ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1896


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะเนี่ยจะไม่รู้จักคำว่าวิบากหรือวิปากะในภาษาบาลี หมายความถึงผลของกรรม เมื่อมีกรรมซึ่งเป็นเหตุก็ต้องมีวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็นจิตเห็น เป็นวิปากด้วยเป็นวิบากจิต จิตได้ยินก็เป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้น เราพูดถึงเวรกรรมเราก็ไม่ได้บอกอีกเหมือนกันว่าเป็นกรรมที่ไม่ดี เหมือนกับเข้าใจๆ กันก็พูดกันต่อๆ กันไปแต่เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้น แม้แต่เคราะห์กรรมเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วพูดคล้ายๆ กับเวรกรรมใช่ไหม หมายความถึงไม่ดี นี่เป็นเคราะห์กรรมของเขา พอถึงกรรมดีมีใครพูดนี่เป็นเคราะห์กรรมของเขาหรือเปล่าก็ไม่ได้พูด

    เพราะฉะนั้น เหมือนกันเลยไม่ว่าจะพูดเรื่องกรรมเวรก็ไม่รู้ว่ากรรมเป็นเหตุ และผลก็คือวิบากแต่เมื่อได้ศึกษาแล้วใครจะพูดอะไรเราก็รู้ว่าเขาพูดด้วยความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แค่ไหน อย่างบอกว่านี้เป็นคราวเคราะห์หรือว่าเป็นเคราะห์กรรมความหมายเหมือนกันใช่ไหมเพียงแต่คำพูดผิดกันก็หมายความว่าเป็นวาระที่กรรมไม่ดีหรืออกุศลกรรมจะให้ผล ตอนนี้มีเคราะห์กรรมหนาเนี่ยใช่ไหม ถ้าไม่พูดแล้วก็ไม่คิดถึงเลยว่าเป็นกรรมที่ได้กระทำแล้วจึงให้ผลอย่างนี้ๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เป็นกุศลกรรมก็ลืมไปอีกแล้วเหมือนกันแต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าเข้าใจ กรรมต้องมีทั้งสองอย่างคือมีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม

    เพราะฉะนั้น ผลก็มีทั้งสองอย่างแต่เวลาใครก็ตามคิดถึงเพียงอย่างเดียวก็หมายความว่าในขณะที่เป็นผลของกุศลเขาไม่ได้พูดถึงหรือลืมใช่ไหมกำลังเพลิดเพลิน แต่พอเวลาที่ลำบากเป็นเคราะห์กรรมของเราทำไมต้องเป็นเรา ก็นั่งคิดไป คำตอบที่ต้องเป็นเรา เพราะใครทำ คนอื่นไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น คำพูดทั้งหมดต้องเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนบอกว่าจะแก้กรรม ก็ถามเขาว่ากรรมอะไร แล้วกรรมไหนแล้วจะแก้กรรมนั้นได้อย่างไร ก็จะรู้ได้เลยว่าคนที่แก้กรรมเนี่ยแก้ได้หรือ ใช่ไหม แต่ก็หลงเข้าใจกันไปว่าแก้ได้ ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดจะไม่ให้ผลที่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น คนอื่นแก้ให้ได้ไหม กรรมที่ทำไว้แล้วจบแล้วเสร็จแล้วหมดแล้วมีโอกาสเมื่อไหร่พร้อมเมื่อไหร่ก็ให้ผลต้องให้ผลด้วย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใครจะไปแก้กรรมให้พระองค์ขณะที่ประชวรได้ไหม หรือท่านพระมหาโมคัลลาน ถูกโจรทุบ ใครจะไปแก้กรรมให้ท่าน ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านเก่งกว่าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจเหตุกับผลตามความเป็นจริงให้ตรงชัดเจน แล้วก็จะไม่หลง

    เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรมที่จะให้ผลไม่ใช่เลือกได้ตามใจชอบ แต่ต้องประกอบได้หลายอย่างเช่นกาลสมบัติ กาลวิบัติถึงแม้ว่าจะทำกุศลมา เราก็ยังเลือกไม่ได้อยู่นั่น ยามที่ใครๆ เขาลำบากแต่กรรมที่ได้ทำแล้วของบุคคลนั้นถึงกาลที่จะให้ผล เขาดีกว่าคนอื่นได้แม้ในยามอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องของกรรมนี่ไม่มีใครลิขิตได้เลย นอกจากว่ามีปัจจัยหลายอย่างหรือว่าการเกิดขึ้นง่อยเปลี้ยเสียขาในชาตินั้น และบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนจะมีโอกาสให้ผลได้อย่างไร

    มีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็เป็นนักดูดวงโหราศาสตร์เพราะว่าเป็นวิชาสาขาหนึ่งเหมือนกันที่เกี่ยวกับดวงดาวต่างๆ ท่านก็ทำนายชีวิตของท่านว่า ลูกของท่านคนหนึ่งจะสบายมากเลย กินนอน ท่านเคยเป็นผู้ที่มีฐานะดีมากเลย เพราะฉะนั้น ก็มีลูก ในบรรดาลูกๆ ทั้งหลายคนนึง พิการ ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องลำบากอะไรสักนิดกินนอนใช่ไหม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะความพิการซึ่งกรรมหนึ่งก็ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น เขาจะสบายยิ่งกว่านี้ไหม

    เพราะฉะนั้น กรรมที่แต่ละคนทำมาอยู่ในจิตซึ่งมองไม่เห็น เวลานี้ทุกคนมีจิตทีละหนึ่ง และก็เพียงหนึ่งจะกล่าวว่าแต่ละคนคือจิตหนึ่งดวงซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ สลับสืบต่อแต่ไม่ใช่จิตเก่าเลยทั้งสิ้น แต่ทุกขณะเดียวก็เพิ่มสะสมกุศล และอกุศลละเอียดมากเลย ที่จะทำให้แต่ละวาระที่จะให้ผล ก็ให้ผลต่างๆ กัน ไม่ลำบากดีไหมกินนอนดีไหม ก็จะต้องคิดอีกใช่ไหม

    ไม่เอาสู้ได้ฟังธรรมเข้าใจธรรมหรืออะไรก็ดีกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราก็เลือกไม่ได้เลยไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร แม้แต่เกิดเป็นสัตว์เช่นนกหรือสุนัขหรือแมว ความเป็นอยู่ดีกว่าบางคนได้ไหม ก็เป็นผลของกรรรมอีก แต่ว่าถ้าไม่ได้เกิดอย่างนี้ก็จะยิ่งดีกว่าไหม เพราะฉะนั้นเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงพบก็รู้ได้เลยว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะได้เคยทำกรรมไว้แต่ชาติไหน นี่คือพระปัญญาคุณ

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ยิน มาจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงโดยประการทั้งปวง โดยทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ว่าใครจะเคยทำกรรมไว้ในชาติไหนอย่างไรเกิดเป็นอะไร ทรงแสดงไว้หมด ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้อย่างนั้นแม้ว่าพวกอัญเดียรถีย์พวกนอกศาสนาคำสอนนี้ จะได้เป็นผู้ที่ได้ฌานมีความสงบของจิตสามารถระลึกชาติได้แต่ก็ไม่เท่า เพราะฉะนั้น เป็นบุคคลที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย แล้วยังจะอยากรู้เรื่องกรรมของเราเองไหม แต่จะรู้เมื่อผลของกรรมเกิด พอผลอะไรเกิดมาได้ลาภถ้าไม่เคยทำกรรมที่ดีไว้จะได้ไหม เกิดความทุกข์ อาจจะเจ็บแขนหรืออะไรก็แล้วแต่ถ้าไม่เคยทำกรรมนั้นไว้จะเป็นอย่างนี้ได้ไหม

    เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นที่พึ่งทุกอย่างไม่ว่ายามทุกข์โศกยามสนุกสนาน ก็สามารถที่จะอารักขาให้รู้ความจริงให้เข้าใจความจริงให้รู้ความไม่เที่ยงความเป็นชั่วคราวเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น เป็นมาแล้วทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้เพียงชั่วคราว และต่อไปข้างหน้าก็แล้วแต่บุญกรรมซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ และนอกจากนั้น ก็ยังต้องมีปโยคะความเพียร ความสามารถด้วย ทั้งสองคนก็เปิดร้านขายอาหารคนละร้าน ร้านหนึ่งก็อร่อย ค้าขายดี อีกร้านหนึ่งทำให้เป็น แล้วจะยังไง นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่บ้างร้านติดกัน คนเข้าร้านอีกร้านหนึ่งเท่านั้นไม่เข้าอีกร้านหนึ่งเลยบางคนก็บอกว่าดวงไม่ดี ก็คือกรรมไม่ดีสะสมมาที่จะไม่ได้รับผลทั้งๆ ที่ อาหารอาจจะเป็นประเภทเดียวกันหรืออะไรๆ ก็ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะไม่โทษอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว และเห็นกรรมว่ามีกำลังมากตามเจตนาความจงใจ และยังตามความเพียรที่กระทำด้วยมีส่วนประกอบหลายอย่าง แม้แต่ว่ามีความจงใจแต่ไม่มีความพากเพียรถึงอย่างนั้นจำก็ต้องให้พ้นน้อย เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปแล้ว โลกเองมีไหม มีแน่ๆ แต่โลกไหนไม่รู้ แต่กรรมนำไปหรือว่าใช้คำที่ถูกต้องคือเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดแม้ไกลแสนไกลก็ได้ นรกนี่ไกลไหม ไกลแต่ไม่เห็นใช่ไหม เราพูดเรื่องกรรม และผลของกรรมใช่ไหม เวลาที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นความเข้าใจถูกอยู่ที่ไหน ต้องไม่ลืม มีกรรมแล้วก็มีผลของกรรม และอีกอย่างหนึ่ง ใครเปลี่ยนใจใครได้ไหม คนกำลังโกรธไปบอกเขาอย่าโกรธนะตกนรกนะหรือว่าโกรธ และก็ไม่ดีนะร่างกายจะไม่แข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยเขาจะโกรธต่อไปไหม หรือว่าเขาจะหยุดโกรธเพราะเราพูดอย่างนี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะว่าถ้าเข้าใจธรรมมากขึ้น จะอยู่เป็นสุข เพราะความเข้าใจธรรม ที่จะรู้ว่าขณะใดเป็นกุศล และก็ขณะใดเป็นอกุศล และก็ธรรมก็คือมีปัจจัยเกิดขึ้นใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงในเรื่องกุศลนะคะ ที่สำคัญมากก็คือเรื่องความเป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อน ซึ่งมาจากคำว่ามิต ตะหรือภาษาบาลีก็ใช้คำนี้กับคำว่าเมตตาทั้งสองคำใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น หมายความถึงอะไร ความเป็นมิตรความเป็นเพื่อนพูดได้ แต่ความลึกซึ้ง และความจริงใจอยู่ที่ไหน ถ้าเป็นเพื่อน ในภาษาไทยก็คือเป็นมิตร หรือเมตตาหมายความถึงความหวังดีกับบุคคลนั้น พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกโอกาส ไม่คิดร้ายไม่โกรธเคืองด้วยขณะใดที่โกรธขณะนั้นไม่ได้เป็นมิตรเลย และขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตสะสมไว้บ่อยๆ ต่อให้มีสิ่งที่ดีรอบข้างก็ไม่เป็นสุขก็ได้ เพราะความขุ่นเคืองใจ หรือว่าอาจจะเป็นเหตุที่มีกำลังถึงกับทำอกุศลกรรมได้ ตามข่าวคราวเรื่องราวที่ได้ยินบ่อยๆ ไม่มีอะไรเลยก็ฆ่ากันตายแค่คำพูดคำเดียว หรือการกระทำเพียงเล็กน้อยเพราะกำลังของกิเลสเป็นปัจจัย

    เพราะฉะนั้น จะเป็นอย่างนั้นหรือ ใครทำ ใครโกรธ ทำแล้วใครได้รับผลของกรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ จะไม่เดือดร้อน แต่มีความเป็นเพื่อนคือเข้าใจ และก็เห็นใจว่าจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางคนก็สะสมอกุศลมามากบางคนก็สะสมกุศลมามาก แล้วก็เราจะทำอะไรได้ นอกจากรักษาจิตของตนเอง ด้วยการที่มีความเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นมิตรไม่ใช่เป็นศัตรูไม่ใช่หวังร้ายอะไรดีกว่ากัน เป็นมิตรดีกว่าเพราะอะไร เราอยากให้คนอื่นเป็นมิตรเราใช่ไหม นี่เราอยากให้คนอื่นหวังร้ายต่อเรา เราเพียงอยากให้เขามาเป็นมิตรกับเรา แล้วทำไมเราจะไม่อยากเป็นมิตรกับเขาหรือแทนที่จะคอยให้เข้ามาเป็นมิตรกับเรา ก็เราซิที่จะเป็นมิตรกับคนอื่นไม่เดือดร้อนเลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งหมดนำมาซึ่งความสุขถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อนด้วย แต่ว่าที่สำคัญที่สุดก็คือว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้แต่มีปัจจัยที่จะขุ่นใจ ขุ่นใจก็ต้องโกรธแต่ก็ยังมีการได้ยินได้ฟังเห็นโทษว่าอะไรดีกว่ากัน ในขณะที่กำลังจะโกรธ บางคนฟังธรรมไม่นาน ก็บอกว่านึกได้ ว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่ไม่ดีขณะนั้นก็เลยไม่โกรธ

    เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจจริงๆ เพราะอะไร ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน เพราะฉะนั้นธรรมที่ควรระลึกอยู่เสมอก็คือว่าไม่มีใครรู้วันตายไม่รู้ว่าจะตายวันไหน เวลาไหนเมื่อไหร่ด้วยอาการอย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อจะตายเดี๋ยวนี้ควรมีเมตตาความเป็นมิตรหรือความเป็นเพื่อนเพราะว่าถ้ามีความเป็นมิตรจริงๆ จะไม่มีการทำร้ายด้วยวาจาหรือกายแม้สักเล็กน้อยก็ไม่มี และก็เป็นประโยชน์กับคนนั้นเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ ถึงเวลาที่จะไปนรกไปเพราะกรรมที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้น เห็นเลยว่าขออย่าให้เขาได้ไปสู่นรก ก็เมื่อขอให้เขาได้เข้าใจธรรมหรือขอให้เขาเป็นคนดี นี่คือความหวังดีแต่ไม่ใช่ไปท่องเสร็จก็โกรธ อย่างนี้ไม่ได้เข้าใจความเป็นมิตร

    ความเป็นมิตรไม่ต้องพูดไม่ต้องบอก แต่พร้อมทันทีที่เห็นใครก็ไม่หวังร้ายเลย และก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล

    ผู้ฟัง อย่างตัวดิฉันที่มาสนใจนี่อย่างน้อยที่สุดก็ได้ มีความรู้ในเล็กๆ น้อยๆ แต่ดิฉันก็สบายใจอาจจะเป็นความโลภหรือความติดข้องว่าอย่างน้อยที่สุดเนี่ยมีธรรมที่มีอีกเยอะที่เรายังไม่ศึกษาขนาดเรารู้นิดหน่อยเราก็ยังพอจะสงบเย็นได้ขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นความจริง ซึ่งเรารู้ความจริงเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่พอ ก็คงจะต้องเข้าใจจนกระทั่งไม่มีเรา จริงๆ แล้วจิตมีแน่นอน ไม่ต้องเรียกชื่อได้ไหม ได้ ไม่ต้องบอกว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี แต่อกุศลจิตเกิดกุศลจิตเกิดก็ต่างกันแล้ว

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า จะชื่อว่าชาวพุทธกิเลสยังมี เพราะฉะนั้น ตัวกิเลสไม่ใช่ชาวพุทธ หรือชาวพุทธเองก็ไม่ใช่จิต จิตต้องเป็นจิต เพราะฉะนั้น มีความเห็นสองอย่าง ความเห็นถูกกับความเห็นผิด ไม่ว่าเราจะเรียกชื่ออะไรก็ตามศาสนาไหนก็ตาม ความเห็นถูกจะผิดไม่ได้เลยเพราะเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมที่กำลังมีในขณะนั้น และความเห็นผิด ก็คือว่าคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไม่เข้าใจในความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าชาวพุทธโดยที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะฉะนั้น แทนที่จะใช้คำว่าชาวอะไรก็ตามแต่ กุศลจิตกับอกุศลจิต

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามใครจะนับถืออะไรอะไรก็ตามแต่เวลากุศลจิตเกิดเปลี่ยนกุศลจิตเป็นอย่างอื่นไม่ได้ หรือแม้คนที่คิดว่าตนเอง นับถือพระพุทธศาสนาแต่ทำสิ่งที่ไม่ดี และจะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธหรือ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องใช้คำใดๆ เลยทั้งสิ้นก็เปลี่ยนสภาพธรรมนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นกุศล และอกุศล และผลของกุศล และอกุศล ถ้าเป็นจิตก็คือเป็นชาติ ชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเป็นกุศลก็เป็นกุศลเกิดเป็นอกุศลก็เป็นอกุศลกุ ศะ ลา ธัมมา อะ กุ ศะลา ธัมมา อัพ ยา กะตา ธัมมา ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล

    เพราะฉะนั้น ศึกษาให้รู้ความจริงแล้วถึงจะรู้ว่า ใครรู้ก่อน ใครแสดงความจริงต้องจากการที่ผู้นั้นได้ตรัสรู้ความจริงจะเรียกว่าอะไร ไม่เรียกว่าอะไรก็เปลี่ยนปัญญาที่สูงเหนือบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น ให้กลับเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่าแต่ละคน จะได้รู้ความจริงก็ด้วยการที่ได้ฟัง แล้วก็ได้ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ทุกคนเห็นใช่ไหม ชาติอะไร เห็นเป็นชาติญี่ปุ่นเปล่า ได้ยินเป็นชาติอะไร วิบากไม่ต้องเรียกวิบากก็เป็นใช่ไหมว่าเป็นผลของกรรมที่ต้องได้ยินอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาอย่างนี้แล้ว เราจะมีเมตตาต่อคนที่มีอกุศลไหม เพราะว่าจริงๆ แล้วความเป็นมิตรไม่ควรจำกัดเลย คนไม่ดีคนเลวเขาก็ต้องการมิตร แต่ว่าจะมีใครเป็นมิตรกับเขาบ้าง ถ้าทุกคนรังเกียจ คนแต่ไม่รู้เลยว่าขณะที่กำลังรังเกียจเป็นอกุศลที่เกิดแล้ว ใครไม่ดีขณะนั้นก็ต้องอกุศลนั้นแหละเปลี่ยนอกุศลให้เป็นกุศลไม่ได้ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ โลกร่มเย็นเป็นสุขเพราะเมตตา เพราะความเป็นมิตรแต่ตรงกันข้าม พอไม่ใช่มิตรโลกก็เป็นสุขไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วความจริงเป็นสิ่งซึ่งถ้ายิ่งรู้แล้วเข้าใจขึ้นปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ไม่ว่าจะเห็นจะได้ยินก็มีความเมตตามีความเป็นเพื่อนได้ และประโยชน์อยู่ที่ใครก็อยู่ที่กุศลซึ่งเกิดขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น คงจะไม่ต้องคิดถึงว่าเขาทำอะไรมาแล้วเขากำลังทำอะไร และเขาจะทำอะไร เราเปลี่ยนใจใครไม่ได้เลย แต่ใจที่เราเคยยึดถือว่าเป็นของเรามานานแสนนาน ดีชั่วเกิดขึ้นตามการสะสมซึ่งทุกคนก็ไม่ปรารถนาที่จะมีอกุศลมากๆ แต่ว่าถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่รู้จึงเป็นอกุศล

    สนทนาธรรมที่โรงแรมแพรวอาภาเพลสจังหวัดราชบุรีวันที่ ๔ เมษายนพุทธศักราช ๒๕๕๗

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ธรรมที่ควรจะรู้เป็นเบื้องต้นก่อนในขณะที่ฟังธรรม ควรจะรู้อะไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็ต้องยาก เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้ฟังต่อไป ก็ต้องคำนึงถึงว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องพิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ยินว่าเป็นคำจริง แล้วก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้หรือไม่เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จะมีประโยชน์อะไรฟังอะไร ถ้าขณะนี้มีสิ่งซึ่งตั้งแต่เกิดมา แล้วก็ไม่ได้เกิดเพียงชาตินี้ชาติเดียวเกิดมาแล้วนานทุกชาติก็มีสิ่งที่เหมือนอย่างนี้ไม่ว่าชาติไหนคือมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วก็คิดนึก แต่ทุกชาติที่ผ่านมา เข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่าแม้แต่ว่าจะเข้าใจว่าเกิดมาเพียงชั่วคราว เกิดมาแล้วทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าก่อนจะจากก็มีทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนโตขึ้นทุกวันๆ และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่ที่ไหนหายไปไหนหมด ไม่เหลือเลยแล้วก็ไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจทั้งๆ ที่เกิดมา อาจจะมีอายุที่ยืนยาว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรทุกชาติไป กับการที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทรงตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง และทรงพระมหากรุณา ทรงแสดงความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้ให้คนอื่นได้เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ทั้งหมด ให้เราเริ่มที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีทุกวัน แท้ที่จริงแล้วเป็นอะไร คืออะไรเป็นความจริงถึงที่สุดไม่มีความจริงยิ่งกว่านี้เป็นวาจาสัจจะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทุกครั้ง เพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว กว่าจะได้รู้ความจริงถ้าไม่มีการตรัสรู้ และไม่มีการทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมในภาษาบาลีก็คือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง ในพระไตรปิฏกจะไม่พูดเรื่องอื่น นอกจากเรื่องสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันแต่ว่าเป็นอีกภาษาหนึ่งคือภาษามคธีเมื่อผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในภาษานั้นก็จะต้องรักษาภาษาคือคำที่ได้แสดงเพื่อที่จะได้ไม่เปลี่ยนความหมาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาภาษาบาลี มีความรู้ก็เหมือนกับคนที่ยังไม่รู้ภาษาต่างประเทศก็ไปเรียนคำนั้นแต่ว่าทั้งๆ ที่เป็นคนไทยพูดภาษาไทยแต่ยังต้องศึกษา คำที่เราได้ยินทุกวันเพื่อให้เข้าใจถูกต้องจริงๆ ว่าหมายความถึงอะไร เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ให้เข้าใจจริงๆ จะไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น กล่าวไปนี้ จะพูดคำที่รู้จัก คือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก่อนเองอื่นที่ว่าจะตั้งต้นยังไง เริ่มต้นยังไงคือเริ่มให้รู้ความสำคัญของ พระธรรมที่ทรงแสดงว่าลึกซึ้งอย่าประมาทคิดว่าง่ายแล้วก็จะเข้าใจได้เร็ว เพราะว่าทรงแสดงถึงความจริงซึ่งใครก็คิดไม่ถึงเช่นขณะนี้คเห็น มี ในพระไตรปิฏกจะไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่าจักขุวิญญาณธรรมดาที่สุด เห็นทุกวันแต่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง และมีศรัทธาเห็นประโยชน์ว่าจากการที่ไม่เคยเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ก็จะต้องมีความอดทนที่จะต้องฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีธรรมดาอย่างนี้ จะฟังต่อไปไหม เพื่อที่จะให้เข้าใจเพราะบางคนคิดว่าต้องไปฟังเรื่องอื่นคำยากๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฟังจบแล้วก็ไม่เข้าใจแต่ว่าถ้าขณะนี้มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึกพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้โดยคำว่าธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง และก็ไม่ใช่ของใครจริงๆ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    18 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ