ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1891


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙๑

    สนทนาธรรมที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งก็คือ เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ตาบอดได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ตาบอดได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ และจะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอีกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีแล้วครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นถึงมีหู มีใจคิดนึกนะคะ แต่ไม่สามารถจะมีสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะว่าธาตุรู้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยที่ไปกระทบตา เพราะฉะนั้น ก็ไม่เกิดการเห็นเลย นี่คืออนัตตาค่ะทุกอย่างเลยเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง พรุ่งนี้ลืมไหมคะ ไม่ต้องพรุ่งนี้ค่ะ เดี๋ยวก็ลืมถึงนั่งอยู่อย่างนี้ก็ลืมค่ะ เพราะเราจำไว้มั่นคงเหลือเกิน ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าค่อยค่อยจ้ำค่อยค่อยไตร่ตรองค่อยๆ รู้ซึ่งผู้นั้นจะรู้เองไม่ต้องถามใครรู้แล้วหรือยังรู้มากหรือยังเป็นสติสัมปชัญญะหรือเปล่าเป็นปัญญาหรือเปล่า นั่นคือไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้าเข้าใจธรรมความเข้าใจเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจไม่ได้ เข้าใจเป็นเข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้นะคะ ก็รู้เลยว่า เห็นขณะนี้ค่ะ ด้วยความไม่รู้หรือด้วยความรู้ เหมือนเดิมคือไม่รู้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เริ่มเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียวเหมือนจับด้ามมีด กว่าด้ามมีดจะสึก วันนี้นั่งกำด้ามมีดทั้งวันยังไม่สึกเลย แต่ไม่ได้ไปธรรมทั้งวันอย่างนี้แล้ว และจะไปให้เข้าใจถูกต้องว่าที่เห็นเนี่ยเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นความพอใจสิ่งที่ปรากฏ เนี่ยมากมายเลยนะคะ เห็นอะไรก็ชอบสิ่งที่สวยๆ งามๆ ดอกไม้ต้นไม้อะไรทั้งหมดแม้แต่รูปร่างอาคารบ้านเรือนก็เพราะปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ความติดข้องมากมายนะคะ ทางตาติดมากไหมคะ ไม่อย่างนั้นจะต้องไม่มีกระเป๋าสวยๆ เข็มขัดสวยๆ อะไรๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมคะ แต่เพราะติดข้องอย่างมากก็ทำให้มีแต่สิ่งใหม่ๆ

    ผู้ฟัง สิ่งที่เห็นนั้นจริง

    ท่านอาจารย์ จริงไหมคะ จริง

    ผู้ฟัง ก็ไปปนกัน และอาจารย์บอกว่าเกิดดับๆ มันก็อยู่ทนโท่อยู่ จะเกิดได้ยังไงคะ ที่สงสัยกันตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังธรรมเลยจะได้ยินคำว่าสิ่งที่กำลังมีขณะนี้เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงมีหรือเปล่าก็จะไม่ได้ยินเลยใช่ไหมคะ และยังได้ยินต่อไปว่าสิ่งที่มีเกิดขึ้นเนี่ยดับ เพราะฉะนั้น ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ต้องพิจารณาว่าจริงหรือเปล่า ถ้าจริงรู้ได้ไหมเมื่อฟังเข้าใจขึ้นๆ เข้าใจขึ้นนั่นคือปัญญาค่ะ ความเห็นถูกจะมีต่อเมื่อไม่ได้ว่างเว้นการฟังนะคะ ฟังแล้วพอไหมคะ ยังไม่มีปัจจัยที่จะแม้ไม่ฟังก็คิดขึ้นมาได้ เราคิดเรื่องอื่นสารพัดคิด แต่ไม่เคยคิดเรื่องสิ่งที่ได้ฟัง จนกว่า ฟังจนกระทั่งคิดเรื่องอื่นน้อยลงค่ะ แต่ว่าคิดเรื่องสิ่งที่ได้ฟังบ่อยขึ้น แต่จะบ่อยจนกระทั่งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเนี่ยเริ่มเข้าใจ เห็นไหมคะใช้คำว่าเริ่มเข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ต้องไปคิดเรื่องเกิดดับเลยเพราะเกิดแน่ดับแน่แต่ปรากฏให้เห็นได้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้เลย ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ต่อจากนั้นคิดแล้วค่ะเร็วมาก เพราะฉะนั้นจะรวมจิตเห็นกับจิตคิดไม่ได้ ทรงแสดงจิตประเภทต่างๆ นะคะ ซึ่งหลากหลายมากประมาณไม่ได้เลยว่าเท่าไหร่แต่ประมวลได้เป็น ๘๙ ประเภทืแต่ ๘๙ เนี่ยแต่ละหนึ่งก็หลากหลายมากเลย ความโกรธมีหลายระดับใช่ไหมคะ ขุ่นใจเล็กน้อยมากไม่พอใจเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย และใช่ไหมคะโกรธยังไม่พูด โกรธจนหน้าแดง ใช่ไหมคะเริ่มแสดงอาการโกรธจนหยุดไม่ได้เลยยังไม่ได้เลยทั้งกายทั้งวาจาออกมาเห็นไหมคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าจะไป รู้ระดับของจิตที่เกิดดับสืบต่อเพียงหนึ่งขณะแล้วไม่กลับมาอีกแต่ปรุงแต่งให้ขณะต่อไปหลากหลายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ธรรมก็มีแต่ไปไม่กลับมาอีกแต่ว่าขณะนี้ค่ะจิตที่ดับไปแล้วเนี่ยเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่จิตนั้นรู้นะคะ ก็ผ่านไปสู่จิตอื่นสะสมต่อไปตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์มาแล้วเราไม่ได้เห็นเพียงชาตินี้ ชาติก่อนๆ ก็เห็นก็ได้ยิน ก็สุข ก็ทุกข์ ก็ดีก็ชั่วนะคะ สะสมอยู่ในจิตหนึ่งขณะ เมื่อจิตขณะนั้นดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดก็มีทุกอย่างตามจิตที่สะสมนั่นแหละ เพราะฉะนั้น แต่ละคนเนี่ยจะเปลี่ยนจิตไปเอาของคนอื่นมาแทนซ่อมเป็นอาหลั่ยได้ไหมคะ ไม่มีทางเลยค่ะเพราะว่า เกิดแล้วดับไม่มีใครจะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น แม้แต่รูปธรรมนะคะ ซึ่งมองเห็นเหมือนไม่ดับ แต่ความจริงเพราะไม่รู้ ปัญญาไม่ถึงกันละคลายกว่าจะค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเพื่อที่จะละคลายว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จนกระทั่งละคลายความติดข้องแล้วสภาพธรรมนั้นจึงเกิดแล้วดับปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็อีกนานไม่ต้องใช้คำว่าวิปัสสนาเลย เพราะวิปัสสนาคืออะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่มีเหตุที่สมควรที่จะเข้าใจถึงอย่างนี้ก็เข้าใจถึงอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะขณะนั้นพอเข้าใจขึ้นก็ไม่มีเราจะไปหวังอะไร แต่ก่อนที่จะเข้าใจเป็นเราที่หวังมากค่ะหวังได้ยังไงคะเหตุอยู่ที่ไหนความหวังไม่ได้ทำให้อะไรสำเร็จ แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น ลืมหรือยังคะเพียงปรากฏให้เห็นได้แค่หลับตาก็ไม่มี ถ้าจำไว้ไม่ลืมคือสัญญาความจำที่มั่นคงก็ไม่ใช่เราอีกแต่เป็นสภาพจำ เพราะฉะนั้น ทั้งวันเนี่ยก็มีสภาพธรรมทั้งนั้นเลยค่ะ มีชื่อต่างๆ ในภาษาบาลีสำหรับให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไรเดี๋ยวนี้ แล้วเราก็ใช้ภาษาไทยที่เราเข้าใจได้ จะใช้ภาษาไหนก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นได้เลยสภาพธรรมนั้นก็ยังเป็นอย่างนั้น รู้น้อยรู้มากคะเนี่ย

    ผู้ฟัง รู้นิดเดียว

    ท่านอาจารย์ นิดเดียวน้อยแค่ไหนใช่ไหมคะจับด้ามมีดนั่นแหละค่ะเป็นเครื่องพิสูจน์

    ผู้ฟัง อยากทราบคำว่าเป็นกลางทางธรรมเนี่ยอาจารย์ช่วยขยายความให้หน่อยครับ เท่าที่ผมฟังมามันจะมีความดีกับความชั่ว

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ทั้งสองอย่างเป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรมไม่เว้นเลย

    ผู้ฟัง ไม่เว้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ดีก็เป็นธรรม ชั่วก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ครับแล้วคนที่เค้าว่าเค้าเป็นกลางเนี่ยเป็นยังไงครับ

    ท่านอาจารย์ เขาว่าก็เป็นเขาว่า แต่ความจริงกุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง เหมือนกับขาวกับดำใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ กุศลจะเป็นอกุศลไม่ได้ ถูกไหมคะ อกุศลก็จะเป็นกุศลไม่ได้ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เราคิดเองว่าเป็นกลาง

    ผู้ฟัง เหมือนกับมีขาวกับดำไม่มีเทาๆ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ มีธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลแต่เป็นธรรม แต่ไม่ใช่เป็นกลาง ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดค่ะ เพราะฉะนั้น มีธรรม ๓ ประเภทนะคะ ที่เราไปงานศพเราได้ยินชินหูค่ะกุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อพยากะตาธัมมา ธรรมะทั้งหมดเนี่ยประมวลได้หลายนัยมากจะประมวลโดยนัยของกุศลธรรมธรรมฝ่ายดี อกุศลธรรมธรรมฝ่ายไม่ดีแยกกันแล้วใช่มั้ยคะ ปนกันไม่ได้ อพยากตะธรรมเป็นธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล แต่ไม่ใช่เป็นกลางเพราะต้องเป็นธรรมนั้นคือไม่เป็นอกุศล และไม่เป็นกุศลต้องเป็นอัพยากตะธรรม อัพยากตะคือไม่พยากรณ์ คือไม่ใช่อย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาไม่ใช่ไปเอาคำนี้มาใช้เองว่าเป็นกลาง อะไรทราบไหมคะที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล

    ผู้ฟัง รูปครับ ๐๙.๓๗

    ท่านอาจารย์ ค่ะรูปไม่เป็นกุศลไม่เป็นอกุศลเพราะรูปไม่รู้อะไรเลยจึงมีสภาพธรรมที่ดี และชั่วไม่ได้ ถูกต้องนะคะ รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้จึงไม่มีสภาพธรรมที่ดี และชั่วเกิดร่วมด้วย สภาพธรรมที่ดี และชั่วเป็นจิตหรือเป็นเจตสิก

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิกนะคะ เพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัณฑระจะเป็นเจตสิกฝ่ายดีฝ่ายชั่วไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เจตสิกฝ่ายดีก็มีเจตสิกฝ่ายไม่ดีก็มีเจตสิกที่สามารถจะเกิดกับจิตที่ดีก็ได้เกิดกับจิตที่ไม่ดีก็ได้ก็มีเป็นอัพยากตะ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วนะคะ คำว่าอัพยากตะธรรมที่ไม่ใช่กุศลอกุศลเนี่ยรูปแน่นอน ถูกต้องไหมคะ และถ้าเป็นกุศลจิตเป็นเหตุ ต้องเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล และวิบากจิตจิตซึ่งเป็นผลของจิตที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น วิบากจิตไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลจึงเป็นอัพยากตะ เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้เลยนะคะ ว่าอัพยากตะได้แก่รูป และได้แก่จิตซึ่งเป็นผลของกรรมคือกุศลวิบากอกุศลวิบาก และกิริยาจิตนะคะ ก็ไม่ใช่กุศล และอกุศลส่วนใหญ่เป็นจิตของพระอรหันต์เมื่อดับกิเลสแล้วท่านก็ยังมีการกระทำต่างๆ เป็นปกติเหมือนเดิมนะคะ แต่จิตขณะนั้นไม่มีอกุศลเกิดร่วมด้วยเลย เมื่อไม่มีอกุศลซึ่งเป็นเหตุเกิดร่วมด้วยดับหมดก็ทำให้กุศลธรรมฝ่ายดีเนี่ยไม่สามารถที่จะให้ผลจึงเป็นกุศลต่อไปไม่ได้ แต่เป็นกิริยา เพราะฉะนั้น สภาพธรรมจึงมี ๓ ประเภทนะคะ กุสลาธัมมา อกุศลาธรรมา และอัพยากะตาธัมมา มีครบไหมคะ เดี๋ยวนี้ครบ เนี่ยค่ะคือทำไมต้องเดี๋ยวนี้ค่ะ มิฉะนั้นจะไปหาอัพยากตะธรรมที่ไหนกุศลธรรมที่ไหน อกุศลธรรมที่ไหน ก็คือเดี๋ยวนี้แต่เพราะไม่รู้นะคะ พอได้ยินได้ฟังก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย

    ผู้ฟัง ผมขออนุญาตถามครับ ในสภาวธรรมที่เกิดอยู่ตลอดเวลาเราปล่อยให้ไหลไปโดยที่ว่า

    ท่านอาจารย์ ปล่อยได้ไหม ถ้าใครคิดอย่างนั้นนะคะ ไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริง เพราะอะไรคะ เดี๋ยวนี้จริงเพราะเกิดโดยเราไม่ได้หวัง เกิดตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมาจริงๆ ของแต่ละคน เกิดให้เห็นเลยค่ะว่าปกติอย่างนี้แหละเกิดได้ยังไง ถ้าไม่มีการสะสมมา เพราะฉะนั้น แม้แต่การพูดการคิดแม้แต่การนั่งการนอนการยืนการเดินแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลยค่ะจิตก็หลากหลายมากแล้วนะคะ ประมาณไม่ได้เลยว่าเท่าไหร่ แต่กิริยาอาการที่สะสมมาโดยจิตประเภทนั้นๆ ก็ยังแสดงให้เห็นความหลากหลาย เพราะฉะนั้น การที่เราจะอย่างนั้นเราหวังอย่างนี้นะคะ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยถ้าเราจะทำขึ้น โดยที่ว่าไม่เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยด้วยเหตุนี้นะคะ ปัญญาจริงๆ นะคะ ไม่ใช่รู้ขณะที่เราไปทำ คิดว่าเราไปทำให้เกิดขึ้น แต่ปัญญาจริงๆ ก็คือสามารถรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ จากการฟัง และค่อยๆ ละความไม่รู้ นี่เป็นจุดที่สำคัญมากซึ่งทุกคนข้ามไป เพราะว่าถ้าอ่านพระสูตรนะคะ โดยไม่เข้าใจจริงๆ เนี่ยเหมือนเรา ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เหมือนเราใช่ไหมคะ แต่ชั่วไม่ใช่เรา อะไรละชั่วก็ไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี และก็ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจถูกด้วย เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าถึงธรรมจริงๆ ด้วยความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นนะคะ ที่มั่นคงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพระสูตรก็เป็นธรรมพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจูบพระบาท จริงๆ ก็คือจิตเจตสิกทั้งนั้น และก็จะไม่กลับมาเป็นอย่างนั้นอีกแล้วไม่ใช่ไปฝืนอัธยาศัยใช่ไหมคะ ทุกคนไม่ว่าจะคิดจะพูดจะทำเลยค่ะตามที่สะสมมา จะไปฝืนคนที่ไม่สนใจธรรมเลยบอกให้สนใจธรรมไม่มีทางสำเร็จ ชวนไปไหนไปได้นะคะ แต่ชวนฟังธรรมไม่ได้ คุณคำปั่นเล่าเรื่องของโชติปาละมานพให้ฟังหน่อยสิคะ

    อ.คำปั่น ครับ ก็เป็นอดีตความเป็นไปของพระโพธิสัตว์เองนะครับ ซึ่งเป็นโชติปาละมานพครับ ซึ่งก็มีเพื่อนที่ดีก็คือคติการะช่างหม้อนะครับ เป็นผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรเป็นผู้ที่ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้แสดงไว้น่ะครับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ณพระวิหารอันใกล้ ท่านก็อยากจะให้สหายของท่านได้รับประโยชน์จากพระธรรมก็ชวน ให้มาฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตอนแรกก็ยังไม่ไป ชวนแล้วชวนอีกก็ยังไม่ไปแต่พอชวนให้ไปอาบน้ำไปครับ นี่ก็แสดงถึงการสะสมมานะครับ แต่เพราะในที่สุดครับ เพราะอาศัยกัลยาณมิตรคอยบอกคอยกล่าวให้เข้าใจอยู่เสมอว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงก็ควรที่จะได้ไปฟังควรที่ได้ศึกษาเพราะด้วยการสะสมมาของพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนะครับ ท่านก็เกิดความคิดขึ้นว่าก็คงจะเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างนั้น มิฉะนั้นสหายของเรา ไม่กล่าวแล้วกล่าวอีกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระสัมมาส้มเจ้าทรงแสดงความจริง เพราะฉะนั้น เราก็ควรที่จะได้ฟังด้วยครับนี่ ก็คือเป็นการกล่าวโดยคร่าวๆ ครับอาจารย์ครับในการสะสมของแต่ละคนแต่ละท่านที่ควรอย่างยิ่งที่จะไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญในการที่จะได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมเพื่อสะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป

    อ.อรรณพ คือเมื่อคืนให้คุยกันมีประเด็นหนึ่งก็คือปัญญาเนี่ยมีขั้นฟังแล้วก็ขั้นพิจารณาไต่รตรองนะครับ แล้วก็ขั้นประจักษ์แจ้ง ทีนี้ที่สนทนากันเนี่ยปัญญาในขั้นพิจารณาไตร่ตรองในขั้นจินตามยปัญญา อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าจะต้องคิดมากๆ คิดอะไรอย่างเนี้ย ก็ได้มีการสนทนาว่าการพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาที่เป็นไปตามคลองของพระธรรมเนี่ย ที่จะต่างอาการคิดทำแบบเตลิดเปิดเปิงฟุ้งซ่านยังไงครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังนี่ไตร่ตรองรึเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ก็ไตร่ตรองอยู่ตลอด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เข้าใจสภาพธรรมไตร่ตรองไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น สภาพธรรมเกิดดับเร็วมากเลยค่ะ ไม่ใช่เราจะมาไตร่ตรองอีกต่างหาก แต่ขณะที่กำลังฟังนี่เองนะคะ ก็สามารถที่จะเข้าใจเพราะว่าขณะนั้นไม่ใช่เราแต่มีเจตสิกฝ่ายดีเกิดขึ้นนะคะ ทำกิจการงานพร้อมจิตขณะนั้นที่เข้าใจก็แสดงว่ามีปัญญา สภาพธรรมที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น การใช้สองภาษาเนี่ยจะทำให้เราเนี่ยค่อนข้างจะคิดว่าขณะไหนนะคะ เป็นพระธรรมที่แสดงโดยพระพุทธเจ้า หรือว่าขณะไหนเป็นความคิดของเราซึ่งดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกันหรือเปล่าเช่นปัญญาขั้นฟัง สุตมยญาณนะคะ หมายความถึงความเข้าใจที่สำเร็จจากการฟัง ไม่ใช่ฟังแล้วก็หลับไปแล้วฟังแล้วก็ไม่สนใจ ฟังแล้วก็คิดเรื่องอื่น ขณะนั้นไม่มีความเข้าใจไม่ใช่ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง เพราะฉะนั้น การฟังก็ยาก นะคะ แม้แต่คำว่าขันธ์ แม้แต่คำว่ากุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา ทุกอย่างต้องฟังด้วยการที่ขณะนั้นไม่ใช่เรานะคะ แต่เพราะมีสภาพธรรมที่ไตร่ตรองจึงสามารถเข้าใจได้ สัญญาเป็นสภาพที่จำไม่ต้องใช้ภาษาบาลีว่าสัญญาเลยนะคะ เดี๋ยวนี้จำรึเปล่าคะ จำ เพราะฉะนั้น ขณะไหนไม่จำ มีไหมคะ ค่ะความจริงจิตเกิดเมื่อไหร่ต้องมีสภาพจำสิ่งที่จิตกำลังรู้ค่ะ เพราะจิตไม่ได้จำ เห็นไหมคะความละเอียดของหนึ่งขณะจิตว่าธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏ อย่างเห็น ไม่ทำอะไรเลยนอกจากเห็น ได้ยินไม่ทำอะไรเลยนอกจากได้ยิน เพราะฉะนั้น สภาพของจิตเป็นอย่างนี้เองค่ะ จิตไม่ได้ทำอย่างอื่นแต่เจตสิกที่เกิดกับจิตนะคะ ที่หลากหลายต่างก็ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สำเร็จจากการฟังนะคะ ถามว่าเข้าใจมั้ยคะ ตอบว่าเข้าใจนั่นคือปัญญาที่สำเร็จจากการฟังไม่มีเราต่างหาก แต่ว่าจิต และเจตสิกซึ่งเกิดดับสืบต่อในขณะที่กำลังฟังนั่นเองนะคะ ทำกิจต่างๆ กันจนกระทั่งขณะนั้นก็เข้าใจ เพราะฉะนั้น แม้แต่เข้าใจนะคะ ก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังแล้วนะคะ งานเยอะใช่ไหมคะ ถึงไม่ใช่งานก็เป็นเรื่องอื่นใช่ไหม เพราะฉะนั้น สัญญาความจำเรื่องสิ่งที่ได้ฟังไม่มั่นคง เพราะอะไรคะพอเราคิดเรื่องไหน สัญญาเรื่องนั้นจำเรื่องนั้นจึงคิดเรื่องนั้นมีเรื่องตั้งเยอะค่ะแล้วจะคิดเรื่องไหน เพราะจำเรื่องนั้น ไม่ลืมนะคะ แล้วก็ยังมีเจตสิกที่ไม่ใช่เรา และก็ไม่ใช่สัญญาด้วยแต่เป็นสภาพที่ตรึก หรือภาษาธรรมใช้คำว่าวิตกเจตสิก คนไทยก็เรียกสั้นๆ อย่างเคยนะคะ วิตกแต่เข้าใจผิดหมดเลยคิดว่าต้องเป็นเรื่องกังวลเพราะว่าโดยมากเราจะคิดเรื่องที่เรากังวลแต่เวลาที่ไม่กังวลก็คิดไม่ใช่จะคิดแต่เฉพาะตอนที่กังวลเรื่องหนึ่งเรื่องใด แม้เรื่องอื่นนะคะ ก็คิด ทำอาหารทำกับข้าวคิดไหมคะ ไม่คิดทำไม่ได้ใช่ไหมคะ เขียนหนังสือคิดรึเปล่าก็ต้องคิด เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ค่ะก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต และก็ทำงานอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับเบื้องหลังโรงละครสักโรงนะคะ ก็มีตัวเล่นข้างหน้าทำโน่นทำนี่แต่ผู้จัดการหรือผู้กำกับอยู่ข้างหลังคือจิต และเจตสิก ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นคิดเรื่องนั้นทำเรื่องนี้เป็นจิตทั้งหมดเลยค่ะ เพราะว่ารูปไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ขณะที่ฟังเข้าใจเป็นสุตมยญาณ แต่ว่าจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ บางคนนี่ค่ะฟังแล้วเขาไม่คิดเรื่องอื่นบ่อยเหมือนเคยเปลี่ยนเป็นคิดเรื่องธรรมก่อนนอนก็มีแต่เรื่องธรรมที่ได้ฟัง หรือว่าในขณะที่กำลังจะโกรธใครก็เกิดจำ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครคนที่ถูกโกรธสบายมากไม่เดือดร้อนเลย คนโกรธเสียตลอด เพราะเหตุว่าอกุศลจิตเกิดขึ้นทำร้าย อกุศลเจตสิกทำร้ายจิตในขณะนั้นเอง และยังจะทำร้ายคนอื่นต่อไปอีกเพราะเมื่อมีความรุนแรงขึ้น และอกุศลนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่จิตของคนนั้น และไม่ได้ไปอยู่ที่จิตของคนอื่นเลย เพราะฉะนั้น สามารถที่จะตรึกถึงธรรมได้เมื่อจำ เพราะฉะนั้น การฟังเนี่ยถ้าฟังเรื่องไหนบ่อยๆ นะคะ เราก็ไม่ลืมด้วยนั้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะคิดถึงธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ฟังอย่างเดียวนะคะ ยังจำข้อความที่ได้ฟังแต่ละคำ และไตร่ตรองอย่างวันนี้อาจจะคิดเรื่องขันธ์ ไม่ใช่เฉพาะที่ได้ฟังนะคะ อะไรอีกได้ยินแต่ชื่อรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์แค่จำชื่อ เหมือนเก่งนะคะ แต่เข้าใจหรือเปล่านี่สำคัญกว่าไม่ใช่จำเฉยๆ เพราะกล่าวคำว่ารูปขันธ์ เดี๋ยวนี้อะไร เกิดดับหรือเปล่าเป็นแต่ละหนึ่งด้วย สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นขันธ์หนึ่งนะคะ เสียงเป็นขันธ์หนึ่ง กลิ่นเป็นขันธ์หนึ่ง เพราะอะไร เสียงก็เกิดดับสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ก็เกิดดับ อะไรทั้งหมดที่เกิดดับเป็นขั้นๆ ทั้งนั้น เพราะมีลักษณะที่หลากหลายมาก ทางตาก็อย่างหนึ่งแล้วก็ละเอียดมากด้วยนะคะ ทางกายที่กระทบสัมผัสนะคะ แม้แต่เพียงรับประทานอาหารชนิดหนึ่งนะคะ รสเป็นไงคะ บางอย่างกลมกล่อม ชนิดเดียวกันบางอย่างรับประทานไม่ได้อย่างแกงเผ็ด นะคะ รสหลากหลายไหมคะแม่ครัว ๑๐ คน อาหารที่ออกมาเป็นยังไง และจิตที่กำลังลิ้มรสเป็นยังไง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งซึ่งถ้าเราทำบ่อยๆ จนกระทั่งคุ้นเคยนะคะ เราจะจำได้ แม่ครัวที่เก่งเขาจะคิดเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องอาหารไหม เขาก็ต้องคิดเรื่องอาหารมากกว่าเรื่องอื่นไม่ว่าเราจะมีความชำนาญทางหนึ่งทางใดก็เพราะเราคิดถึงเรื่องนั้นบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ธรรมที่ได้ฟังแล้วนะคะ เราจะเข้าใจขึ้นอีกต่อเมื่อเราไม่ลืมค่ะมีโอกาสหรือมีปัจจัยเมื่อไหร่เกิดคิดธรรมเรื่องนั้นก่อนนอนหรือตื่นนอนคิดทันที ขันธ์ก็ได้คิดอะไรก็ได้สิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมดอุบาสกที่ดีมีอะไรบ้างอริยทรัพย์มีอะไรบ้างทุกอย่างที่ผ่านที่ได้ยินได้ฟังนะคะ ถ้าอยู่ในใจก็สามารถที่จะทำให้คิดถึงสิ่งนั้นโดยความเป็นอนัตตาว่าไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    18 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ