ปกิณณกธรรม ตอนที่ 704
ตอนที่ ๗๐๔
สนทนาธรรม ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๔๖
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะสามารถจะเกิดแล้วก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงให้สติระลึกแล้วก็ดับเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปติดตามคิดว่ามันคือ ภายในหรือภายนอก หรืออะไร เพราะว่าจริงๆ แล้วการอบรมเจริญความรู้ถูกในลักษณะของสภาพธรรม เพื่อละ แต่ทีนี้ความเป็นเรา ก็ทำให้ไม่ละ แล้วก็ติดตามไปจนกระทั่งถึงว่านั่นอะไร ภายในหรือภายนอก ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างแม้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพียงเพื่อสติระลึกเท่านั้น แล้วก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าความรู้ของเรา จะมีในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งสติระลึกต่อไปอีก ต่อไปอีก ซึ่งเป็นชั่วขณะสั้นๆ
ผู้ฟัง เข้าใจว่าขณะที่สติระลึก มันจะไม่มีเรื่องราว มีแต่สภาพธรรม แต่มาติดใจตรงที่กล่าวว่า เวทนาภายนอก
ท่านอาจารย์ นี่ไง ที่เรามาติดใจตรงนี้ เพราะว่าไม่เข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ เพื่อสติระลึกเท่านั้น แล้วก็หมดแล้วด้วย แล้วก็จะมีนามธรรมและรูปธรรมอื่น แล้วสติระลึกต่อหรือเปล่า ถ้าไม่ต่อก็คือไปอยู่ที่ติด แล้วก็พยายามไปคิดเรื่องนั้น แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่มีขณะนี้สั้นมาก เกิดแล้วดับแล้ว ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดระลึกก็เพียงเพื่อระลึกเท่านั้นเอง แล้วก็ดับด้วย แต่ว่าความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่สติระลึก จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลเลยในพยัญชนะ เพราะเหตุว่าเป็นปกติของเราในชีวิต ซึ่งคิดนึกสารพัด เพราะว่าเราจะต้องรู้ว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏทางทวาร ๕ แล้วต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของการคิดนึก เราจะคิดนึกอะไรก็ได้จากสิ่งที่ปรากฏ เห็นคนร้องไห้ เห็นคนหัวเราะ ก็เป็นเรื่องของเวทนา ความรู้สึก แล้วไม่ใช่ความรู้สึกของเราด้วย เพราะกำลังเห็นเขาหัวเราะ ก็เป็นเรื่องตามปกติ แล้วแต่ว่าความคิดนึกจะคิดอะไร เรื่องอะไร จะคิดเรื่องเวทนา เรื่องความรู้สึก หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด สิ่งนั้นก็เพียงเพื่อระลึกแล้วหมด อยู่ที่ว่าความรู้ของเราสามารถจะรู้ในความไม่ใช่ตัวตน ในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดต่อไปอีก เกิดต่อไปอีก เกิดต่อไปอีก จนกว่าปัญญาของเราสามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้
อ. นิภัทร สติปัฏฐาน คืออารมณ์ของสติในขณะนั้น ก็คือความคิดของเราเอง
ท่านอาจารย์ เพียงเพื่อสติระลึก
อ. นิภัทร ถ้าเป็นคนอื่น เป็นอะไรต่ออะไร มันก็เป็นเรื่องราวไป
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ระลึกแล้วดับแล้ว แล้วก็ต่อจากนั้น ก็แล้วแต่ความรู้ของเราสามารถที่จะเพิ่มขึ้นไหม ในสภาพธรรมอื่นๆ อีกที่สติสัมปชัญญะระลึกอีก แต่ทรงแสดงกว้างขวาง เพราะเหตุว่า บุคคลที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่มีแต่เพียงผู้ที่ไม่ได้ฌาน ผู้ที่ได้ฌานก็มีด้วย เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงความหลากหลายของสัมมาสมาธิว่า ในขณะนั้น กำลังระลึกรู้ลักษณะของสภาพใด ถ้าฌานจิตเกิดก่อน แล้วก็เป็นสัมมาสมาธิตามลำดับ แล้วแต่ว่าจะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน สติสัมปชัญญะก็สามารถที่จะเกิดแทงตลอดโลกุตตรจิตนั้นก็ต่างกันไปตามลำดับของฌานนั้นๆ
วันนี้ก็เป็นวันที่เราจะเริ่มพื้นฐานพระอภิธรรม ซึ่งฟังดูแล้วก็รู้สึกเหมือนกับ อาจจะบางคนคิดว่าขั้นต้นเหลือเกิน เพราะว่าใช้คำว่า พื้นฐานของพระอภิธรรม แต่ว่าตามความเป็นจริง ถ้าเราเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เราจะเข้าใจทันทีว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มั่นคง เราก็จะศึกษาธรรมได้อย่างที่ไม่ชื่อว่าเข้าใจจริงๆ เพราะว่าเราอาจจะคิดว่าเป็นเพียงคำ เป็นภาษา หรือเป็นตัวหนังสือ แต่ทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ใน ๓ ปิฎกก็เป็นสัจจธรรม คือเป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าในกาลไหน เช่น ในขณะนี้ ก็จะต้องเข้าใจว่า การศึกษาธรรม คือมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วก็กำลังปรากฏ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษา เราไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เช่นกำลังเห็น จะอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นพระธรรมเทศนาหลากหลายมากมายทั้ง ๓ ปิฎก ทั้งๆ ที่วันหนึ่งๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็มีคิดนึก ซ้ำไปซ้ำมา แต่ทำไมเป็นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ก็แสดงว่าธรรม เป็นสิ่งที่แม้ว่าปรากฏเป็นปกติ แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง
ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึง ตามความเป็นจริงว่า ก่อนได้ฟัง เราไม่สามารถที่จะเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะไม่รู้ว่าสามารถที่จะตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ โดยละเอียดลึกซึ้งถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดไม่เหลือเลย ซึ่งการที่จะรู้ว่าแต่ละคน มีกิเลสมากมายสักแค่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม เริ่มเห็นความต่างของก่อนฟังกับการที่เริ่มได้ฟัง ว่าก่อนฟังไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น มีชีวิตวันหนึ่งๆ ก็เรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ วงศาคณาญาติ บ้านเมือง ข่าวสารต่างๆ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าขณะนั้นเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะบางคนก็เข้าใจว่า ธรรมอยู่ที่อื่น ไม่ใช่อยู่ที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ธรรม คือ ในขณะนี้ ศึกษาสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ยากหรือง่าย ลองคิดดู ขอให้ทุกคน ร่วมกันสนทนา
ผู้ฟัง สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หนักๆ เข้า รู้สึกเราจะไม่เข้าใจเองแล้ว ว่ามันคืออย่างไรกันแน่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้วเราต้องเข้าใจคำที่ใช้ด้วย อนัตตาหมายความถึง ไม่ใช่ตัวตน คำว่า เรา เข้าใจได้ มีแน่นอน ขณะนี้ แต่ไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีตัวตนจริงๆ แต่มีสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ก็จากการที่เคยเป็นเรามานานแสนนาน ก็เริ่มที่จะเข้าใจ เมื่อได้ฟังพระธรรมว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือพื้นฐานที่จะทำให้เราเข้าใจว่าเรากำลังศึกษาอะไร เรากำลังศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่เคยเป็นเรา เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา คิดนึกเป็นเรา ขณะนี้ก็มีการเห็นบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ แท้ที่จริง ทั้งหมดเป็นธรรม
ธรรมนี้หลากหลายมาก ทรงแสดงละเอียดขึ้น หลากหลายขึ้น จนกระทั่งเราสามารถที่จะเห็นว่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีปรากฏในชีวิตประจำวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซ้ำไปซ้ำมา แต่สภาพธรรมแต่ละอย่างมีปัจจัยเกิดขึ้นปรุงแต่ง แต่ละขณะจะไม่เหมือนกันเลย เช่น ขณะเมื่อกี้นี้ กับ ขณะนี้ ดูเหมือนกับว่าเห็นคนเดิม แต่ความจริงนั่นคือความไม่เห็นถูก ไม่เข้าใจในถูกในลักษณะของสภาพธรรม ที่เกิดแล้วก็ดับเกือบจะเรียกได้ว่าทันที เร็วมาก แต่ว่ามีความทรงจำในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ จนกระทั่งเหมือนกับว่ามีสิ่งนั้นจริงๆ แม้ว่าไม่มีแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจว่ามีได้ หรือว่าเข้าใจว่ายังมีอยู่ นี่ก็คือความที่เป็นอัตตสัญญา การทรงจำว่ามีเรา หรือเป็นเรา
ผู้ฟัง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์บุคคล ถ้าจะเปรียบกับที่เรายึดกันอยู่นานๆ เป็นเราก็คือหมายความว่าสิ่งที่มันมีแล้ว มันก็หายไปแล้ว เรื่องเมื่อวานมันก็ดับไปแล้ว มันก็ไม่กลับมา อะไรอย่างนั้นหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นั่นเป็นความคิดนึกเรื่องราวของธรรม ซึ่งธรรมตัวจริงละเอียดกว่านั้นมาก เล็กน้อยกว่านั้นมาก แล้วก็ไม่มีเรื่องราวเลย เป็นแต่เพียงการทรงจำที่ทำให้คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ นี้ก็เป็นสิ่งที่เราเริ่มมองเห็นว่า แม้เราจะมีชีวิตอยู่ แล้วก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม เริ่มเห็นอวิชชา แล้วเริ่มรู้สึกตัวว่าเราอยู่ในความมืดจริงๆ มืดสนิท ตาบอด คือแม้ว่าสภาพธรรมมี แต่เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เหมือนกับว่า ไม่รู้อะไรเลย มีแต่ความเป็นเราซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่มี
ผู้ฟัง หมายความว่า ที่พระองค์ทรงแสดงว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ ความจริง แต่พวกเรานี่คงไม่สามารถที่จะรู้ไปจนถึงความจริงนั้น จนกว่าจะต้องอบรมจนมีปัญญาที่แก่กล้า อย่างนั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เพียงได้ยินคำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็ผ่านไม่ได้แล้ว เพราะว่าผ่านจริง ทุกอย่างเป็นธรรม ได้ยินบ่อยๆ แต่พอเห็นเป็นอะไร เห็นไหม เริ่มแสดงความต่างว่าเพียงขั้นฟัง เราฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจได้จริง แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ เราไม่ได้เข้าใจจริง ตามที่เราได้ยินได้ฟังมา
เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะเป็นความรู้จริงของเราเอง ประโยชน์ของการศึกษาธรรม ก็คือว่าเป็นปัญญา เป็นความเห็นถูกของเรา ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น มิฉะนั้นการฟังธรรมหรือการศึกษาธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้
ผู้ฟัง แรกๆ ในการฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมก็ไปลงตรงที่ว่าธรรมชาติ
ท่านอาจารย์ เราก็เริ่มคิดเอง เริ่มคิดถึงธรรมชาติ เริ่มคิดถึงอย่างอื่น แต่ว่าจริงๆ ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เราจะต้องเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และสภาพที่สามารถเห็นสิ่งนั้นได้ นี่คือเราเข้าใจธรรม แต่ถ้าเป็นเรื่องราวเมื่อไร ก็คือว่า ขณะนั้น เราไม่ได้ศึกษาธรรม เราไปคิดถึงเรื่องราวของธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ถ้าเราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย เดี๋ยวนี้ ฟังไป เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยว่าขณะนี้ เป็นธรรม แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่า แล้วเมื่อไร ปัญญาจะสามารถรู้ว่าเป็นธรรม
นี่ก็แสดงว่าที่ฟังเริ่มต้น ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงตัวธรรมได้ เพียงแต่ว่าเริ่มได้ยิน เรื่องราวของธรรม เหมือนคนที่อยู่ในความมืด ยังไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างหนึ่งตามความเป็นจริง แต่เริ่มได้ยินพระธรรม ที่จะทำให้รู้ว่าตรงนี้มีอะไร คือตรงนี้มีธรรม มีสิ่งที่ลึกซึ้งมาก มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งนี้เกิดปรากฏไม่ได้เลย แต่สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏหมายความว่า สิ่งนั้นเกิดแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้ แต่โดยเหตุผล ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด จะปรากฏได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้งได้เลยว่า ขณะนี้เหมือนมีสิ่งที่ปรากฏแล้ว โดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้น แล้วจะไปรู้ตอนไหนว่าเกิด ก็มีอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าสิ่งนั้นก็ไม่ได้ปรากฏว่าดับ แล้วจะมีสิ่งที่เกิดให้รู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ นี่คือการฟังให้เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ เป็นการศึกษาธรรม แล้วคำทุกคำที่ใช้ในภาษาหนึ่งๆ ก็เพื่อที่จะส่องไปถึงลักษณะของสภาวธรรม ให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น มีใครคิดว่าฟังแล้วก็เข้าใจได้เลยทันทีไหม ต้องฟังนาน เพียงแต่ว่าเป็นธรรม เดี๋ยวก็ลืมๆ เพราะว่าคุ้นเคยกับความหลงลืม แล้วคุ้นเคยกับความไม่รู้
เพราะฉะนั้น ก็จะมีแต่ความคิด แล้วก็ความทรงจำ เวลาที่ฟังธรรม ก็เริ่มที่จะมาทรงจำ และคิดเรื่องราวของธรรม แต่อย่างนั้นก็เป็นความคิดอีกนั่นแหละ ไม่ใช่ลักษณะของธรรมจริงๆ ซึ่งแต่ละอย่างก็ปรากฏแต่ละทางได้
เพราะว่าจริงๆ แล้ว ธรรมก็คือย่างนี้ ไม่ว่าเราจะฟังครั้งไหนก็ตาม ถ้าเป็นความที่สามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือการศึกษาของเราถูกต้อง เพราะว่าเราพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยง หนีไม่พ้น เห็นได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน และความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแล้ว ลึกซึ้ง เพราะว่าต้องเป็นพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วก็ตรัสรู้ความจริง เรื่องเหมือนธรรมดาๆ อย่างนี้ แต่สามารถให้เราประจักษ์ได้ถึงความไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวตน ไม่มีอะไรเลยนอกจากมีสภาพธรรมที่จะปรากฏได้ เฉพาะแต่ละทาง และไม่ยั่งยืนด้วย เพราะว่าเมื่อปรากฏแล้วก็หมดไปๆ แต่เมื่อไม่รู้อย่างนี้ แล้วผู้ตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ เราก็ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะค่อยๆ รู้อย่างนี้ได้ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท คือไม่คิดว่ารู้แล้วในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา เมื่อพิจารณารูปของสัตว์โลกซึ่ง
ท่านอาจารย์ ยัง ไม่คิดเลย เรื่องสัตว์โลก เรื่องอะไรไม่คิด คิดเฉพาะสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เวลานี้ถ้าเราไปพูดถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏกับเรา ก็เหมือนสิ่งที่อยู่ในความมืด จะพูดเรื่องกลาป กลาปก็ไม่ได้ปรากฏ จะพูดเรื่องจิต เจตสิก ก็เพียงเริ่มที่จะรู้ว่ามีอะไรในความมืด แต่ยังไม่สว่างพอที่จะเห็นลักษณะของจิต ลักษณะของเจตสิก ลักษณะของรูป ทุกคนอยู่ในห้องมืดในความมืดสนิท แต่ว่ามีเสียงที่จะทำให้เราเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่มี และสามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรองได้ คุณวิจิตรมีความมั่นใจจริงๆ ไหมว่า เห็นเป็นธรรม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นต้องศึกษาจนกว่าจะเข้าใจชัดในคามเกิดขึ้น และดับไปของธรรม ไม่ใช่คิดเรื่องอื่น แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ว่าเป็นธรรม แล้วก็ศึกษาเรื่องนี้ ให้เข้าใจ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า สภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ ง่ายไหมที่จะรู้ ดิฉันคิดว่า จริงๆ มันปรากฏอยู่ มันน่าจะง่ายที่จะรู้ แต่คราวนี้เราไม่ทราบว่า อะไร คือธรรม ตั้งแต่เล็กๆ ขึ้นมาก็ไม่ได้ฟังธรรมเลย ก็ไม่ทราบว่าอะไรคือธรรม ตอนโตมาแล้ว ถึงฟังมันก็ยังฟังน้อย เพราะฉะนั้น ตรงนี้ มันจะเป็นจุดที่ทำให้เราไม่ทราบว่า อะไรคือปรากฏ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เรานั่งที่นี่ แล้วเหมือนเด็กอนุบาล นักเรียนอนุบาลจริงๆ หรือใครไม่อยากจะอยู่ชั้นนี้ อยากจะไปไกลๆ
ผู้ฟัง แต่จะไปไกล แค่ไหน ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องตามลำดับ แล้วก็เป็นความเข้าใจของเราเอง ที่ห่วงใยก็คือว่าขอให้เป็นความเข้าใจของแต่ละท่านที่ฟัง แล้วก็พิจารณา แล้วไตร่ตรอง แล้วก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น ที่ไม่ได้ปรากฏ แต่ว่าให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เคยเป็นเรา เคยเข้าใจว่าเรา แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ และทรงแสดงว่าเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย เห็นเกิดขึ้น ไม่ให้เห็นไม่ได้ เพราะเห็นเกิดแล้ว ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เห็นเกิด เห็นเกิดได้ไหม คนตาบอด อย่างไรๆ ก็เห็นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดขึ้น นอนหลับสนิทก็ไม่มีเห็น เพราะไม่มีปัจจัยที่เห็นจะเกิด เพียงค่อยๆ พิจารณาถึงความจริงในชีวิตประจำวัน แยกออกมาเป็นแต่ละขณะ แล้วก็แต่ละทาง เช่น ทางตา กำลังมีสิ่งที่เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทางหู มีสิ่งที่เป็นธรรม ลักษณะต่างกับทางตา เพราะฉะนั้น ธรรมเริ่มมีลักษณะให้เห็นว่า ต่างๆ กัน ไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย
ผู้ฟัง พอดีได้โอกาสถามว่า ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตาศึกษาอย่างไรให้ถูกต้อง
อ. วิชัย เริ่มต้นในตอนต้น ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังนั่งอยู่ แล้วก็มีธรรม ซึ่งความจริงก็คือสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟัง เช่น เรื่องของการเห็น การเห็น ทุกท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้ ไม่เห็น เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าเพียงกล่าวแค่นี้ ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาว่า การเห็นคืออะไร แล้วก็เป็นอะไร เกิดจากอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าแม้แต่การเห็น อะไรที่เห็น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงสภาพธรรมที่มี ๒ อย่าง คือ ๑ สภาพที่รู้ กับ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย
ถ้าเราเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ที่เราเคยคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย เป็นบุคคลโน้น บุคคลนี้ เป็นโลก เป็นประเทศต่างๆ แต่จริงๆ ก็มีเพียงธรรม ๒ อย่างเท่านั้น
นามธรรม หมายถึงว่าเป็นสภาพรู้ ถ้าปราศจากนามธรรม คือสภาพรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีเลย คือไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่รู้ จะเกิดเหตุการณ์อะไรในเมื่อไม่มีสภาพรู้ สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ
อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ในตอนต้นคือเริ่มจะเข้าใจตามลำดับ แต่ว่าความเข้าใจนี้ก็ไม่เพียงพอ เพราะเหตุว่าเป็นเพียงการกล่าวเพื่อที่จะเข้าใจในสิ่งที่มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ คุณธีรพันธ์
อ. ธีรพันธ์ ก็ไม่ต้องมองเรื่องความเข้าใจว่าจะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ได้หนีจากท่านไปเลย ใช่ไหม ขณะที่นอนหลับสนิท ขณะนี้จะต่างกัน เพราะขณะนี้กำลังปรากฏ แต่ขณะที่หลับสนิทที่ผ่านมา ไม่ได้ปรากฏเลย อันนี้จะเป็นความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ แล้วสติเกิดขณะนี้ จะเป็นไปได้ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ซึ่งเราคงจะฟังวันนี้ แล้วก็จะคิดถึงการเป็นพระโสดาบัน หรือว่าให้มีสติมากๆ ก็เป็นสิ่งที่คิดด้วยความเป็นเรา ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้อะไร ก็คิดถึงอย่างนั้น คิดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปเป็นพระโสดาบันชาตินี้ หรือเป็นอะไร ให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีให้ตรง ให้ถูกต้อง แล้วก็ไม่ลืมแม้แต่คำแรกที่ได้ยินคือ ธรรม และเป็นอนัตตาด้วย ต้องสอดคล้องกัน เพราะว่าธรรมทุกคำที่เป็นสัจจธรรม สอดคล้องกันทั้งหมด ต้องเป็นความจริง เป็นสัจจธรรม
เพราะฉะนั้น ก็คงยังเป็นชั้นอนุบาลกันต่อไป ไม่ทราบว่าจะนานเท่าไร แต่ว่าแต่ละท่านจะรู้ตัวเองว่า ได้ผ่านพ้นระดับขั้นของการที่เริ่มฟัง เริ่มต้น เริ่มเห็น ความห่างไกล ของผู้ที่ตรัสรู้ กับผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็จากการที่เป็นปุถุชน คนที่ไม่รู้อะไร จนกระทั่งเป็นถึงผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนรู้แจ้ง ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าต้องเป็นปัญญาของแต่ละคน ไม่ใช่โดยไม่มีปัญญาเลย หรือว่าอาศัยปัญญาของคนอื่น ก็ไม่ได้ ขอเชิญคุณธิดารัตน์
อ. ธิดารัตน์ พูดถึงการศึกษาธรรม ท่านอาจารย์ใช้คำว่า อนุบาล เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจเลย แล้วก็จะให้เข้าใจว่า ที่เห็นแต่ละครั้ง ใหม่เสมอ ก็เป็นอีกคำหนึ่งที่เข้าใจยากมาก สิ่งที่สำคัญก็คือเริ่มที่จะเข้าใจว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เรารู้ ที่เป็นปัจจุบัน ที่เราสามารถจะรู้ได้ ก็เป็นธรรมที่มีจริง มีจริงก็คือมี ๒ ลักษณะ คือ สิ่งที่รู้ แล้วก็สิ่งที่ถูกรู้ อันนี้ก็เป็นข้อที่สำหรับผู้ศึกษาใหม่ เริ่มที่จะพิจารณา แล้วเข้าใจ
ท่านอาจารย์ โดยมากเราพูดจากความคิด ความเข้าใจของเรา แต่ว่ายังไม่ทราบว่าผู้ที่ฟังพอฟังแล้วกำลังคิดอย่างไร เข้าใจขึ้นเท่าไร หรือว่าสับสนหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็อยากจะให้พิจารณาด้วยตัวเองว่า พอได้ยินคำว่า ธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 680
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 720
