ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1890


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ แต่ใครจะรู้ว่ากรรมที่ได้ทำไว้แล้วมากมายนับไม่ถ้วนในแสนโกฏิกัปป์ ที่สามารถจะทำให้เกิดปฏิสนธิได้ จะทำให้เกิดเป็นอะไรต่อจากชาตินี้

    ผู้ฟัง ครับ ไม่ทราบว่าที่เรียนถามก็คือว่าพุทธพจน์บอกไว้ไหมว่าถ้าจะได้เกิดเป็นคนเนี่ยอาจจะต้องปฏิบัติตนในชาตินี้อย่างไร ในภพนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้ปฏิบัติตนนะคะ ให้เข้าใจว่าไม่มีตนที่จะปฏิบัติ แต่เป็นธรรมะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยต้องเปลี่ยนความคิดหมดเลยนะคะ เพราะว่าก่อนจะฟังธรรมะก็หาข้อคิดที่จะไปปฏิบัติ มีตัวตนทั้งนั้นเลยจะเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้แต่พอฟังธรรมะ และรู้ว่าวันนี้ค่ะคิดมาตั้งแต่เมื่อวานนี้หรือเปล่าว่าจะเป็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้ เห็นไหมคะเพียงเท่านี้ค่ะก็แสดงให้รู้แล้วว่าใครคิดบ้างว่าวันนี้จะมานั่งอยู่ตรงนี้เก้าอี้นี้ด้วย เห็นไหมคะก็ไม่ได้คิดมาก่อนแต่ก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ให้ทราบความเป็นอนัตตาความเป็นเหตุปัจจัยว่าจะหวั่นไหวอะไรคะในเมื่อผลต้องเป็นไปตามเหตุ ถ้าเหตุดีผลจะไม่ดีได้ไหม ถ้าเหตุไม่ดีผลจะดีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดได้รับผลที่ไม่ดีเพราะอะไรคะขอเพราะเหตุใด

    ผู้ฟัง เพราะเหตุไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เคยได้ยินชื่อม้ากัณฐกะไหมคะ

    ผู้ฟัง เคยได้ยินครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นม้าอะไรคะ

    ผู้ฟัง ม้าที่ นำพระพุทธเจ้าไปก่อนที่จะเสด็จไปออกบวชนะครับ

    ท่านอาจารย์ พอสิ้นชีวิตแล้วเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง รู้สึกว่าจะเป็นเทวดานะครับ

    ท่านอาจารย์ และใครพาไปเกิดบนเทวดาจากม้ากัณฐกะ เพราะฉะนั้น อะไรทำให้เกิดเป็นมนุษย์คนนี้ชาตินี้ และข้างหน้าจะเป็นอะไร และต่อจากชาตินั้นจะเป็นอะไร แล้วแต่กรรมที่ได้ทำแล้ว ก่อนที่จะเกิดเป็นม้ากัณฐกะเป็นใคร รู้มั้ยกลัวมั้ยว่าต่อไปจะต้องเป็นม้ากัณฐกะ ก็ไม่รู้มาก่อนเลย แต่จากม้ากัณฐกะไปเป็นเทวดาก็ไม่รู้อีก พอเป็นเทวดาแล้วลงมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังธรรมเป็นพระโสดาบันจากไหนจากไม่เคยได้ยินได้ฟังไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยหรือว่าเพราะสะสมความเข้าใจ เมื่อมีการได้ฟังแล้วก็เข้าใจได้ฟังอีกก็เข้าใจอีกอย่างเมื่อวานนี้กับวันนี้เนี่ยค่ะ ความเข้าใจวันนี้ก็สืบเนื่องมาจากได้ฟังเมื่อวานนี้ด้วย อยู่ตั้งนานแล้วมาสนใจธรรมะได้ยังไงก็ต้องมีเหตุปัจจัยแน่ๆ ค่ะแล้วแต่เวลาไหนเท่านั้นเองซึ่งก็เลือกไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้อนัตตาหรือเปล่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตาแล้วใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง เริ่มครับ

    ท่านอาจารย์ เริ่มแล้วก็จะต้องเข้าใจอย่างนี้แหละเพราะว่าทุกอย่างนี้ก็เป็นอนัตตา ก่อนที่จะมานั่งตรงนี้คิดจะถามอย่างนี้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นนะคะ เวลาจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ทราบว่าพูดถึงอะไร เมื่อวานนะคะ เราพูดเรื่องจิตไม่ได้พูดถึงใครสักคนในห้องนี้นะคะ พูดถึงสภาพธรรมะอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งมีจริงๆ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดอะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดเรื่อยมา ธาตุรู้เกิดดับๆ สืบต่อไม่มีเวลาหยุดเลย นอนหลับต่างกับคนตายเพราะมีธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตยังเกิดดับสืบต่อที่ใช้คำว่าดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราไม่ได้พูดถึงคนหนึ่งคนใดเลยนะคะ แม้แต่การสะสมซึ่งต่างกัน คนนั้นสะสมมาที่จะศึกษาภาษาบาลีที่จะสอบเปรียญ ๙ ได้ก็คือจิต เพราะฉะนั้นเราพูดถึงธาตุหรือธรรมะอย่างหนึ่งซึ่งมีจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่เนี่ยเราจะข้ามไม่สนใจเลยทั้งวันเพราะจิตตั้งแต่เกิดลืมตาจนกระทั่งมานั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย วันนี้จิตอะไรบ้าง จิตเกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่กลับมาอีกเลยสักขณะเดียวจิตเห็นจิตได้ยินจิตได้กลิ่นจิตลิ้มรสจิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสจิตคิดนึกจิตที่มีเจตสิกหลากหลายเกิดขึ้นแต่ละอย่างแต่ละขณะก็ต่างๆ กันไปนี่คือเรากำลังศึกษาเรื่องธาตุหรือธรรมะที่มีจริง ถ้าไม่มีธาตุหรือธรรมะที่เป็นสภาพรู้ไม่มีคนไม่มีสัตว์ไม่มีอะไรเลยที่จะปรากฏ แม้ในขณะนี้ก็ไม่มีอะไรปรากฏ ถ้าไม่มีจิต เพราะฉะนั้น ไม่มีเรามานั่งเปรียบเทียบนะคะ แต่ฟังเรื่องอะไร ฟังเรื่องจิตรู้จักจิตขึ้นไหมว่าจิตมองไม่เห็น ไม่มีสีไม่มีกลิ่นพยายามจะไปเข้าห้องทดลองหาจิตจับจิตได้ไหมคะ ไม่ได้เลยแต่ธาตุรู้นั่นแหละเป็นจิต เพราะฉะนั้น มีจิตอยู่ตลอดเวลาตราบใดที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ก็เป็นบุคคลนี้ตามที่ได้สะสมมา แต่ก็คือจิตเจตสิกรูป และพอจากโลกนี้ไปก็จิตเจตสิกก็เกิดสืบต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าออกจากร่าง จิตออกจากร่างได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ออกได้หรือคะ เดี๋ยวนี้จิตไปไหน ออกจากร่างนี้ยัง นั่งอยู่ตรงนี้จิตออกจากร่างหรือยัง ไปไหน

    ผู้ฟัง ก็ยังเห็นอาจารย์นั่งอยู่จิตก็ไปเจอ

    ท่านอาจารย์ จิตไม่ได้ไปเลยค่ะ จิตไปก็ต้องรู้ว่ามีค่ามีแขนไปทางไหนคะบินไปเลยยังไง เห็นมั้ยคะเราพูดเรื่องจิตแต่ความเข้าใจของเรายังไม่ครบถ้วน เพราะว่ายังคิดว่าจิตออกจากร่างได้แต่เมื่อวานนี้นะคะ เราก็พูดชัดเจน ธรรมะที่ต่างกันแยกกันเด็ดขาดไม่เกี่ยวข้องไม่ใช่อย่างเดียวกัน ไม่ได้พูดถึงอาศัยกัน และกันได้นะคะ แต่ว่าพูดถึงความที่เป็นธาตุที่ต่างกันคือจิตนี้ค่ะเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่าง ที่ไปไหนมาไหนเนี่ยอะไรไปคะ อย่านึกว่า

    ผู้ฟัง วิญญาณไป

    ท่านอาจารย์ นี่แหละค่ะคือว่าถ้าฟังเรื่องไหนต้องเข้าใจเรื่องที่กำลังฟังแต่เราเอาเรื่องอื่นมาปนหมดเลยวิญญาณมาจากไหนเมื่อวานนี้เราพูดเรื่องวิญญาณหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง วิญญาณมันก็เกิดจากจิตไหมครับ

    ท่านอาจารย์ นั่นสิคะก็ผิดแล้วค่ะเราจะฟังเรื่องจิตเรายังไม่พูดถึงวิญญาณก็ต้องเข้าใจจิตก่อน จิตต้องเป็นอย่างเนี้ย จิตไปในได้ไหมคะ เห็นไหมคะยังไม่แน่ใจไม่มีรูปร่าง แต่เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วต้องรู้นี่คือลักษณะของจิตเท่านี้ ทำอะไรแล้วกว่านี้ไม่ได้นอกจากเกิดขึ้นรู้แล้วดับเกิดขึ้นรู้แล้วดับ เกิดขึ้นรู้แล้วดับ ไม่มีสีไม่มีกลิ่นไม่มีรสแยกขาดจากโลกไม่มีรูปใดๆ ที่จิตเลยทั้งสิ้น เกิดขึ้นรู้แล้วดับ เมื่อวานนี้ก็รู้สึกจะมีคนที่สนใจในขันธ์นะคะ ตอนนี้ก็ เข้าใจความหมายก่อนว่าขันธ์คืออะไรธรรมะมีจริงๆ ช่วยกรุณาบอกลักษณะของรูปขันธ์ แต่ละหนึ่ง ว่ามีอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้มีมั้ยคะ รูปขันธ์

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ อะไรคะ

    ผู้ฟัง ก็ที่เห็นเป็นลำโพงเป็นไฟลเป็นเก้าอี้

    ท่านอาจารย์ ที่เห็นใช่ไหมคะ แต่ว่าคิดนึกว่าเป็นอย่างนั้นหลับตามีไหมเก้าอี้

    ผู้ฟัง ไม่มีครับ ที่จริงมันก็มีอยู่แต่เราไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ นี่คะแปลว่าเรามั่นคงหรือเปล่า เห็นไหมเมื่อกี้บอกเกิดดับแล้วตอนนี้ยังมีอยู่

    ผู้ฟัง คือวันนึงมันก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่วันหนึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ไม่รู้นี่คืออวิชชาความไม่รู้ที่ปิดบังมาตลอดเลยค่ะ ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจ และสามารถจะประจักษ์การเกิดดับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ประจักษ์ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเพราะแม้แต่จะรู้ว่าเป็นอะไรก็ยังไม่รู้เลยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงเนี่ยอะไรเกิดดับในขณะที่กำลังเห็น และอะไรอีก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ และอะไรอีก มั่นคงๆ ไงคะ

    ผู้ฟัง เวทนาสุข

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้พูดถึงอย่างนั้นที่ว่ามั่นคงเมื่อกี้นี้มั่นคงว่าอะไร สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมีการดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อกี้ถามว่านะคะ สิ่งที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นไม่รู้อะไรเลยเนี่ยดับไหม เกิด แต่ไม่รู้ แข็งเกิดไหมคะ

    ผู้ฟัง เกิดครับ

    ท่านอาจารย์ รู้อะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง แข็งไม่ดับครับ

    ท่านอาจารย์ เนี่ยค่ะ คลาดเคลื่อนไปแล้ว คำเดิมที่บอกว่าตรงๆ คือยังไรทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดแล้วดับทันที ใช้คำว่าทันทีคือว่าเร็วมากนะคะ จิตเกิดขึ้นเห็นแล้วดับทันทีไหม แต่รูปแต่ละรูปนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเป็นกลิ่นเป็นแข็งเป็นร้อนมีอายุยาวกว่าจิตนานกว่าจิตแต่ไม่นานมากเลยค่ะแค่จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะรูปนั้นดับ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้นะคะ รูปดับหรือเปล่า กำลังคิดที่จะตอบนะคะ แต่ว่าเข้าใจว่าตามที่ฟังเนี่ยเป็นอย่างหนึ่งคือฟังรู้แหละว่าทุกอย่างที่เกิดแล้วดับแต่รูปยังไม่ได้ประจักษ์ว่าเกิดดับก็เลยจะตอบว่ายังไงดีใช่ไหม

    ผู้ฟัง คือผมยังคิดอยู่สองแง่ก็คือว่าคือว่าในที่ที่เราสัมผัสมาด้วยจิตเนี่ย มันก็เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ มีเราอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็จะไม่เข้าใจธรรมะเลย เพราะฉะนั้น บ้านธัมมะ สนทนาธรรมะเพื่อเข้าใจธรรมะพูดถึงจิตต้องเป็นจิตไม่ใช่คน แต่เป็นธาตุรู้ค่ะให้เข้าใจว่าที่เราว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ถ้าไม่มีธาตุรู้จะเป็นคนได้ไหม แต่เราลืมเรื่องธาตุรู้ธาตุรู้ต่างหากที่มีจริงๆ ที่ใช้คำว่าปรมัตถธรรม ธรรมะที่มีจริงที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก รูปเป็นรูป จะเอามาปนกันไม่ได้เลย และขณะใดที่จิตเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นธาตุรู้ที่เกิดร่วมกัน ดับพร้อมกันรู้สิ่งเดียวกันแต่จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกไม่ใช่จิต เนี่ยค่ะ และรูปก็มีนะคะ เกิดจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ รูปก็หลากหลายมากแต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดแล้วต้องดับทั้งหมดจึงใช้คำว่าขันธ์ พอเวลาถามเรื่องขันธ์ ๕ ตอบได้คล่องเลยรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์ ดับไหมคะ เพราะฉะนั้น รูปดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ตอนนี้ไม่ต้องคิดมาก พอไปจำศัพท์ว่าขันธ์ ตอบได้ แต่พอจะให้รู้ให้เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่ไม่ใช่สภาพรู้เนี่ยต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีไม่ได้เลย แต่เกิดแล้วดับไหม โดยยังไม่ประจักษ์ เพียงขั้นเข้าใจ และจะรู้การเกิดดับของรูปได้มั้ยคะ

    ผู้ฟัง ไม่ทราบครับ

    ท่านอาจารย์ ความจริง สามารถจะรู้ได้แต่ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ ต้องเป็นปัญญาที่อบรมแล้วละคลายความติดข้อง และความไม่รู้ จนกระทั่งเข้าใจลักษณะจริงๆ สิ่งนั้นจึงจะปรากฏว่าเกิดแล้วดับ อย่างเดี๋ยวเนี่ยถามว่าเห็นอะไรอันนี้จะยากขึ้นยากขึ้นนะคะ ก็เดี๋ยวนี้นะคะ เห็นอะไรคะบ้าง เมื่อกี้ตอบแล้วทีนึง เห็นอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ก็เนี่ยครับเห็นโต๊ะ เก้าอี้ ลำโพงสีแดง สีเหลือง สีเขียว เห็นแสง

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ดับรึเปล่า

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่ไม่ปรากฏการดับ แต่ดับแน่ๆ เพราะฉะนั้น ทันทีที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ อายุสั้นมากเลยจะเป็นโต๊ะได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือความเข้าใจที่เริ่มตรง นะคะ เราเห็นผิดมาตลอด ความจริงนะคะ ทันทีที่เห็นเนี่ยเราไปคิดถึงรูปร่างสัณฐานสีสันวรรณะต่างๆ ถ้าไม่มีสีสันวรรณะต่างๆ เพราะธาตุดินน้ำไฟลม ซึ่งมีสีที่สามารถกระทบตา มีอยู่เกิดอยู่รวมอยู่ในที่นั้นด้วยกำลังกระทบตาปรากฏอย่างเร็วมากเลยค่ะ เกิดดับเกิดดับจนปรากฏพร้อมนิมิตเหมือนกับทันทีที่เห็นก็เป็นรูปร่างสัณฐานทันทีจึงบอกได้ว่าเห็นไมโครโฟนหรือว่าเห็นตนเห็นเก้าอี้ แต่ความจริงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งไม่ใช่อะไรทั้งสิ้นเพราะดับแล้ว ถูกต้องมั้ยคะเปลี่ยนไหม

    ผู้ฟัง ไม่เปลี่ยนครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยนแต่เข้าใจขึ้น เพราะว่ายังไม่ได้รู้จริงๆ แต่ความจริงนี้เปลี่ยนไม่ได้เลย นี่ค่ะคือเริ่มศึกษาเพื่อที่จะรอบรู้ก่อนว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ เนี่ยเกิดดับ เพราะฉะนั้น จะเป็นใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น มีใครในกระจกเงาไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ค่ะเวลาส่องกระจกใครอยู่นั่นคะ

    ผู้ฟัง ถ้ามีก็ต้องมาเป็นเรานี่แหละ

    ท่านอาจารย์ นั่นน่ะสิคะทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยู่ในกระจกเลย สักนิดเดียวก็ไม่มีแต่กลายเป็นเราอยู่ในกระจกหรือมีเราที่กระจกก็เหมือนกับมีราวที่สี ที่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เนี่ย สามารถกระทบตาแล้วปรากฏ ธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งรวมอยู่มีอยู่ด้วยกันกระทบไม่ได้ไม่ปรากฏเราก็ลืมใช่ไหมคะจำไว้เดี๋ยวแน่นมากส่องกระจกทีไรก็เราทั้งนั้นเลยแล้วเมื่อไหร่จะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จึงจะละการยึดถือว่าไม่ใช่เราไม่มีเรา มีแต่ธรรมะแต่ละหนึ่ง ถ้าเข้าใจแล้วนะคะ ก็คือไม่เปลี่ยนเพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยประจักษ์แจ้งแต่เราเป็นใคร และได้ฟังธรรมะบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจในก็ต้องต่างกันมากนะคะ แต่ค่อยๆ พิจารณาได้ค่ะว่าเห็นกับได้ยินเนี่ยไม่ใช่พร้อมกันเห็นไหมคะเพียงแค่เห็นกับได้ยินเกิดพร้อมกันไม่ได้เลยแต่เสมือนมาพร้อมกัน เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกอย่างที่เกิดดับก็ปรากฏเสมือนว่าไม่ได้ดับเลย มีสิ่งอื่นเกิดพร้อมทันที เช่นเห็นเป็นคนเห็นสีสันต่างๆ แต่ถ้าแยกละเอียดยิบนะคะ หนึ่งขณะจิตที่เกิดขึ้นมีสิ่งที่สามารถกระทบกับปรากฏให้เห็นแล้วดับ จะไม่เป็นรูปร่างสัณฐานจะไม่เป็นอะไรเลยแต่ถ้าบ่อยๆ เข้าใช่ไหมคะก็สามารถที่จะปรากฏให้เห็นเป็นสีต่างๆ ทำให้จำได้เป็นรูปร่างต่างๆ เพราะฉะนั้น เร็วเกินกว่าที่เราจะคิดประมาณได้เลย เข้าใจมากน้อยเท่าไหร่ไม่สำคัญนะคะ แต่ว่าสำคัญที่เรารู้ว่าเป็นสิ่งที่จริงสมควรแก่การที่จะเข้าใจ แล้วก็ถ้าเราไม่เข้าใจก็คือเราไม่รู้ไม่รู้ก็คืออวิชชา อวิชชาก็คือไม่ฉลาดภาษาบาลีพูดเพราะนะคะ ทรามปัญญาแต่หมายความว่า โง่

    ผู้ฟัง ดิฉันคิดว่าในสิ่งที่เราเข้าใจธรรมะเนี่ยกุศลอกุศล ทำให้เรามีสติ พอมีสติแล้วในขณะนั้นมันก็คือปัญญาที่จะขัดเกลาเราไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ค่ะโดยมากจะได้ยินชื่อเยอะเลยนะคะ สติสติสัมปชัญญะ ปัญญาวิปัสสนากรรมฐานชื่อทั้งนั้นเลยค่ะ แต่เป็นชื่ออีกภาษานึงไม่ใช่ภาษาที่เราใช้อย่างคำว่ากรรมฐานก็เป็นอีกภาษาหนึ่งวิปัสสนาก็เป็นอีกภาษาหนึ่ง แม้สติแล้วก็เอามาใช้จนเป็นภาษาไทยนะคะ แต่ความจริงไม่ใช่สภาพธรรมะที่เป็นฝ่ายโสภณหรือฝ่ายดี เราก็เรียกว่าสติไปแล้ว คือทำอะไรระวังระวังไม่ให้เกิดอันตรายเขาก็บอกว่ามีสติใช้สติซึ่งความจริงไม่ถูกต้องนะคะ เพราะว่าทุกครั้งที่จิตที่ดีงามเกิดขึ้นเท่านั้นเมื่อนั้นเพราะสติเกิดระลึกเป็นไป อย่างการที่จะฟังธรรมะนี้ค่ะ ปกติถ้าเรามีชีวิตประจำวัน นะคะ ที่ไม่ได้ฟังก็ไม่ได้ฟังไปเรื่อยๆ แต่พอฟังแล้วรู้ว่ามีประโยชน์ขณะใดที่คิดที่จะฟังสิ่งที่ทำให้เข้าใจขนาดนั้นเพราะสติไม่ใช่เพราะเรา สติเกิดระลึกเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ขณะนั้นก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่งนะคะ เรียกว่าเจตสิกฝ่ายดีภาษาบาลีก็ใช้คำว่าโสภณดีงามคือโสภณ เราต้องแปลทุกคำเลยค่ะแต่ถ้าไม่ใช่ภาษาบาลีไม่มีเครื่องกั้นเลยสบายมากศึกษาอะไรคะ ศึกษาสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ไงคะ จบใช่ไหมค่ะไม่ต้องแปลอีกว่าธรรมะ เพราะไม่งั้นเขาก็บอกแล้วธรรมะอยู่ที่ไหน และอะไรเป็นธรรมะแล้วจะศึกษายังไงแต่ถ้าบอกว่าศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีนะคะ เห็นเนี่ยได้ยินเนี่ยให้รู้จริงๆ ว่าเอ๊ะเดี๋ยวเห็นเดี๋ยวไม่เห็นทำไมถึงเป็นอย่างนี้ก็จะทำให้รู้ว่าเราศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ผมอยากรู้ลึกในคำว่าเห็นแล้วเป็นสีนะครับ ข้อนี้ครับ ถือว่าเป็นสีครับขอบคุณครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะต้องอ่านละเอียด ฟังละเอียด คิดละเอียดเห็นใช่ไหมคะ เดี๋ยวนี้กำลังเห็นด้วยเปล่า เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้นะคะ เป็นเราเห็นหรือว่าเป็นสิ่งที่สามารถรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ครับโดยสภาพความเป็นจริงตอนนี้คือเห็น เป็นคนนะครับ

    ท่านอาจารย์ เดียวก่อนนะคะ เห็น และก็รู้ว่าเป็นคน

    ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นคน

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นคนใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่คน เห็นเป็นเห็น และสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เนี่ยนะคะ ถ้าหลับตาแล้วมีคนไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีครับไม่มี

    ท่านอาจารย์ พอลืมตาแล้วมีอะไรแล้วทำไมว่าเป็นคน

    ผู้ฟัง โดยสภาพความจำ ความจำที่มีอยู่ว่าอย่างนี้เป็นคนแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราไม่พูดถึงว่าเราเคยจำอะไรมาแล้วนะคะ แต่เรากำลังไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังเพื่อที่จะเข้าใจความจริงว่าเห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็นอย่างนี้เลยไม่ต้องไปหาที่ไหนแต่ที่จะต้องไตร่ตรองคือเห็นอะไร เดี๋ยวนี้ค่ะเห็นอะไร

    ผู้ฟัง ครับถ้าพูดตามความเป็นจริงก็ยังยืนยันอีกแหละครับว่าเห็นเป็นคน

    ท่านอาจารย์ ทีนี้เริ่มฟัง เริ่มฟังพระธรรมนะคะ ต้องเห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น แข็ง เห็นได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง แข็งไม่เห็นครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ กลิ่น รส

    ผู้ฟัง กลิ่น รสก็ไม่เห็นครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น อะไรกำลังปรากฏขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ต้องเรียกชื่อเลยได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง อ๋อเห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นรูปครับเป็นรูป

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกชื่อค่ะ ไม่ต้องเรียกอะไรเลยก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้จริงๆ มีอย่างเดียว

    ผู้ฟัง ครับผม

    ท่านอาจารย์ ในบรรดาธรรมะทั้งหมดนะคะ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะประเภทใดจิตกี่ประเภท เจตสิกเท่าไหร่เสียงกลิ่นรส รูปธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลยจำนวนเท่าไหร่ก็ตามมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่กำลังปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะ แค่หลับตา ไม่เห็น เพราะฉะนั้น พอลืมตาทำไมเป็นคนทำไมไม่เป็นความจริงคือสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ กว่าเราจะเข้าใจถูกต้อง ต้องอาศัยแม้แต่การได้ฟังก็ต้องฟังอย่างละเอียด ไตร่ตรองจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้นะคะ กว่าจะไม่ลืมนะคะ ฟังแล้วไม่ลืมด้วยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา จนกระทั่งคุ้นกับความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาได้อย่างเดียว กว่าจะเริ่มละคลายการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนเราในกระจก ใช่ไหมคะ เราที่ไหนไปอยู่ในกระจกได้แค่แข็งแข็ง แต่เพราะสีสันรูปร่างต่างๆ เหมือนที่เคยจำไว้ พอเห็นที่ไรก็จำสีสันวัณณะ ทุกทีว่าเป็นสิ่งนั้นอย่างโต๊ะเนี่ยมี ๔ ขา ๓ ขา ๒ ขามีไหมคะ ก็แล้วแต่นะคะ แต่ว่าเห็นทีไรจำได้เลย เพราะคุ้นเคยต่อการที่จะจำ เพราะฉะนั้น เวลานี้ค่ะเด็กเล็กๆ เกิดมาใหม่ๆ เนี่ยเห็นคนหรือเปล่า เห็นเท่านั้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนอยู่ไปอยู่ไปเริ่มรู้ใช่ไหมคะความต่างกันของสีสันวัณณะที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มแยกรู้ลักษณะที่ต่างแล้วก็จำแล้วก็รู้ว่าถ้าเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่พูดได้เคลื่อนไหวได้นะคะ มองเห็นกันได้ ก็เข้าใจว่านั่นแหละเป็นคนแต่ความจริงก็เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เนี่ยค่ะ ลืมหรือยังคะ หันไปมองที่อื่นในความจริงนะคะ ที่ไหนที่มีเห็น ที่นั่นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถูกต้องมั้ยคะ

    ผู้ฟัง ครับถูกต้องครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงชนิดหนึ่งภาษาธรรมะใช้คำว่าธา ตุหรือธาตุ หรือวัณณะ หรือธรรมะก็ได้ค่ะหมายความถึงสิ่งนี้แหละ แต่เราไม่เคยรู้ค่ะ คิดว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลาเพราะจำไว้มั่นคง ในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ถูกต้องไหมคะการที่จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเนี่ยภาษาบาลีใช้คำว่าอัตตานุ ทิฏฐิ เห็นตาม การยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดยึดมั่นเหนียวแน่นด้วย ทุกชาติเกิดมาก็เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เห็นทีไรก็เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น กว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมะทั้งหลายเพราะรู้ความจริงว่าสภาพมาเป็นแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลยจะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้ปรากฏทางหูก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งก็คือ เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    15 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ