ปกิณณกธรรม ตอนที่ 681
ตอนที่ ๖๘๑
สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑
พ.ศ. ๒๕๔๗
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของกิเลส ก็ไม่ได้ปรากฏให้รู้ว่าเป็นกิเลส แต่แม้กิเลสที่ปรากฏลักษณะ ๑๖ อย่าง พอรู้ไหม ก็เป็นกิเลสด้วย เพราะฉะนั้น ทั้งหมดคือกิเลส แต่กิเลสทำไมหลากหลาย จำแนกไปเป็นบางประเภท เช่น ขณะนี้พูดถึงอุปกิเลส ๑๖ แต่ใน ปัตตกัมมสูตร นี่ วิจิกิจฉาก็เป็นอุปกิเลส เพราะฉะนั้น กิเลสใดๆ ก็ตามที่สามารถจะรู้ได้ เห็นได้เข้าใจได้ ขณะนั้นก็เป็นกิเลสที่มั่นคง หรือว่าปรากฏใกล้ต่อการที่จะเห็นว่าเป็นกิเลส มิฉะนั้นก็มองไม่ออก บอกไม่ถูก ใช่ไหม กำลังเห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วก็บอกว่า เป็นกิเลส ก็ยากที่จะเชื่อ แต่ถ้ามีความอยากได้ หรือมีอาการปรากฏลักษณะหนึ่งลักษณะใดในอุปกิเลส ๑๖ นี้ ก็แน่นอนที่จะปรากฏความเป็นกิเลสให้เห็นได้
ผู้ฟัง แล้วถ้าไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ก็เป็นกิเลส ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมีหลายชื่อ ไม่ต้องมีกิเลส ไม่ต้องมีอุปกิเลส แม้อุปกิเลสก็เป็นกิเลส แต่เป็นอุปกิเลสที่สามารถที่จะรู้ได้เมื่อไร ขณะนั้นก็เป็นอุปกิเลส หรือแม้ใน ปัตตกัมมสูตร ไม่ได้เป็นอุปกิเลส ๑๖ เลย แต่รู้ได้ เช่น วิจิกิจฉา เกิดความสงสัยขึ้น ขณะนั้นก็ปรากฏลักษณะของความสงสัย ให้รู้ ขณะนั้นไม่ใช่กุศล ก็ต้องเป็นกิเลส ต้องเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ได้ยินมาว่า กิเลส ตั้งแต่วิถีจิตแรก ไปจนถึง โคตรภูญาณ ตรงนี้คำหนึ่งโดยนัยของอภิธรรม
ท่านอาจารย์ กิเลสประเภทไหน
ผู้ฟัง โลภะ กับ โมหะ
ท่านอาจารย์ นั่นสิ ในหมวดหมู่ไหน
ผู้ฟัง ผมก็ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ อาสวะหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทรงจำแนกลักษณะ ของอกุศลเจตสิก ๑๔ ตามความเป็นจริง แม้จะต่างโดยพยัญชนะ เป็นชื่อต่างๆ แต่ก็คือ อกุศลเจตสิก ๑๔ นั่นเอง แต่ไม่ใช่ต่างโดยพยัญชนะเท่านั้น พยัญชนะนั้น บ่งถึงความหลากหลายของอกุศลธรรม ๑๔ ประการ
ผู้ฟัง ที่นี้ที่ท่านแสดงหลายนัย นี้ก็หมายถึงว่ากำลังของกิเลสแต่ละอย่างๆ
ท่านอาจารย์ ที่ปรากฏ ที่สามารถจะรู้ได้เห็นได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่เห็นจริงๆ ถ้าไม่มีลักษณะของอภิชฌาวิสมโลภะ ที่ปรากฏให้รู้ว่าขณะนี้เป็นความอยากได้ระดับไหน ทำสิ่งที่ควรหรือไม่ควรหรือเปล่า ถ้าทำสิ่งที่ไม่ควรด้วยกำลังของโลภะ ขณะนั้นต้องเป็นวิสมโลภะแน่ แต่แม้ว่ายังไม่ทำ แต่ปรากฏให้รู้ เช่น ความกระวนกระวาย อยากจะได้ หรือว่าวิธีการต่างๆ ที่กำลังคิด แม้ว่ายังไม่ได้ลงมือกระทำ ก็เป็นลักษณะที่ปรากฏแล้วว่าขณะนั้นรู้ได้ว่าเป็นลักษณะของกิเลสประเภทใด เพราะฉะนั้น กิเลสไม่ใช่ว่าจะปรากฏ ให้เห็นให้รู้ได้ง่ายๆ ใช่ไหม แต่ว่าถ้ามีลักษณะหลากหลายไปใน ๑๖ อย่าง ก็เห็นได้ชัดเจน แต่กิเลสเอง หรืออกุศลจิตเอง ไม่สามารถที่จะเห็นอกุศลจิตตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้ คนที่กำลังมีพยาบาท จะเห็นว่าพยาบาทเป็นโทษ ไม่ใช่ในขณะนั้นแน่นอน แต่ต้องขณะหลัง ที่สามารถที่จะระลึกได้ว่า ความโกรธ จริงๆ แล้ว เราจะผูกโกรธเขาสักเท่าไร จะผูกโกรธหรือจะหวังร้าย เขาไม่เดือดร้อนเลย เพราะไม่ใช่กรรมของเขา ไม่ใช่อกุศลจิตของเขา แต่ว่าอกุศลจิตของใคร อกุศลกรรมของใคร ขณะนั้นก็จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตที่เป็นวิบากเกิดขึ้นในภายหลัง
ผู้ฟัง กิเลสเขารู้จักกิเลสได้ อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม กิเลสรู้จักกิเลส
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ไหม หรือว่าปัญญาหรือสติที่สามารถที่จะรู้ เกิดคนละขณะนี้แน่นอน ขณะที่กำลังเป็นโลภะ โลภะจะเห็นโลภะว่าเป็นกิเลส เป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้นโลภะเกิด
ผู้ฟัง แต่โลภะเขารู้จักโลภะได้
ท่านอาจารย์ หมายความว่า มีความพอใจในโลภะได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล
ผู้ฟัง ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่รู้ว่าเป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ นั่นต้องเป็นเรื่องของปัญญา โลภะมีโลภะเป็นอารมณ์ได้ แต่ว่าไม่ใช่เป็นปัญญาที่สามารถที่จะเห็นว่าโลภะเป็นอกุศลกรรม
ผู้ฟัง มีคำถามมาจากผู้ฟังว่า ขอทราบอรรถในประโยคที่ว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว เป็นธรรมชาติที่อ่อน ควรแก่การงาน
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นกุศล คงไม่มีใครไปฝึกให้เป็นอกุศล เพราะอกุศลไม่ต้องฝึก ขณะนี้กำลังฝึกหรือเปล่า หรือต้องไปเข้าแถว หันซ้ายแลขวา ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ขณะที่กำลังฟัง ถ้าไม่มีการฟัง อะไรจะอบรม อะไรจะฝึก แต่ขณะที่กำลังฟัง มีการเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความเข้าใจมาก ก็มีปัจจัยที่จะอบรมตัวเองมาก แต่ถ้าฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ การที่จะอบรมตัวเองก็น้อย
ความเข้าใจมีหลายระดับ จะอบรมด้วยอะไร แต่อบรมที่เป็นทางที่จะรู้จักกิเลส แล้วก็ดับกิเลส คือถึงความเป็นพระอริยบุคคล อบรมปัญญาให้เข้าใจ ให้เห็นถูกตามที่ทรงแสดงไว้
การที่เราจะได้สาระจากธรรม หรือแต่ละพระสูตร ไม่ใช่หมายความว่า ให้เราพยายามไปท่องจำ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความหมาย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดๆ ก็ตาม ถ้าสามารถเข้าใจส่วนหนึ่ง แล้วก็เป็นประโยชน์ แล้วเราก็ไม่ลืมในส่วนนั้น เราก็จะได้รู้ว่า ความหมายของไม่พักไม่เพียรนี้คืออะไร มิฉะนั้นอ่านไปตั้งมากมายหลายข้อ หลายนัย แล้วก็เลยจำไม่ได้เลย หรือว่าไม่เข้าใจเลย พากเพียรผิด ควรเพียรไหม
ผู้ฟัง ไม่ควรเลย
ท่านอาจารย์ ใช่ ถ้ารู้ทาง รู้ประโยชน์ แล้วควรพักไหม นี้ก็เป็นสิ่งที่เราจะพิจารณาไตร่ตรองของเราเองว่า นี่คือหนทางที่จะทำให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นหนทางที่ละเอียด แม้คำพูดสั้นๆ ก็ต้องเข้าใจ ถ้าเพียรในทางที่ดี ทำไมจะไม่เพียรใช่ไหม แต่ว่าถ้าเพียรผิด ควรเพียรหรือไม่เพียร ทำไมไม่เข้าใจความหมาย ทำไมมานั่งคิดว่ามันขณะเดียวกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นมัชฌิมาปฏิปทา หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ กลับไปอ่านอีกที แล้วก็คิดทุกข้อ แล้วก็ข้อไหนที่สามารถจะเข้าใจได้ เป็นประโยชน์ก็เข้าใจเป็นเรื่องๆ ไป ตอนๆ ไป
ผู้ฟัง ในลักษณะของ อิสสา มายา หรือมัจฉริยะ ขณะที่เกิดในขั้นอบรม เราก็พอจะรู้ได้ แต่ขณะที่ลักษณะ ๓ อย่างที่เกิดอยู่ได้บ่อยๆ มายา อิสสา มัจฉริยะ เวลามันเกิดขึ้น แล้วมันรู้สึกว่ามันน่าเกลียด มันอายแก่ตัวเรา แต่ทีนี้เมื่อมันเป็นเราอยู่ มันก็ยังไม่ถูกต้อง ใช่ไหมที่ว่าก็มันเป็นสภาพธรรม แต่ขณะที่มันเกิดขึ้น ปัญญามันยังน้อย มันไม่ไปนึกถึงในเรื่องที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาอธิบายว่าเกิดแล้วมันก็ดับ อะไรอย่างนี้ ตรงนี้มันไปไม่ถึง มันยังคิดไม่ถึงสักที
ท่านอาจารย์ แม้ยังไม่ถึงแต่เห็นว่าเป็นอย่างนั้นก็ยังดีกว่าไม่เห็นเลย ใช่ไหม เห็นแล้วยังหัวดื้อหรือเปล่า คือสามารถที่จะรู้ว่า ถ้าเรามีพยาบาท ความโกรธ หรือความหวังร้าย เลิกได้ไหม หรือว่ายังพยาบาทต่อไปอีก นี้ก็เป็นสิ่งซึ่งเราจะได้เห็นว่า อกุศลมีมาก แล้วอกุศลใหญ่ๆ ที่เห็นได้แล้ว เห็นชัดแล้วอย่างนี้ แล้วเราจะยังคงจะมีต่อไปหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้ไม่มีเลยได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงปัญญาขั้นรู้ว่า นี่เป็นอุปกิเลส แต่ต้องรู้ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น พระธรรม แล้วแต่ว่าบุคคลที่ได้ฟังพระธรรม หรืออ่านพระธรรมก็ตามแต่ มีปัญญาระดับไหน ถ้ามีปัญญาขั้นต้นๆ ก็เพียงแต่เห็นว่า เป็นอุปกิเลส ไม่ควรจะมี ถ้าเกิดเมื่อไร ก็รู้ว่านี่ปรากฏ แล้วทั้งๆ ที่วันหนึ่งๆ กิเลสอื่นไม่ได้ปรากฏเลย แต่พอเกิดกิเลสระดับนี้ ไม่ว่าจะเป็นความตระหนี่ หรือมายา หรือว่าความริษยา ความโอ้อวด อาจจะไปสักครึ่งคำ ก็เกิดจะรู้สึกตัวได้ใช่ไหมว่า นี่เป็นอุปกิเลส ที่แสดงให้เห็นชัดว่า ยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ
ปัญญาก็ต้องเจริญเป็นขั้นๆ แล้วกุศลต่างๆ ก็จะเพิ่มขึ้น แล้วกิเลสทั้งหลายจึงจะค่อยๆ ลดลง ไม่ใช่ว่ามุ่งหวังที่จะให้สติสัมปชัญญะระลึกลักษณะของสภาพธรรมอย่างเดียว แล้วก็ไม่เห็นอุปกิเลส ไม่เห็นกิเลสอื่นใดเลย อย่างนั้นก็ยากที่สามารถที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิดได้ ถึงแม้ว่าจะเกิดบ้าง ก็ยากที่จะเจริญขึ้น หรือแม้ว่าเจริญขึ้นก็ยังยากที่จะสละความเป็นเรา ก็เป็นเรื่องยาก แต่ว่าถ้าขัดเกลาไปเรื่อยๆ แล้วก็มีทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้น ก็จะไม่เป็นการยากลำบากในการที่สติสัมปชัญญะจะเกิดแล้วก็รู้ลักษณะของสภาพธรรม
ผู้ฟัง จากศึกษาก็ทราบว่า การที่จะทราบถึงความเกิดดับ ก็ต้องไปเป็นวิปัสสนาขั้นถึงอุทยัพพยญาณ ซึ่งก็แสนไกล แต่แม้แต่ขั้นที่จะคิด มันก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย ระหว่างที่ว่ามันเกิดดับ มันเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง สภาพขณะนั้นหายไปไหนไม่ทราบ ทั้งๆ ที่ฟังอยู่ตรงนี้ก็รู้ แต่พอมันเกิดมา มันก็ไม่ช่วยอะไรได้เลย อย่างนี้ก็คงต้องฟังไปอีกมากๆ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ในขณะนั้นคือ เห็นความเป็นอนัตตาว่า บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่ก็อย่าพอใจเพียงคิดว่า เป็นอนัตตา แต่ต้องประจักษ์ลักษณะที่เป็นอนัตตาด้วย
ผู้ฟัง มั่นคงอยู่ในขันติ โสรัจจะ ฝึกฝนตนอยู่ผู้เดียว ระงับตนอยู่ผู้เดียว ดับกิเลสตนอยู่ผู้เดียว ตรงนี้รู้สึกจะไปเกี่ยวกับเรื่องการที่เราจะเข้าใจธรรมด้วยตัวของตัวเอง เป็นเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็เหมือนกับผล ที่บอกว่ามี สุขเป็นวิบาก คือตรงนี้แหละ ถ้าใครอบรมแล้ว ถ้าตายแล้วอยากไปสวรรค์ ก็น่าจะเป็นเกี่ยวกับการอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ อันนี้คงต้องแยกที่ว่า อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมตั้งทักษิณาทานอย่างสูง มุ่งถึงทักษิณาทานประเภทไหนที่เป็นทักษิณาทานอย่างสูง ที่จะอำนวยผลดีเลิศมีสุขเป็นวิบาก เป็นทางสวรรค์ เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะเป็นมารดาบิดา หรือว่าการที่จะบำบัดอันตรายต่างๆ หรือว่าเป็นผู้ที่ทำพลีแก่ญาติ แก่ผู้ที่มาเยี่ยมเยียน หรือว่าแก่ผู้ตาย หรือว่าแก่ราชการ แก่รัฐเป็นราชพลี แล้วก็ทำบุญอุทิศให้เทวดา ก็ยังมีทักษิณาที่สูงกว่านั้น คือการให้ทักษิณาทานในสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เว้นไกลจากความมัวเมาประมาท อันนี้เป็นลักษณะของสมณพราหมณ์ ผู้เว้นไกลจากความมัวเมาประมาท มั่นคงอยู่ในขันติ โสรัจจะ ฝึกตนอยู่ผู้เดียว ระงับตนอยู่ผู้เดียว ดับกิเลสตนอยู่ผู้เดียว ด้วยโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความขยัน ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นทานที่ให้ในบุคคลนั้น
ผู้ฟัง เป็นคุณสมบัติของสมณพราหมณ์
ผู้ฟัง อนุญาตสนทนากับคุณประเชิญ ความหมายที่ว่าทุกข์เป็นกำไร มาจากอะไร
อ. ประเชิญ สำหรับผู้ที่ทำกุศล ท่านก็ได้กล่าวว่า ทำกุศลแล้วก็จะมีผลที่มากกว่าตัวที่ได้ทำมา อย่างเช่นที่ท่านกล่าวว่า เวลาปลูกข้าวเมล็ดหนึ่ง ได้ข้าวตั้ง ๑ รวง คือบางท่านได้รับอานิสงส์ตั้ง ๕๐๐ อัตภาพเป็นต้น เพราะฉะนั้น นัยตรงกันข้าม ถ้าผู้ที่ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม คืออกุศลกรรมทั้งหลาย ก็ได้รับทุกข์ที่มากกว่าเหมือนกัน ตามตัวอย่างของใน ธรรมบท มีพราหมณ์คนหนึ่งที่เขาฆ่าแพะบูชายันต์ของเขา แพะนั้นก็จำได้ว่าเคยทำลักษณะเหมือนกับพราหมณ์ คือฆ่าแพะบูชายันต์ครั้งเดียว เขาก็ได้มาถูกตัดคอตั้ง ๕๐๐ ชาติ แล้วก็เกิดในนรกอีก เพราะฉะนั้น ลักษณะนี้ก็เหมือนกับมีทุกข์เป็นกำไรเหมือนกัน คือทำครั้งเดียวแต่ได้รับทุกขวิบาก มากมายเหลือเกิน อันนี้เป็นเรื่องของมีทุกข์เป็นกำไร ที่มากกว่าตัวเองนั่นเอง
จะสรุปอย่างนี้ได้ไหมว่า การทำพลีกรรม ๕ อย่าง เป็นการทำเจาะจง อย่างเช่น เรื่องของญาติ เรื่องของแขก หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่เป็นญาติ หรือพระราชา เป็นการเจาะจงสำหรับผู้นั้นๆ โดยเฉพาะ แต่ว่าการบำเพ็ญทักษิณาทานสำหรับบูชาสมณพราหมณ์ แล้วก็เพื่อที่จะทำสิ่งที่ทำให้ได้ตัวเอง ได้รับในอนาคต จะแตกต่างกันอย่างนี้มากกว่า ใช่ไหม ถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะเหมือนกัน แต่ว่าเจตนาของผู้นั้นมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะเหตุว่า แม้ว่าจะใช้ทรัพย์เพื่อเลี้ยงตน เลี้ยงมารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ คนอาศัย เพื่อนฝูง ก็ยังเป็นเรา ใช่ไหม หรือว่าญาติเรา มารดาบิดาเรา พอถึงบำบัดอันตรายทั้งหลาย ก็เราและครอบครัว พอถึงทำพลี ๕ ก็คือ ญาติพลี เป็นญาติ อติถิพลี ต้อนรับก็คนที่มาหาเรา ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ก็ผู้ตายที่เราคุ้นเคยรู้จัก ราชพลีก็ช่วยราชการ ก็ประเทศของเรา หรือว่าเกี่ยวข้องกับตัวเรา เทวดาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา อันนี้ก็ผู้ที่มีคุณที่เกิดเป็นเทพ ก็สามารถที่จะอนุโมทนาในกุศลได้ แต่ว่าสูงสุดกว่าสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ เหล่านั้น หรือว่าการกระทำทั้ง ๓ ประการข้างต้น ก็คือได้เข้าใจถูกต้องว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่มั่นคงในขันติ โสรัจจะ ฝึกฝนตนเพื่อที่จะดับกิเลส เพราะฉะนั้น ต้องมีปัญญา จึงสามารถที่จะเห็นประโยชน์ หรือเห็นคุณของผู้นั้นได้ เพราะมิฉะนั้นก็จะอยู่ในเรื่องของครอบครัวหรือว่าตัวเอง แต่ว่าการที่เราเห็นประโยชน์ว่า บุคคลนั้นสามารถที่จะช่วยอื่นได้อีกมาก เมื่อผู้นั้นสามารถที่จะฝึกฝนตนแล้วก็ดับกิเลสแล้ว รู้จักหนทางแล้ว ก็สามารถที่จะอนุเคราะห์ ช่วยเหลือคนอื่นได้ เป็นประโยชน์ต่อไป เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่สามารถจะเห็นอย่างนี้ได้
อ. ประเชิญ ต้องมีปัญญา จะรู้อย่างนี้แล้วก็ทำการบูชา
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ในบุคคล คือสมณพราหมณ์ ผู้เว้นไกลจากความมัวเมาประมาท มิฉะนั้นก็เลือกไม่ถูก อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าบุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ แต่ความจริงไม่ได้อบรมเจริญปัญญาเลย
ผู้ฟัง ใน กัมมสูตรที่ ๕ บุคคลมืดมาแล้ว มีมืดไปภายหน้าเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาลก็ดี ตระกูลช่างสานก็ดี ตระกูลพรานก็ดี ตระกูลช่างหนังก็ดี ตระกูลคนรับจ้างเทขยะก็ดี ทั้งยากจนขัดสนข้าวน้ำ ของกิน เป็นอยู่อย่างแร้นแค้น หาอาหารและเครื่องนุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง ซ้ำเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ เตี้ยแคระ มากไปด้วยโรค ตาบอดบ้าง เป็นง่อยบ้าง กระจอกบ้าง เปลี้ยบ้าง ไม่ใคร่ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่ และเครื่องประทีป อันนี้คือมืดมา
ส่วนมืดไปนั้นคือ บุคคลนั้นยังประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว กายแตกตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก อย่างนี้แลบุคคลมืดมาแล้ว มีมืดไปภายหน้า
ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายเพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจว่า ไม่ได้มืดมา ใช่ไหม ตาก็ไม่บอด
ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจว่า มืดมา กับ ไปแล้วมืด มันจะเกี่ยวข้องกับการเข้าใจธรรม หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องทราบว่ามีอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ที่เรียกว่าเป็นคนตาบอด ง่อยเปลี้ย เสียขา ความจริงก็คือธรรมนั่นเอง แล้วก็เป็นผลของอกุศลกรรมด้วย นี่คือมืดมา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นผลของอกุศลกรรมหรือเปล่า ถ้ากระทำทุจริตกรรม ทุจริตกรรมเป็นธรรมหรือเปล่า ก็เป็น เป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ก็ต้องให้ผลอย่างที่กล่าวแล้วว่า เกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม คืออกุศลกรรมนั้น เหมือนให้ผล ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง ผู้ที่ว่ามืดมา หมายถึงว่า ไม่มีความเข้าใจในสภาพธรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง แล้วก็เวลาไปก็ยังไม่รู้เรื่องอีก ยังไม่สนใจในธรรมของพระพุทธเจ้าอีก อย่างนี้ถูกต้องไหม
ท่านอาจารย์ ใช่ ก็พูดง่ายๆ ว่าเกิดมาไม่ดี แล้วยังทำอกุศลกรรมด้วย เพราะฉะนั้น เวลาตายไป เมื่ออกุศลกรรมนั้นให้ผล ก็ไปสู่อบายภูมิ เป็นเครื่องเตือนหรือเปล่า เพราะว่าทั้ง ๔ บุคคล แล้วแต่ว่าจะเป็นบุคคลใด ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ ๑ คือมืดมา แล้วก็มืดไป ก็จะเป็นบุคคลที่ ๒ คือ มืดมาแต่ว่าสว่างไป บุคคลที่ ๓ นี้ก็เสียดาย สว่างมา แล้วก็มืดไป
ผู้ฟัง แต่บุคคลทั้ง ๔ ประเภทนั้น หมายถึงว่าผู้ที่ทำกุศลหรืออกุศล แยกออกมา ใช่ไหม เป็นเรื่องของกุศล กับ อกุศลอย่างเดียว ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ พูดถึงการเกิดมา เป็นผลของอะไร แล้วก็เวลาที่จะจากไป เป็นผลของอะไร เพราะเหตุว่า มืดมาแต่ว่ามืดไปก็มี มืดมาสว่างไปก็มี หรือว่าสว่างมาแต่มืดไปก็มี หรือว่าสว่างมาสว่างไปก็มี เตือนหรือเปล่า จะว่าไม่เป็นธรรม นี่ไม่ได้ เตือนให้ไม่ทำอกุศลกรรม ถึงสว่างมาแล้ว ก็ไม่สมควรที่จะกระทำอกุศลกรรม เพราะว่าจะมืดไปได้ หรือว่าถึงแม้ว่าจะมืดมา ก็ไม่ควรที่จะกระทำอกุศลกรรม เพราะว่าจะไปมืด หรือมืดไปต่ออีก
อ. ประเชิญ ในเรื่องของความสว่าง น่าจะมีหลายระดับ ใช่ไหม เพราะว่าบางท่านอาจประพฤติสุจริต แต่ว่าปัญญาไม่ได้เจริญ ก็เกิดในสุคติโลกสวรรค์ได้ แต่ว่าบุคคลนั้นไม่ได้มีการเจริญขึ้นของปัญญา คือสว่างมาระดับหนึ่ง ถ้าระดับสูงสุดคือ บางท่านก็อบรมปัญญาจนถึงพระอนาคามีบุคคล ก็จะเกิดบนสุทธาวาส ก็คือสว่างที่สุด
ผู้ฟัง สว่างไป แนวทางสว่างขั้นภาวนากับขั้นศีล อยากทราบตรงนี้ ถึงความแตกต่าง
ท่านอาจารย์ ข้อความในอรรถกถามีว่า บุคคลชื่อว่ามีสว่างไปภายหน้า เพราะเข้าถึงความสว่าง ด้วยการเข้าถึงสวรรค์อีก ด้วยกายสุจริต เป็นต้น พระโสดาบันก็เกิดบนสวรรค์ได้ เพราะว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้กระทำทุจริตที่จะให้เข้าถึงอบายภูมิ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่แสดงว่ามาจากไหน แล้วไปไหนด้วยอะไร
ผู้ฟัง เข้าใจในขั้นศีลว่า กระทำในศีลต่างๆ ก็เป็นทางสว่าง แต่ไม่เข้าใจขั้นภาวนาว่า ในทางเจริญสติปัฏฐาน จะเป็นขั้นสว่างเหมือนกันได้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขั้นศีลยังสว่าง แล้วขั้นสติปัฏฐาน มืดไม่ได้หรอก อันนี้ก็แสดงว่าทุกคนยังต้องไป ยังต้องมาอยู่เรื่อยๆ ขณะนี้เราอยู่ในภูมิมนุษย์ แต่ว่าเรามาสว่างหรือว่ามามืด ถ้ามามืดก็มีอกุศลวิบากที่เราจะต้องได้รับ อย่างรูปที่เป็นผลของอกุศลกรรม ก็จะเป็นตาบอด ง่อย เปลี้ย เสียขา หรือว่ามีความเป็นอยู่ที่ฝืดเคือง นี่ก็เป็นเรื่องของอกุศลกรรมให้ผล
เพราะฉะนั้น ก็ทราบว่า มาสู่โลกนี้ แล้วก็มามืดๆ เพราะเหตุว่า ไม่ได้มาอย่างสว่างด้วยกุศลกรรม แล้วเราก็มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ทุกวันไป แต่จะทราบไหมว่าชีวิตของเราที่อยู่ในโลกนี้แต่ละวัน จะกลับไปมืดอีก คือไปสู่อบายภูมิ หรือว่าจะไปสู่สวรรค์อีกคือด้วยกุศลกรรมต่างๆ เพราะว่าที่นี่ใช้คำว่า ด้วยกายสุจริต เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงขั้นต้นเลย คือ ขั้นของศีล แต่กุศลทั้งหลายก็ทำให้ไปสู่สวรรค์ หรือภพภูมิที่ดี ซึ่งสว่างๆ ในที่นี้ก็หมายถึงตรงกันข้ามกับอบายภูมิ ถ้าเป็นอบายภูมิก็มืด ถ้าเป็นสุคติภูมิก็สว่าง
ผู้ฟัง คำว่า มืด ในที่นี้ ในพระสูตรนี้ และ สว่าง ในพระสูตรนี้ หมายถึง แค่นรกกับสวรรค์เท่านั้น หรือไปถึงโลกุตตรด้วย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 661
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 662
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 663
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 664
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 665
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 666
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 667
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 668
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 669
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 670
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 671
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 672
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 673
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 674
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 675
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 676
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 677
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 678
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 679
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 680
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 681
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 682
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 683
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 684
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 685
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 686
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 687
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 688
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 689
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 690
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 691
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 692
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 693
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 694
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 695
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 696
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 697
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 698
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 699
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 700
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 701
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 702
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 703
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 704
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 705
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 706
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 707
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 708
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 709
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 710
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 711
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 712
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 713
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 714
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 715
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 716
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 717
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 718
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 719
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 720