ถ้วน มากกว่าที่เราคิดอีก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเสียเวลา กับการที่จะนับสีต่างๆ อะไรที่ปรากฏ เข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งนั้นตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าปรากฏให้คิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะตามความเป็นจริงว่าจากทางตาไปสู่ทางใจรวดเร็วแค่ไหน

    ผู้ฟัง ผู้อ่านแล้วไม่ได้ฟังก็จะเข้าใจผิด เพราะว่า ถ้าเมื่อไร เป็นสีเขียว สีเหลืองไปแล้ว สภาพธรรมตรงนั้นก็เป็นทางธัมมารมณ์

    ท่านอาจารย์ ทำไม ใช้คำว่าเป็นสีเขียว สีเหลืองไปแล้ว เราไม่ต้องเรียกชื่อไง

    ผู้ฟัง แต่ถ้าอ่านอย่างนี้ ถ้าไม่มีคำแสดงขึ้นมา มันก็ข้ามไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น บางคนจะสงสัยว่า เวลาที่รู้ว่าเป็นสีเขียว สีเหลือง เป็นจักขุวิญญาณหรือเปล่า หรือว่าจักขุวิญญาณเห็นสีเขียว สีเหลือง หรือเปล่า ก็เป็นเรื่องสงสัย แต่ถ้าเข้าใจอรรถ คือความหมายของรูปารมณ์ สิ่งที่ปรากฏทางตา ใช้ภาษาอะไรก็ได้ ใช้ไหม ใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย อะไรได้หมดทุกอย่าง แต่หมายถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ถ้าขณะที่เห็นเป็นคนแล้ว ขณะนั้นถ้าสภาพรู้ปรากฏก็ได้ ตรงนี้ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น การฟังก็คงจะต้องละเอียดที่ว่าสละเรื่องราว ไม่ใช่หมายความว่าไม่รู้อะไรอีกต่อไปเลย แต่หมายความว่าเคยยึดถือเรื่องราวนั้นเป็นจริงเป็นจัง เที่ยง ไม่ได้ดับเลย มีญาติพี่น้องมีเพื่อนฝูง มีสถานที่ต่างๆ เป็นเรื่องเป็นราวทั้งหมด แต่เวลาที่เป็นปัญญาที่เห็นชอบตามความเป็นจริงก็รู้ว่าขณะไหนเป็นปรมัตถธรรม และขณะไหนจิตกำลังคิดนึกเรื่องราวของปรมัตถธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวเลย แต่เรื่องราวไม่ใช่ปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นแต่เพียงความทรงจำซึ่งนึกคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นก็ต้องรู้ว่า ลักษณะของสัญญาความจำ มี ในเรื่องนั้นๆ จึงคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้

    เพราะฉะนั้น เวลากล่าวว่า สละเรื่องราว ก็หมายความถึงการที่เราจะสละความคิดนึกว่ามีเราในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วเมื่อไม่มีเรา สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ก็ต้องไม่มีความเป็นคนนั้นคนนี้โดยปรมัตถธรรม เป็นแต่เพียงเรื่องราวของสิ่งที่ เป็นปรมัตถธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่กล่าวถึงสละความเป็นเรา ก็คือสละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา สละเรื่องราวก็คือ สละการที่เคยเห็นผิด ยึดถือเรื่องราวว่าเป็นจริงเป็นจัง หรือว่าเป็นคนที่ไม่ดับเลย เป็นญาติพี่น้อง ที่ไม่ดับ แต่ว่าความจริงแล้วก็คือชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่เห็นแล้วคิดนึกก็รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นอะไร แต่ไม่ใช่หมายความว่าหลังจากที่รู้ความจริงแล้วไม่มีเรื่องราวใดๆ เลย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ไม่มีเรื่อราวที่เคยยึดถืออย่างมั่นคงว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ

    ผู้ฟัง เรียนถาม พรหมจักร ต้องมีธรรมจักร ความหมายเหมือนกันไหม

    อ. นิภัทร มันอันเดียวกัน บางที่ท่านจะใช้คำว่า พรหมจักร แปลว่าจักรอันประเสริฐ

    อ. ประเชิญ โดยมากท่านจะอธิบายว่า เป็นเทศนาญาณ และปฏิเวธญาณ ที่เป็นพรหมจักร ธรรมจักรของพระผู้มีพระภาค พระธรรมเทศนาที่เป็นการเทศนาของพระองค์ และเป็นการรู้แจ้งอริยสัจของพระองค์ เป็นปฏิเวธญาณ พระญาณที่แทงตลอดในอริยสัจทั้งหลาย

    อ. อรรณพ คุณประเชิญ จักรก็คือวงล้อ หรือว่าการที่จะหมุนไป พรหมก็คือว่าประเสริฐ พรหมจักร ก็คือวงล้อที่ประเสริฐที่จะหมุนไปสู่ความเจริญ ก็คือพระธรรมที่พระองค์ทรงประกาศแล้ว ผู้ใดเข้าใจก็จะหมุนไปสู่การที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ ก็คงเป็นความหมายเดียวกับพระธรรมจักรที่พระองค์ทรงประกาศในวันอาสาฬหบูชา ก็คือพระธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง สติจะระลึกอย่างไร จึงลดละได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ตรงลักษณะที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง สติ พิจารณาไม่รู้เรื่องหรือ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเป็นสติ

    ผู้ฟัง เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สติที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยอบรม อบรมให้เกิดสติ

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังนี้ คืออบรม ฟังทุกเรื่อง อบรมทุกเรื่อง

    ผู้ฟัง มันยังไม่เข้าถึงสภาวะ

    ท่านอาจารย์ เข้าถึงง่ายหรือยาก

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ถ้าพิจารณาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มันจะลดโลภะได้ ลดคันถะ ลดโอฆะอย่างนี้ได้หมด ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ เจตสิก ๕๐ ประเภท

    เห็นเป็นคนเป็นสัตว์ต่างๆ อันนี้เป็นปกติ ไม่ว่าผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ หรือผู้ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ที่จะเห็นแล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไร เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ข้อสำคัญก็คือว่า เวลาที่เห็นอย่างนี้ คนที่ยังไม่ได้ดับความเห็นผิด ก็จะมีความยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นคนจริงๆ ไม่ได้ดับเลย ก็ยังเข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานี่แหละ เป็นคน คือเห็นทีไรก็ไม่ได้รู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ตรงนี้ที่ต้องฟังบ่อยๆ แล้วก็นึกถึงอยู่เรื่อยๆ แล้วก็พิจารณาให้เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ต้องไปถึงทางใจ คิดนึกต่างๆ เพราะในขณะนี้เอง เห็นมี ได้ยินมี แต่ลืมว่ามีคิด ระหว่างเห็นกับได้ยินด้วย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไรปรากฏทางตานิดเดียวก็ตาม จากนั้นทางใจจะรู้ แล้วก็จำในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดเสมอ พร้อมทั้งนึกถึงเรื่องราวด้วย นี่เป็นชีวิตปกติประจำวัน จากความเป็นปุถุชน แล้วก็เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดก็จะมีการรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ด้วยความค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริงว่าขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน เพราะจะมีคิดอยู่คั่นกลางอยู่ตลอด ไม่ว่าจะหลังเห็น หลังได้ยิน ก็จะต้องคิด โดยไม่รู้ตัวเลย ขณะนี้ถ้าถามคนที่กำลังนั่งแล้วเห็นว่าคิดอะไรหรือเปล่า จะตอบว่าอย่างไร คิดหรือไม่คิด คิด คิดอะไร ก็ถามต่อไปอีกว่าคิดอะไร คิดที่ไม่รู้ตัวก็มี ใช่ไหม อย่างเห็นเป็นคน ไม่รู้แล้วว่าคิดแล้ว เข้าใจว่าเห็นเป็นคนเลยทันที หรือว่าเวลาที่ได้ยินเสียง ก็ไม่รู้ว่าคิดแล้ว ก็คิดว่าได้ยิน เสียงเป็นคำๆ ไปทันที

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เวลาที่มีความคิดเกิดขึ้น มีความคิดหลายอย่าง คือคิดรูปร่างสัณฐาน แล้วก็รู้โดยที่ว่า เราไม่รู้ตัวว่าขณะนั้น เป็นความคิดอย่างเร็วมาก จึงสามารถที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันที นี่คือความเกิดดับอย่างรวดเร็วของธรรม เพราะฉะนั้น ปกติธรรมดาเป็นอย่างนี้ เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด จะต่างกับอย่างนี้หรือเปล่า เป็นปกติ นี่คือความเป็นปกติ ไม่ต่างกับความเป็นปกติเลย แต่บุคคลนั้นมีสัมมาทิฏฐิ องค์ ๑ ของมรรคมีองค์ ๘ ที่รู้ว่าขณะนั้น สติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็มีลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งเป็นอารมณ์ เพราะว่าตามความเป็นจริงที่เราศึกษาธรรมก็คือ ให้รู้ว่าทุกอย่าง ทุกขณะในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมเลย มีจิต สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงได้ปรากฏ เพราะถ้าไม่มีจิต สิ่งทั้งหลายปรากฏไม่ได้เลย เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ มีจิตเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วทุกขณะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ปรากฏ ถูกต้องไหม เดี๋ยวสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ เดี๋ยวเสียงปรากฏ เดี๋ยวกลิ่นปรากฏ หรือว่าจะคิดนึก ก็ได้ในขณะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงเข้าถึงความหมายที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็มีลักษณะต่างกันไปด้วย แต่ที่ไม่ประจักษ์ก็คือไม่ประจักษ์การเกิดและดับของธรรมซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้อย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ความเป็นปกติ ก็คือเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อไม่รู้สภาพธรรม ก็เกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ แต่เมื่อสติสัมปชัญญะเกิด เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ยังไม่ได้รู้ หรือเห็นชอบตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นเลย

    จากการฟังก็จะเป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง เสพมากๆ คิดบ่อยๆ พิจารณาเนืองๆ ก็จะทำให้มีการรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นธรรมดา ธรรมดาอย่างนี้ มีปัจจัยที่จะระลึกก็ระลึก มีปัจจัยที่จะระลึกลักษณะสภาพธรรมใดได้ทั้งนั้น โดยที่ว่า ไม่มีใครไปเลือก เพราะว่าจะเลือกได้อย่างไร ขณะต่อไปอะไรจะเกิดก็เลือกไม่ได้ ขณะต่อไปสติจะระลึก ก็แล้วแต่สติ แล้วสติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมใดก็ต้องแล้วแต่ สติซึ่งเกิดในขณะนั้นที่กำลังรู้ตรงลักษณะนั้น

    เพราะฉะนั้น เป็นปกติจริงๆ ที่ระลึก แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความต่างก็คือ หลงลืมสติ ต่างกับขณะที่สติเกิด แต่ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน เป็นปกติทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ก็ระลึกได้ ใช่ไหม เป็นธรรมดา ดับแล้วก็ดับไป ก็เป็นปกติธรรมดา แล้วก็เกิดอีก เมื่อมีปัจจัย ข้อสำคัญก็คือไม่หวั่นไหว ด้วยความเป็นเรา เพราะว่าจะสังเกต และจะเข้าใจลักษณะของโลภะ ซึ่งเป็นสมุทัยมากขึ้น ความติดข้อง ความต้องการ แค่ระลึกนิดเดียวโลภะก็มาแล้ว เร็วมากต่อจากนั้น แล้วแต่ว่าจะปรุงแต่งให้เป็นอย่างไร

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็ยังเห็น ยังได้ยินเหมือนปกติ แต่รู้ในความต่างของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง พระสูตร อลคัททูปมสูตร บุคคลเปรียบด้วยน้ำ เปรียบด้วยน้ำ ในที่นี้ อรรถกถา ก็หมายถึงว่าการดำลง แล้วก็ตัดถึงเรื่องวัฏฏะกับวิวัฏฏะ ที่ก็ยังไม่หมดกิเลส ก็เป็นพวกวัฏฏะ พวกที่หมดกิเลสแล้ว สุดท้ายก็คือวิวัฏฏะ คนที่โผล่ขึ้นได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบก อันสุดท้ายนั้นเป็นวิวัฏฏะ หมายถึงพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วรู้สึกว่ากำลังอยู่ในน้ำหรือเปล่า หรือลืมไปแล้ว คิดว่าอยู่บนฝั่ง หรือบนบก

    อ. นิภัทร บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงแล้วคราวเดียว ก็เป็นอันจมอยู่นั้นเอง

    ผู้ฟัง นี้ท่านกล่าวว่าเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ใช่ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ควรจะเป็นประเภทที่ ๒ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเห็นโทษภัยของความเห็นผิดที่ดิ่งอย่างน่ากลัวมาก คือไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาทั้งชีวิต ก็คงจะเป็นอกุศลจิตส่วนใหญ่ แล้วก็ประกอบกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ตามความเห็นผิดด้วย

    ผู้ฟัง ผู้ที่มีความผิดที่เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ ใช่ที่ทำอกุศลกรรม แล้วไม่เห็นโทษ อย่างสมมติว่าฆ่าสัตว์ แล้วก็บูชาพระเจ้า แต่ก็ไม่รู้ว่านี่คือ เป็นอกุศลกรรมย่อมให้ผลที่เป็นอกุศลวิบาก ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใช่ ที่จริงพยัญชนะ พระบาลีก็ตรงตัว นิยตะ มั่นคง เที่ยง เปลี่ยนแก้ไขไม่ได้หมายความว่าไม่เปลี่ยนแปลง ทิฏฐิคือความเห็น เพราะฉะนั้น คนที่มีความเห็นผิด ชนิดซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคง ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลก็จะรู้จักตัวเอง ถ้าได้ฟังธรรม แต่คงไม่ฟัง ใช่ไหม เพราะว่ามีความเชื่อมั่นว่า ไม่มีประโยชน์ กรรมก็ไม่ใช่สิ่งที่กระทำแล้วจะให้ผล ไม่เป็นอันว่ากระทำ ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มาจากเหตุ คือไม่ได้มาจากกรรม

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องเหตุผล ถ้าอย่างนั้นจะฟังทำไม จะเรียนทำไม แต่คนที่เรียน ก็เพราะเหตุว่า เข้าใจว่าไม่รู้ และผู้ที่ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจได้ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น บุคคลเหล่านั้นก็ศึกษาธรรมด้วย ด้วยความละเอียด ด้วยความรอบคอบ เพราะเหตุว่าถ้าเกิดเห็นผิดไปเมื่อไร ก็ตกไป จมลงไปอีกแล้ว อาจจะโผล่ขึ้นมานิดเดียว หน่อยเดียว แล้วก็จมลงไปอีก แต่ที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าเป็นความเห็นผิดอื่น ก็พอที่จะแก้ไขได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า มีความไม่รู้ แล้วก็มีความเห็นถูก หรือความเห็นผิด แต่ถ้าเชื่อว่าตัวเองเห็นถูก ก็จะไม่กลับมาสู่ ความเห็นที่ถูกเพราะเข้าใจว่า ความเห็นผิดนั้นเป็นความเห็นถูก

    ผู้ฟัง คุณกุลวิไล เรื่องนี้มีอยู่ใน ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค สามัญผลสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ก็มี บูรณกัสสปะ อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจยนะ ทั้ง ๓ ท่าน เป็นความเห็น ถ้าไม่เชื่อว่าการกระทำมีผล มันก็เท่ากับไม่เชื่อว่ามีเหตุ ไม่เชื่อว่าการกระทำนี้มีผล ไม่เชื่อผล ตอนแรกไม่เชื่อเหตุก่อน แล้วก็ไม่เชื่อผล ไม่เชื่อการกระทำว่าจะมีผล ๓ ท่านนี้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ แล้วรายละเอียดในเรื่อง อย่างนี้ จะหาดูได้ใน สามัญผลสูตร พูดถึงเรื่องครูทั้ง ๖ แต่ ๓ ท่านนี้ เต็มๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า มีความเห็นอย่างไร ก็อาจจะทราบได้ว่าบุคคลนั้นเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ หรือไม่ใช่

    อ. ประเชิญ ทั้ง ๓ ท่าน อรรถกถาท่านกล่าวว่าโดยอรรถแล้วเหมือนกัน เพราะว่าปฏิเสธทั้งหมด อย่าง อกิริยทิฏฐิ ปฏิเสธการกระทำว่าไม่เป็นอันทำ อันนั้น ทำบุญก็ไม่มีผล ปฏิเสธผลไปในตัว ทำบาปก็ไม่เป็นบาป ส่วนอเหตุกะ ก็คือไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เกิดมาเองเกิดขึ้นลอยๆ ส่วนนัตถิกะ คือปฏิเสธทั้ง ๒ อย่างเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยอะไรเลย โดยอรรถ เขาปฏิเสธทั้งเหตุทั้งผล

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่แต่เฉพาะนิยตมิจฉาทิฏฐิซึ่งเป็นโทษ แม้ทิฏฐิอื่นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นโทษทั้งนั้น

    อ. ประเชิญ เป็นโทษทั้งนั้น แต่ว่าประเภทที่ ๑ คือ จมลงถ่ายเดียว ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบบางคน จะเคยได้ยินได้ฟัง ชีวิตของแต่ละคนอาจจะเกิดมามากน้อย ยาวสั้นต่างกัน ไม่ได้ทำกรรมดี อะไรเลยก็มี อาจจะเป็นผู้ร้ายที่ฆ่ามาก หรือว่ากระทำทุจริตกรรมต่างๆ เป็นโจร แล้วก็เป็นอกุศลกรรม จิตที่เป็นอกุศลก็มาก การกระทำที่เป็นอกุศลกรรมก็มาก ก็ไม่ทราบว่าบุคคลนั้นมากไปด้วยธรรมฝ่ายดำ แม้ว่าไม่ถึงกับนิยตมิจฉาทิฏฐิ หรือถ้าคิดว่าคนนั้นสามารถจะทำกรรมอย่างนั้นได้ เขาจะเชื่อเรื่องกรรมไหม แต่นี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่า บางคนถึงแม้เชื่อเรื่องกรรม ก็ยังทำอกุศลกรรมได้ ก็เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคลจริงๆ เพราะฉะนั้น พระธรรมก็จะช่วยทำให้เรามีความเข้าใจถูกว่า บุคคลก็มีมาก สำหรับปุถุชนผู้ที่จม แล้วก็ไม่ขึ้นมาเลยก็มี หรือว่าจมเพียงโผล่ขึ้นมา

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ความเห็น ก็คือรู้สึกว่าจะเป็นทั้ง ข้อ ๑ และข้อ ๒ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะว่าถ้าสติไม่เกิดแล้วก็

    ท่านอาจารย์ แต่ปุถุชนก็มี ๓ อย่าง มีพระอริยบุคคล ๔ ลำดับแล้วก็มีปุถุชน ๓ ที่จมฝ่ายเดียว แล้วก็ที่โผล่ขึ้นแล้วก็กลับจมไปอีก ว่าไม่คงที่ในกุศลธรรม และผู้ที่คงที่ในกุศลธรรมก็เป็นอีกบุคคลหนึ่ง ไม่เสื่อมลงไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่หรือเปล่า เพราะว่าคุณสุกิจพูดอยู่เสมอ สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่เจริญขึ้น คงที่

    อ. ประเชิญ คุณสุกิจก็ยังศึกษาธรรม ยังฟังอยู่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ไม่เสื่อม

    อ. ประเชิญ แต่ก็บอกว่าไม่เจริญไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ จนกว่าคุณสุกิจจะบอกว่าเจริญ ใช่ไหม เพราะยังพูดอยู่เสมอว่ายังไม่เจริญ ยังไม่เจริญ

    ผู้ฟัง จนกว่าสติจะเกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าการเจริญขึ้น ยากที่จะเห็น หรือว่าเห็นง่าย แม้ว่าจะเจริญก็จริง แต่ว่าทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่รู้สึก เพราะว่ายังไม่ใช่พระโสดาบัน

    อ. ประเชิญ เพราะฉะนั้น ก็เลยจัดว่าคงที่ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริง คงที่ก็มีหลายระดับ หรือหลายบุคคล คนที่คงที่เรื่อยๆ จนตาย กับ คนที่คงที่แล้วก็ขึ้นมาทีละน้อย เจริญขึ้นทีละน้อยก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกได้ถึงความเป็นพระโสดาบัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 108
    11 พ.ค. 2568