ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1901


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๙๐๑

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร จ.นครปฐม

    วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าจิตนี่แหละเกิดขึ้นเมื่อไหร่เป็นธาตุรู้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เช่นเดี๋ยวนี้เห็น ถ้าไม่มีจิตเมื่อเห็นไม่มีอะไรเลย ต้นไม้ไม่มีคลองไม่มี เก้าอี้ไม่มีถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ว่ามีเพราะจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นสิ่งนั้นจึงมี เพราะฉะนั้น โลกเล็ก แค่จิตเกิดขึ้นรู้อะไรสิ่งนั้นแหละมี และก็ดับไป เพราะฉะนั้น โลกจึงเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่อย่างนั้นไม่เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนเลย ตรัสรู้อะไรก็ไม่รู้ เราเคยได้ยินมาเรื่องกรรม เรื่องอะไร แต่ทรงแสดงความละเอียดด้วยยิ่ง ไม่ให้มีความสงสัยความกังขา ความข้องใจ ความเคลือบแคลงในสิ่งที่พูด และก็ไม่รู้

    อย่างพูดถึงเรื่องกรรมรู้สึกจะพูดกันมาก ยังไม่ต้องไปแก้ แค่ถามคนที่จะแก้กรรมว่ากรรมคืออะไร แก้ได้ไหม ถามคนที่แก้กรรมว่ากรรมคืออะไร แล้วแก้ก็ได้ไหม เท่านั้นจึงจะรู้ว่า คำใดเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำใดไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น ที่พูดว่ากรรม กรรม กรรมคืออะไรเห็นไหม ทั้งหมดต้องตั้งต้นที่คืออะไร ไม่อย่างงั้นเราถูกหลอกด้วยความไม่รู้ บอกให้เชื่อ บอกให้ยืนบอกให้เดิน บอกให้นั่งบอกให้เอามือขวาทับมือซ้ายบอกทำไม บอกไปอย่างนั้นแหละ แล้วเรารู้อะไร ก็ไม่รู้เลย แต่ทำทำไม เพราะไม่รู้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อย่างนั้นเลย ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาความเข้าใจถูกของตนเอง ลาภที่ประเสริฐสุด เพราะความเข้าใจเงินทองซื้อไม่ได้ จะเอาเงินเท่าโลกนี้กี่จักรวาลก็ซื้อความเห็นถูกไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนจึงใช้คำว่าแต่ละโลก และตนเองก็เป็นที่พึ่งของตนทรงแสดงหนทางให้คนนั้นเกิดปัญญา เพราะฉะนั้น ทุกคำ อย่าเพิ่งไปตามแก้กรรมกับใคร แต่ว่าถามได้เลย ถามคนที่จะแก้กรรมว่า "กรรมคืออะไร" แล้วจะรู้ว่าแก้ได้ไหม เขาจะตอบว่ายังไงกรรมคืออะไร ไม่ต้องอาศัยอะไรเลย ตอบอย่างที่คิดนี่แหล่ะ เขาคิดกันมากมายแล้วใช่ไหม กรรมดีกรรมชั่ว คนอื่นไม่ต้องฟังอะไรไหมถ้าทำอะไรก็คิดอย่างนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีธรรมเลยกรรมมีไหม

    เพราะฉะนั้น ทุกคำต้องย้อนกลับไปถึงคำแรก กรรมมีไหม คืออะไร ถ้ามีเป็นธรรมหรือเปล่าเมื่อเป็นธรรมเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ช่วยให้เรารอดจากความเห็นผิดจากความไม่รู้จากการหลงเชื่อผิดๆ เพราะฉะนั้น ก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็คือว่าได้ศึกษาได้เข้าใจพระธรรม ที่พึ่งจริงๆ ไม่ให้หลง ผิดให้เข้าใจผิด ไม่ไปทำอะไรก็ไม่รู้ตามคนอื่นที่เขาบอกเขาเป็นใคร ถามคำเดียวเขาเป็นใคร ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แล้วเชื่อใคร ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแล้วเชื่อเขาหรือ

    ผู้ฟัง ก็เหมือนกับการสะเดาะเคราะห์หรือแก้ชง

    ท่านอาจารย์ แล้วเคราะห์เป็นอะไร เพราะไม่รู้ สัตว์โลกเกิดวนเวียนในสังสารวัฏฏ์เพราะไม่รู้

    เราได้ยินอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร แหมคำยาว คำยาก ต่อไปจนจบปฏิจจสมุปปาท แต่ไม่เข้าใจสักคำ ว่าขณะนั้นไม่รู้ใช่ไหม ถ้ารู้ก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอก

    ผู้ฟัง อีกอย่างในการบางครั้งเหมือนกับว่ารู้บ้าง

    ท่านอาจารย์ รู้บ้าง รู้อะไร ที่ว่ารู้บ้าง

    ผู้ฟัง รู้บ้างคือก็รู้ว่ามันเป็นเหมือนประเพณี

    ท่านอาจารย์ ประเพณีคืออะไร

    ผู้ฟัง คือสิ่งที่กระทำต่อเนื่องกันมา

    ท่านอาจารย์ เราทำนั้นคืออะไรทำ

    ผู้ฟัง ก็ทำนั่นคือ

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมคือถึงที่สุดของทุกคำที่เป็นคำจริง ไม่ไปค้างๆ ไว้ ไม่รู้อะไรแล้วก็ค้างๆ ไว้ และความเชื่อคืออะไรเห็นไหม จะต้องสาวไปจนถึงที่สุด ถึงจะเป็นคำสอนที่แท้จริง ให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ และคิดว่าเข้าใจบ้าง ความจริงไม่ได้เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เมื่อเราศึกษาธรรมให้เข้าใจ แล้วเราก็ให้ปฏิบัติตาม การปฏิบัตินี้ออกมาในลักษณะไหนอย่างการวิปัสสนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ทุกคำไง ทีละคำแล้วจะเข้าใจตั้งแต่คำแรก คำแรกอย่างไร

    ผู้ฟัง ปฏิบัติธรรม

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นปฏิบัติธรรมเลยใช่ไหม ปฏิ ปัตติไม่ใช่ภาษาไทย แต่คนไทยใช้ว่าปฏิบัติ แต่ภาษาบาลีคือปฏิกับปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง แล้วเราเข้าใจไหม ถึงเฉพาะ ไม่เข้าใจใช่ไหม แต่ว่าคนที่เขาใช้ภาษามคธีที่ภาษามคธเขาเข้าใจ

    แต่ถึงอย่างนั้น เราใช้ภาษาไทยพูดถึงธรรมภาษาไทยเรายังต้องศึกษาเลยถึงความละเอียดถึงความลึกซึ้งถึงคำจริง

    เพราะฉะนั้น คนที่เป็นชาวมคธก็เหมือนคนไทยเนี่ยถ้าไม่ได้พบพระพุทธเจ้าไม่ได้ฟังเขาก็ไม่รู้ว่าคำนั้นมีความลึกซึ้งแค่ไหน เพราะฉะนั้น ของเรามาใช้คำว่าปฏิบัติ คืออะไร ความรู้ต้องตั้งต้นที่คืออะไรก่อน เรากำลังพูดอะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าเราพูดอะไรแล้วจะไปพูดทำไมพูดไปจนจบก็ไม่รู้ว่าคืออะไรใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อจะรู้ก็ตั้งแต่ไม่ถูกต้อง ทุกคำด้วย ทุกคำไม่เว้นใช้คำว่าไม่เว้น เพราะฉะนั้น ปฏิบัติคืออะไร

    ผู้ฟัง คือการทำความดีไม่ทำความชั่วทำจิตใจให้ผ่องใส

    ท่านอาจารย์ ก็ทำดีทำยังไง ยิ่งทำจิตใจให้ผ่องใสยิ่งงงใช่ไหม

    ผู้ฟัง คือทำทุกอย่างตามตามที่พระพุทธเจ้าสอน

    ท่านอาจารย์พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง

    ผู้ฟัง สอนให้ปฏิบัติตัว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ สอนให้เข้าใจ พุทธะคือปัญญา เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้น จะไปปฏิบัติอะไรแต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วถ้าจะใช้คำว่าปฏิบัติก็จะต้องรู้ด้วย ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ

    ไปจับคำไหนก็ไม่รู้ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็เอามาทำเอามาคิด แต่คำสอนไม่เป็นอย่างนั้น คำสอนหรือว่าสัตว์โลกเต็มไปด้วยอวิชชา การไม่รู้เราถึงได้เกิดมามีอัธยาศัยต่างๆ กันอย่างนี้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความไม่รู้อย่างนี้ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เราเกิดความรู้ที่ถูกต้องใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราพึ่งคำสอน ทุกคำที่ได้ยินเป็นปริยัติ ได้ยินแล้วว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าสอนหมดเลย เห็นเดี๋ยวนี้ก็สอน ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็สอนคิดนึกก็สอน โลภะติดข้องก็สอน ไม่ติดข้องก็สอน ทุกอย่างไม่เว้นจากพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

    ในขั้นนี้ชื่อว่าการฟังพระธรรม ชื่อว่าปริยัติ แต่ยังไม่รอบรู้ เพราะฉะนั้นปฏิบัติไม่ได้ ยังไม่รอบรู้แล้วจะไปปฏิบัติอะไรได้หรือ ต้องรอบรู้จริงๆ แล้วก็เมื่อรอบรู้คือไม่ใช่เราใช่ไหม

    นี่คือรอบรู้แล้ว ถ้ายังเป็นเราจะปฏิบัติ นี่ก็ไม่รอบรู้แล้วใช่ไหม ฟังยังไงเป็นเราแล้วก็จะปฏิบัติอีกด้วยซ้ำไปก็คือว่าไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไปฟังอะไรมา

    ผู้ฟัง คืออ่านตามหนังสือ

    ท่านอาจารย์ หนังสืออะไร

    ผู้ฟัง ทั่วๆ ไป

    ท่านอาจารย์ ทั่วไปหนังสืออะไร

    ผู้ฟัง เขียนเกี่ยวกับสอนธรรม

    ท่านอาจาร์ย ธรรมอะไรที่สอน

    ผู้ฟัง พวกสวดมนต์

    ท่านอาจารย์ สวดมนต์คืออะไร เห็นไหมเต็มไปด้วยความไม่รู้ทั้งนั้นเลยแต่ความรู้นี่ทั้งหมดเลยที่ไม่รู้ไหนจะกระจ่างขึ้น รู้ขึ้นแม้แต่ว่าสวดมนต์คืออะไร

    เราจะไม่กลายเป็นคนที่ไม่รู้ และทำอะไรก็ไม่รู้ตามๆ กันไป เหมือนคนตาบอดคลำช้าง ต้องไปที่ไหนหรือเปล่า ปฏิบัติ

    ผู้ฟัง ไม่เคยไป

    ท่านอาจารย์ สนใจหรือ

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ ชอบทำไม

    ผู้ฟัง คือตั้งแต่เด็กๆ แม่ให้เข้าวัดให้อะไรอย่างนี้ประจำ

    ท่านอาจารย์แล้วทำไมชอบปฏิบัติ

    ผู้ฟัง เห็นเขานั่งสมาธิกันแล้วเห็นอะไรต่ออะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็คือว่าไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเพราะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น รู้ได้เลย ไม่เข้าใจเมื่อไหร่ไม่ใช่ชาวพุทธ เรียกเอง เแต่ไม่ใช่ ถ้าเป็นชาวพุทธก็ต้องฟังพระธรรม แล้วก็ต้องเข้าใจด้วย แล้วพุทธคืออะไรก็ไม่รู้พระพุทธเจ้ารู้อะไรก็ไม่รู้แล้วก็บอกว่าเป็นชาวพุทธเรียกเอง แต่ความจริงไม่ใช่

    ผู้ฟัง ขออนุญาต ฟังดูเหมือนกับว่าถ้าเราฟังไปเยอะมากๆ และมีความเข้าใจเนี่ยมันไม่ต้องมาบอกว่าต่อไปนี้จะปฏิบัติแต่ว่ามันจะเกิดขึ้นเอง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเหมือนเห็นไม่ต้องบอกว่าเห็น ก็เห็นแล้วทำไมพอฟังธรรมแล้วมาบอกว่าเห็นๆ ไม่ต้องก็เห็นอยู่แล้วต้องไปบอกอะไร

    ผู้ฟัง เหมือนกับว่าเราจะไปขวางโลก คุณแม่ไปวัดแล้วเขาจะสร้างพระแบบสูงสุดใหญ่สุด เขาก็อยากจะให้พาไป เราก็บอกว่ามันไม่มีประโยชน์เขาก็จะไม่เข้าใจ เขาว่าลูกเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นคนที่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์

    ผู้ฟัง อย่างนั้นเราควรจะตามใจหรือว่าเราควรจะทำยังไง

    ท่านอาจารย์ ที่จริงยากมากเลยสำหรับบุพการีไม่มีทางเลยที่เราจะไปทำอะไรได้ นอกจากเราเป็นคนดี แล้วท่านก็เห็นเองใช่ไหมว่าเราเป็นคนดี แต่ว่าสิ่งที่ผิดเราไม่ทำยังไงก็ไม่ทำ แต่สิ่งนั้นผิดหรือเปล่า ใช่ไหม มีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน หรือว่าไร้ประโยชน์

    ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฎฐิลูกทำยังไงเห็นไหม ไม่ใช่ตามพ่อแม่ แต่ว่าหน้าที่ของลูกก็ถือว่า พ่อแม่ที่ไม่มีศรัทธา ลูกควรหรือสามารถที่จะให้พ่อแม่มีศรัทธาได้ นั่นคือได้ทำการตอบแทนมารดาบิดา

    เพราะฉะนั้น มีทางไหนที่เราจะค่อยๆ ให้เห็นความจริง เพราะว่ามีคนหนึ่งทั้งๆ ที่เป็นเรื่องโลก ไม่ใช่เรื่องธรรม แต่พ่อแม่เขาเห็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ถูก เขาบอกเขาใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะให้พ่อแม่เข้าใจถูกว่าอะไรเป็นอะไรทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องธรรมเป็นเรื่องโลกๆ ก็ยังยาก

    เพราะฉะนั้น เรื่องธรรมจะยิ่งยากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเกื้อกูลด้วยคำพูดหรือด้วยอะไรทั้งสิ้น นอกจากทำดี และก็เป็นคนดี และก็ฟังธรรม และก็ไม่ทำผิดแล้วก็ให้ท่านรู้ว่าเราฟังอะไรแล้วมีเหตุผล จะให้เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล เราทำไม่ได้ แต่เราไม่ได้ไปแสดงกิริยาอาการที่ไม่เคารพหรืออะไร

    ห้ามคนอื่นนี่ห้ามไม่ได้หรอก เราเองยังห้ามตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะไปห้ามคนอื่นได้ยังไงแต่มีทางอ้อมทางลัดหรืออะไรก็แล้วแต่ทางที่จะเกื้อกูลคน เพราะฉะนั้น บางคน เขาหวังดีมากต่อคนอื่นอยากให้คนนั้นเห็นถูกเข้าใจถูก คำถูกอย่างนี้ทำไมไม่ฟัง ทำไมไปฟังคำผิดๆ ใช่ไหม แต่ลืมว่าต่างคนต่างใจตามการสะสมซึ่งเป็นอนัตตา บังคับบัญชาใครไม่ได้เลย

    แต่ว่าใครก็เปลี่ยนผู้ที่มีความมั่นคงในความจริง และในความเห็นถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง มีความเมตตาหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล เราฟังธรรมสักวันหนึ่งก็ต้องได้ยิน ฟังไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สนทนากันไปเรื่อยๆ เมื่อต้องการ

    แต่ถ้าไม่ต้องการไม่เคี่ยวเข็ญไม่พูดอะไรเลยเพราะว่าคำดีเป็นคำชั่ว ถ้าคนนั้นไม่สนใจ หรือเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ทุกอย่างมีในพระไตรปิฏกน่าอ่านมาก พระไตรปิฎกจริงๆ มีความไพเราะมากภาษาเพราะมาก ไม่มีคำที่เรียกว่าไม่น่าฟังเลย

    แม้แต่ปัญญาทราม คือไม่มีปัญญา แต่ไม่บอกว่าโง่ใช่ไหม แต่ว่าปัญญาทราม เพราะมากทุกคำ

    ผู้ฟัง กราบเรียนสอบถามอาจารย์ ถ้าเราจะเรียนหรือศึกษาพร้อมปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญานี่ ทำได้ไหม

    ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ทั้งหมดเป็นความรู้ถูก

    เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดเพื่อความเห็นถูกความเข้าใจถูกอันดับแรก และก็ตั้งแต่ต้นด้วย เราเพิ่งเกิดมาเป็นเด็กอ่อนๆ เราจะไปทำการผ่าตัดคนไข้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เราไม่มีความรู้อะไรเลยเราจะปฏิบัติได้ไหม เพราะเหตุว่าธรรมที่ทรงแสดงงามทั้งเบื้องต้น ต้องมีเบื้องต้นด้วย ทั้งท่ามกลาง ทั้งที่สุด

    เบื้องต้นคือปริยัติ ถ้าไม่มีการฟังเลยเราคิดเองเราคิดได้หรือ เราจะคิดถูกหรือแต่ละคำลึกซึ้งมาก แม้แต่เห็นขณะนี้ใครจะรู้ว่าเป็นธรรม เขาก็ไปคิดว่าการทำอย่างโน้นอย่างนี้เป็นธรรมใช่ไหม แต่เขาไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ศึกษาธรรมไม่ใช่เป็นอยู่ในตัวหนังสือ ตัวหนังสือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ตัวจริงเมื่อครั้งคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่มีหนังสือสักตัว แต่มีธรรมทั้งนั้นที่สามารถที่จะทำให้คนนั้นรู้ว่านี่เป็นธรรมที่เข้าใจได้แต่ความเข้าใจระดับไหนระดับขั้นฟังเข้าใจยังไม่รอบรู้ เพราะยังมีความเป็นเราจะทำ ถ้าเป็นเราเมื่อไหร่ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย ถอยหลังกลับไปถึงไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา สัพเพ ธัมมาอนัตตา

    ทั้งหมดไม่เว้นเลยไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาความหมายหนึ่งของอนัตตาก็คือว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    ผู้ฟัง แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติตาม

    ท่านอาจารย์ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ เพราะฉะนั้นปริยัติคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร

    ผู้ฟัง ปริยัติก็คือการเรียนรู้ศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง และปฏิบัติ

    ผู้ฟัง ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงปัญญาที่แท้

    ท่านอาจารย์ เราหรือธรรมปฏิบัติ

    ผู้ฟัง ธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตา แล้วธรรมที่ปฏิบัติเพื่อจะถึงสิ่งที่เราเข้าใจในขณะนี้ คือธรรมอะไร ทรงแสดงไว้ว่าธรรมอะไรเป็นโพธิปักขิยธรรม

    ธรรมส่วนที่จะเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ไม่ใช่โลภะ โลภะจะเป็นโพธิปักขิยธรรม อยากมี อยากถึง อยากทำด้วยความเป็นตัวตน ความเห็นผิดไม่ใช่โพธิปักขิยธรรม จะเอาความยึดถือว่าเป็นเรามาปฏิบัติไม่ได้

    เพราะฉะนั้น การศึกษาเป็นที่พึ่งจริงๆ ที่ทำให้เราพ้นจากความเห็นผิดความเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น มีความเคารพจริงๆ ว่าศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยความเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้นเพื่อกันความเห็นผิด

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีปริยัติปฏิบัติเกิดไม่ได้เลย เพราะปฏิบัติต้องเป็นธรรมฝ่ายที่จะสามารถเข้าถึงสภาพที่เป็นจริงเดี่ยวนี้ได้แก่สติ ใช้คำว่าสติปัฎฐาน ๔ สัมมัปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ แต่ละหนึ่งๆ ถ้าไม่มีหรือไม่เข้าใจเรา ทั้งนั้นจะทำ แต่ว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้เลยเพราะเริ่มด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดค่อยๆ เข้าใจ พอเข้าใจแล้วขณะนั้นก็ละความไม่รู้ และความเห็นผิดไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย แต่ถ้าขณะไหนไม่เข้าใจก็ยังคงมีความเห็นผิดกับความไม่รู้อยู่ต่อไป เพราะฉะนั้น ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาเจตสิก สภาพธรรมที่เป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ที่ใช้คำว่ารู ปะ หรือรูปธรรม อย่างแข็งเสียงพวกไม่รู้อะไรไปตีแข็งสักเท่าไหร่แข็งก็ไม่เจ็บ ไม่โกรธ ไม่อะไร แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเดี๋ยวนี้มีลมพัดมาสภาพรู้ รู้สิ่งที่กระทบกาย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเราแล้วมีอะไร ก็มีธรรมซึ่งต่างกันอย่างใหญ่เป็นสองประเภท คือสภาพหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น อีกสภาพหนึ่งเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งสภาพรู้มีสองอย่างอีกไม่ใช่อย่างเดียว มีจิตกับเจตสิก จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ไม่ทำอะไรเลยเฉพาะรู้ อย่างเห็นเป็นหน้าที่ของจิต ชอบไม่ชอบไม่ใช่จิตแล้ว โกรธหรือติดข้องก็ไม่ใช่จิต

    เพราะฉะนั้น มีจิตหนึ่งนามธาตุซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แล้วก็มีเจตสิก ๕๒ ประเภท ทำให้จิตหลากหลายเป็นกุศลจิต เป็นอกุศลจิต

    เมื่อเจตสิกที่เกิดกับจิต หลากหลายมากต่างขณะก็ทำให้จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยแตกต่างกันเป็นถึง ๘๙ ประเภทหรือ ๑๒๑ ประเภท ซึ่งเรามีไม่ครบ ไม่มีใครมีครบ พระอรหันต์ก็ไม่มีอกุศลจิต เราก็ไม่มีกิริยาจิต คนที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ไม่มีโลกุตตระจิต แต่สภาพธรรมที่มีทั้งหมด พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ทั้งหมดไม่ให้เข้าใจผิด เพราะฉะนั้น หน้าที่ของชาวพุทธมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งโดยศึกษา

    เพราะว่าการบูชาด้วยกาย ด้วยวาจา แล้วยังด้วยใจ ศึกษาเพื่อเข้าใจแล้วพอไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจแล้วไม่พอ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วประพฤติปฏิบัติตาม ยากขึ้นตามลำดับ ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่รู้อะไรเลยก็ปฎิบัติ แล้วก็ไปบรรลุอะไร นี่คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ก็มีคนที่เขาบอกว่าเขาไม่ฟังดิฉันหรอกเพราะว่าดิฉันไม่ปฏิบัติ แทนที่เขาคิดว่า คำที่ได้ฟังทำให้เข้าใจ และเข้าใจนั่นแหละปฏิบัติ ปัญญาปฏิบัติกิจของปัญญา โมหะ อวิชชาปฏิบัติกิจของโมหะ สลับกันไม่ได้ เอาโมหะไปทำหน้าที่ของปัญญาได้อย่างไง และปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจะกลับเป็นความไม่รู้ได้หรือ

    เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะมีปฏิปัตติต้องมีปริยัติแล้วทั้งหมดเป็นอนัตตา มีใครไปบังคับปริยัติแล้วต้องปฏิบัติ เพราะเหตุว่าแม้ปริยัติคือความเข้าใจเมื่อถึงกาลที่จะทำให้สติสัมปชัญญะเกิดเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราเป็นธรรมฝ่ายที่จะทำให้เมื่ออบรมแล้วรู้ความจริงคืออริยสัจจะ จนใช้คำว่าโพธิปักขิยะธรรม ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดเลยเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น คำที่บอกว่าให้เข้าใจธรรม เป็นคำชั่วเพราะว่าไม่ให้ปฏิบัติ เข้าใจว่าอย่างนั้นแต่ความจริงไม่ได้ให้หรือไม่ให้ บังคับอะไรได้แต่ว่าอะไรปฏิบัติ ถ้าไม่มีปัญญาแล้วอะไรปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้น คำอย่างนี้เป็นคำชั่วของผู้ที่จะปฏิบัติ

    ผู้ฟัง กราบอาจารย์ ที่ ยึดพระพุทธเป็นที่พึ่งท่านอาจารย์ช่วยอธิบายต่อไป

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้ายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง และพระธรรมพระสงฆ์

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันตั้งแต่พระพุทธก่อน ที่ว่ายึดพระพุทธเป็นที่พึ่งจะพึ่งยังไง เห็นไหม ถ้าใช้คำว่ายึดการเป็นที่พึ่งเปลี่ยนแล้ว จะยึดเป็นที่พึ่งยังไง

    เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ายึดเนี่ยคือยึดเป็นที่พึ่ง แต่ว่าไม่ได้มีเป็นที่พึ่งให้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น อย่างมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่อกุศลธรรมเป็นที่พึ่ง แต่ธรรมส่วนที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน สัมมัปปธานพวกนี้ ที่กล่าวโดยละเอียดที่ว่าเมื่อฟังเข้าใจแล้ว มีสติหลายขั้นมาก สภาพธรรมละเอียดมากเลย

    ความโกรธมีตั้งแต่อยู่ในใจขุ่นๆ ยังไม่ออกมา ออกมาทางกายก็มี ทางวาจาก็มีแรงขนาดไหนก็มี ถึงประหัตประหารก็มี เพราะฉะนั้น แต่ละคำจะมีคำหลากหลายซึ่งแสดงระดับของธรรมแต่ละขั้น เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าแม้ธรรมที่เป็นพึ่ง ก็ต้องตามลำดับด้วย อย่างสติคนไทยใช้มากเลย รู้จักสติหรือเปล่า พูดมาก ผิดๆ ถูกๆ เมื่อไหร่จะถูก คือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งให้เข้าใจถูก แม้แต่ในแต่ละคำซึ่งกล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละอย่าง นี่จึงจะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ

    เวลานี้กำลังพึ่งให้เกิดความเข้าใจถูก ใช่ไหมแต่ถ้าไม่ฟังธรรม เราจะมีความเข้าใจใหม พอเป็นทุกข์เราก็ไปยึด เป็นทุกข์ไปทำอะไรก็ไม่รู้ แค่กราบไหว้หมดแล้วทุกข์

    เก่งมากเลยใช่ไหม บางทีกรรมตั้งหนักๆ ไปแค่กราบไหว้ปล่อยนกสองสามตัวก็หมดแล้ว ได้ยังไง นี่ก็แสดงว่าไม่ได้มีพระธรรมเป็นที่พึ่งเลย

    เพราะฉะนั้น จะมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งก็คือว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อได้เข้าใจพระธรรมจึงรู้ว่าธรรมนี้มาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งให้เกิดความเข้าใจจากการที่ได้ฟังพระธรรม เพราะถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแม้แต่คำว่าธรรมก็ไม่ได้ยิน

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ไม่ได้ยินหรือว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น มีที่พึ่งก็คือว่าพึ่งพระธรรมที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความเป็นพระสงฆ์ที่เป็นอริยะสงฆ์ ไม่อย่างนั้นเราฟังไปทำไม กิเลสเราเท่าเก่า ปัญญาไม่มีใช่ไหม แต่นี่ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลลดน้อยลง ธรรมฝ่ายที่จะทำให้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็เป็นที่พึ่ง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    23 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ