ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1895


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยน หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ชอบโกรธไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากฟังคนนี้คนนั้นฟังไหม บางคนเป็นอย่างนั้น ไม่ยอมฟังเลยเพราะไม่ชอบคนนั้นทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ใช่คนพูดแต่เขาอยู่ในที่นั้น ก็ไม่ไปฟังธรรมเพราะว่าต้องเห็นหน้าคนนั้น ก็แสดงเห็นความหลากหลายมากของเจตนา เจตนาที่เป็นวิบากนั่นแหละเป็นผลของกรรม ไม่ทำให้เกิดจิตที่เป็นผลต่อไป แต่เจตนาที่เป็นกรรมแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะให้ผล เมื่อได้กระทำกรรมหนึ่งกรรมใดอย่างฆ่ามดเนี่ยกรรมเล็กน้อยไหม มดตัวเล็กๆ บางคนก็บอกฆ่าได้ ยุงกัดรำคาญมากฆ่าได้อีกเหมือนกัน ดูเหมือนเล็กน้อยแต่จิตที่สามารถที่จะทำลายชีวิตอื่น เพราะมดต้องมีชีวิต เบียดเบียนให้คนอื่นเดือดร้อนถึงชีวิตหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าใดๆ ตั้งแต่มดถึงช้างก็เป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่อกุศลกรรมให้ผลเกิดที่ไหนเห็นไหม ตั้งแต่ขณะแรก สามารถทำให้เกิดในนรกก็ได้ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ แล้วแต่นะคะ ส่วนประกอบอื่นๆ คือกรรมเล็กกรรมน้อยที่ได้สะสมมา

    เพราะฉะนั้น จิตขณะแรกที่เกิดทำปฏิสนธิกิจ หมายความว่าสืบต่อจากจิตขณะสุดท้าย คือจุติจิตที่เราใช้คำว่าตายทันทีที่จุติจิตดับทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นแล้วกรรมหนึ่งในสังสารวัฎไม่รู้เลยว่ากรรมไหน ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นๆ ที่จะให้ผลในชาตินั้นด้วย ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นสุนัขเหมือนกันเลย แต่ว่าบางตัวน่ารัก นะคะ ขนฟูเห็นไหมคะก็กรรมนั้นแหละทำมา ส่วนประกอบอื่นๆ แม้ว่าเกิดเป็นสุนัขเกิดเป็นแมวแต่ก็มีส่วนประกอบของกรรมทั้งหลายที่จะทำให้รูปร่างต่างกันรวมทั้งชีวิตความเป็นไปที่สามารถจะได้ผลในชาติที่เกิดเป็นแมวหรือว่าในชาติที่เกิดเป็นสุนัข เพราะว่าแมวบางตัวเจ้าของก็รักมาก เจ็บไข้ได้ป่วยทีหนึ่งก็รักษาเหมือนกับคน นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายมากแต่ให้ทราบว่ากรรมคือเจตนาซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะประเภทหนึ่ง และก็ทำกิจต่างกันด้วยเพราะว่าถ้าเกิดกับจิตทุกขณะก็กระทำกิจขวนขวายกระตุ้นเตือนสหชาตธรรม คือเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกันให้ทำกิจหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ เหมือนหัวหน้านักเรียน ท่านอุปมาให้เห็นชัด นักเรียนทั้งห้องเชื่อฟังใครทำตามใครก็หัวหน้านักเรียนพอครูเข้ามาในห้องก็ทุกคนยืนเขาก็ยืนใช่ไหมแล้วก็ทำความเคารพครูนั่นก็คือลักษณะของเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่ขวนขวายกระตุ้นเตือนสภาพธรรมอื่นให้เกิด แล้วก็ดับชั่วขณะแสนสั้นให้คิดถึงสภาพธรรมที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดได้เลย แต่ก็เป็นธรรมนั้น นี่ก็เป็นธรรมดาปกติ

    แต่ถ้าขณะใดที่กุศลจิตเกิด และอกุศลจิตเกิด ถ้าอกุศลนั้นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ชอบกาแฟไหม ชอบดอกไม้ไหม ไม่ได้ไปทำใครให้เดือดร้อนเลยแต่ลักษณะความชอบสิ่งนั้นไม่หายไปไหนเลย สะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้น วันต่อไปดื่มกาแฟไหมเพราะชอบกาแฟก็สะสมไว้แล้ว

    เพราะฉะนั้น แต่ละอัธยาศัยของสิ่งที่เกิดแล้วเนี่ย ไม่หายไปไหนเลยเกิดในจิตดับไปแล้วก็สะสมอยู่ในจิตเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้ กุศลหรืออกุศลประเภทนั้นเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคใช้คำว่าอาสยานุสยะ สิ่งที่อยู่ในจิตอย่างละเอียดที่สะสมมาทั้งดี และชั่ว แต่ถ้ากล่าวเฉพาะฝ่ายไม่ดีใช้คำว่าอนุสยเพราะเป็นสิ่งที่จะต้องดับ โลภะ โทสะ โมหะพวกนี้ดับไปแล้วก็จริงแต่เนื่องจากเคยเกิด เพราะฉะนั้นก็ทิ้ง เชื้อหรือมีเชื้อปัจจัยที่สะสมไว้ในจิตที่จะสืบต่อในขณะต่อไป ขณะนี้เพียงความพอใจเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ถึงกับเป็นกรรมที่จะให้ผลเป็นผลของกรรมที่จะทำให้เกิดเห็นได้ยินในสิ่งที่น่าพอใจไม่น่าพอใจ แต่เป็นอุปนิสัย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคน อุปนิสัยฝ่ายดีมีไหม อุปนิสัยฝ่ายไม่ดีก็มีบางคนกายก็ดี แต่วาจาแย่มากใช่ไหม คำพูดไม่น่าฟังเลยแต่ก็ไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้เพราะว่าสะสมมา แค่นี้ยังไม่ถึงกับที่จะเป็นกรรมที่จะทำให้วิบากเกิดขึ้น ต่อเมื่อใดที่ครบองค์หรือเป็นไปในเรื่องของกุศลกรรมอกุศลกรรมสำเร็จ เมื่อนั้นก็สามารถที่จะให้ผลมากกว่านั้น เช่นการคิดจะฆ่าแต่ยังไม่ได้ฆ่าให้ผลเท่ากับการฆ่าไหม ไม่เท่ายังไม่สำเร็จเลยเปลี่ยนใจได้ไหม บางคนเงื้อมือจะตบยุงก็หยุดเมื่อมีปัจจัยแต่ถ้ากรรมนั้นสำเร็จลงไปแล้วแม้เพียงเท่านั้นก็จะเป็นเหตุให้เกิดผลซึ่งหลากหลายมาก ไม่มีใครสามารถจะให้รู้ได้แล้วเกิดมากรรมระดับนี้จะทำให้ตาบอดไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ก็จริง ขาด้วนไหม พิการตั้งแต่กำเนิดไหม

    เพราะฉะนั้น นี่ก็จะเห็นความหลากหลายมากของเจตนาหรือความจงใจความตั้งใจ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความละเอียด ระหว่างเจตนาที่เกิดร่วมกับจิตทุกขณะ และเจตนาที่เป็นไปในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกานที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ก็สะสมแล้วในจิต ทำให้เป็นอุปนิสัยโกรธง่ายพูดจาไม่ดีหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ กริยามารยาทก็แย่นั่นก็คือเพราะว่าสะสมมาอย่างนั้น แต่ถ้าถึงกับทำกรรมสำเร็จเช่นฆ่าสัตว์เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนถึงชีวิต มีใครบ้างที่ต้องการให้ทรัพย์ของตนเป็นของคนอื่น โดยไม่อนุญาต ถือออกไปเฉยๆ ใช่ นั่นก็สำเร็จกรรมที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นอทินนาทานาที่เป็นภาษาบาลีแต่หมายความว่าถือเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน นี่แหละค่ะคือเวร

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ด้วยนะคะ ว่ากรรมที่เป็นกุศลก็มีเป็นอกุศลก็มีแต่ถ้าใช้คำว่าเวรหมายความถึงอกุศลกรรมซึ่ง เจ้ากรรมนายเวรก็มาจากการที่เมื่อได้ทำกรรมลงไปแล้วไม่ให้คนไม่ใช่คนอื่นมาทำผลให้เลย แต่กรรมที่ได้ทำแล้วต่างหากที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลนั้นๆ เกิดขึ้น ถ้าเราบาดเจ็บหกล้มตกกะได ขาหัก กับการที่มีคนมาเลื่อยขาเรา เจ็บเหมือนกันไหม แต่ความโกรธเกิดเพราะเข้าใจว่าคนอื่นทำให้ แต่เวลาที่เกิดเองเป็นเองจะโกรธใคร โกรธกะได โกรธภูเขา โกรธโต๊ะหรืออะไรไม่มีใครทำเลย แต่กรรมทำได้ทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น แต่ละเรื่องแต่ละข่าวที่ได้ยินความหลากหลาย ให้เห็นความละเอียดอย่างยิ่งของกรรมที่บุคคลนั้นได้ทำแล้วจะถูกประทุษร้ายร่างกายระดับไหนก็ตามแต่ ถ้าบุคคลนั้นไม่เคยทำกรรมอย่างนั้นมา ไม่มีทางที่จะมีผลที่ทำให้เป็นอย่างนั้นได้ แล้วก็ไม่ต้องโทษใครด้วยถึงเวลาก็เป็นเองถึงเวลาก็ตายเองหรือถึงเวลาก็มีคนอื่นโกรธ แล้วก็ฆ่าแต่ความโกรธเป็นของคนฆ่า ไม่ใช่เป็นของคนที่ถูกฆ่า เพราะฉะนั้น เวรคืออกุศลกรรมที่ทำแล้ว จะทำให้เกิดผลที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น คนไทยเราก็ไม่ได้เข้าใจความละเอียดจริงๆ เพราะไม่ได้ศึกษานะคะ แต่มีคำมาเป็นกรรมเวรของเรา พอเป็นผลของกุศลไม่เห็นใครพูดว่าเป็นกรรมเวรของเราเลยใช่ไหม แต่พอลำบากคนโน้นก็ไม่ได้ทำคนนี้ก็ไม่ได้ทำเราต้องเดือดร้อนกรรมเวรของเรา ตอนนี้ และนึกขึ้นมาได้แต่ก็ยังไม่เข้าใจอีกถึงความต่างของกรรมกับเวร ว่าเวรก็คืออกุศลกรรมซึ่งเมื่อทำแล้วก็ให้ผลที่ไม่ดี กรรมที่ดีให้ผลที่ดีเป็นผลของบุญทั้งนั้นเลย ได้ลาภได้ยศได้อะไรก็ตามแต่ คำชมเชยคำยกย่องหรืออะไรก็แล้วแต่ สิ่งดีๆ ไหลมาเทมาเพราะผลของบุญที่ได้ทำแล้วไม่มีใครพูดว่ากรรมเวรใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น แสดงเหตุชัดว่าเวรต้องหมายความถึงอกุศลกรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดที่ยังผูกเวร โกรธแล้วไม่หาย อาฆาตพยาบาทอย่างชาติก่อนๆ ของพระเทวทัตกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในครั้งอดีตก็เป็นพ่อค้ามาด้วยกันหรืออะไรหลายชาติทีเดียว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการกิดขึ้นเป็นอย่างไรจะเป็นอย่างนั้นอีกไม่ได้เลยเป็นได้แค่ชาติเดียว เพราะฉะนั้น ในชาติหนึ่งเนี่ยได้ทำกรรมอะไรไว้ ผลของกรรมที่ดีให้ผล ผลของกรรมที่ไม่ดีก็ให้ผลแต่เพราะไม่มีใครชอบผลของกรรมที่ไม่ดีเลยก็จะมีคำพูดว่าเป็นกรรมเวรของเราแต่ความจริงแม้ในขณะที่ได้รับผลที่ดีนะคะ ก็เป็นกรรมดีของเราแต่ไม่ใช่กรรมเวรของเรา เพราะฉะนั้น เวรก็หมายความถึงอกุศลกรรม ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรใดเลยทั้งสิ้น

    เลิกอุทิศส่วนกุศลไปให้ได้แล้ว เพราะเหตุใดก็เคยพบกันมาก่อนชาติหนึ่งชาติใดใครจะรู้บ้าง ว่าเราเคยเป็นน้องคนนี้เป็นพี่คนนั้นเป็นญาติของคนโน้นเคยมีกรรมที่ได้กระทำต่อกันโดยสถานไหนก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น บอกว่าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรก็นั่งอยู่ตรงนี้ได้ไหมล่ะ ใช่ไหม แต่ก็ไม่รู้เลย ไม่รับคำอุทิศด้วยเพราะไม่รู้นะใช่ไหมคะคนที่ทำกรรมไว้แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ทำกรรมแล้วกับใครเขาไปเกิดอย่างไรก็ไม่รู้ คนอุทิศก็อุทิศไปโดยไม่รู้ว่าใครได้ทำกรรมไว้ครั้งไหนอย่างไร แต่ต้องเป็นกรรมของเขาที่เขาทำไม่ใช่กรรมของเรา

    เพราะฉะนั้น กรรมใครเกิดแล้วดับไปเป็นเจตนาที่ต้องการให้ผลนั้นเกิดขึ้นประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่น ก็จะเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผลแทนที่จะเป็นคนอื่น ก็ผลของกรรมนั้นแหละที่ได้ทำแล้วเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น จะเห็นอะไร ใครทำ ทำเอง จะได้ยินอะไร เสียงที่ไม่น่าพอใจทำเอง ทุกอย่างไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายให้ทราบว่าทางรับผลของกรรมมี ๕ ทาง ไม่อย่างงั้นกรรมทำไปแล้วจะให้ผลเมื่อไหร่ แค่เกิดมาหนึ่งขณะดับไปแล้วไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยินเลยแล้วจะเป็นผลของกรรมอะไรเพราะว่าขณะเกิดไม่มีใครรู้สึกตัวเลยเช่นเดียวกับขณะที่หลับสนิทเป็นจิตประเภทเดียวกันเป็นผลของกรรมเดียวกัน

    ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เกิดแล้วก็หลับแต่ จะต้องมีการเห็นการได้ยินด้วยซึ่งเป็นโอกาสของกรรมอื่นที่จะให้ผล ด้วยเหตุนี้แม้เกิดเป็นมนุษย์แล้วผลของอกุศลกรรมก็ยังให้ผลได้เมื่อถึงเวลาที่เวรกรรมนั้นจะทำให้เกิดผลทางกาย หรือทางตา หรือทางหูหรือทางจมูก หรือทางลิ้น อาหารเผ็ดมากเลย เพราะเหตุว่ามีความร้อนด้วยใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ที่ใดก็ตามที่มีความร้อนมากๆ เนี่ยความรู้สึกขณะนั้นที่ร้อนกระทบกายก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่าทุกขเวทนาคือความรู้สึกอย่างหนึ่งอย่างใด เราบอกว่าเผ็ดหรือเราบอกว่าถึงคอก็คือว่าที่นั่นมีกายปสาทถ้า และก็มีรูปที่ต้องกระทบด้วย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างละเอียดมาก แยกออกเป็นแต่ละทาง การให้ผลของกรรมให้ผลทางตาก็ได้ ให้ผลทางหูก็ได้ ให้ผลทางจมูก กลิ่นแย่เลยใช่ไหมเผาขยะหรืออะไรต่างๆ อันนี้ก็มากมาย ทางลิ้นรสก็มี เด็กคนไหนชอบกินยาขมบ้างมีคนนึงรับประทานยาไม่ได้ เป็นโรคร้ายแอลเอสดี หมายความว่าเป็นโรคภูมิแพ้เลือดของตัวเอง หมอให้กินยา พอหมอออกจากห้องก็เอายาทิ้งกระโถน แม้ว่ารู้ว่าไม่กินต้องตาย แต่ว่ารสอย่างนั้น หรือแข็งอย่างนั้นหรืออะไรอย่างนั้นที่เป็นยาเขากลืนไม่ได้ นี่แสดงให้เห็นถึงกรรมที่ทำให้มีตา หู จมูก ลิ้น กายแล้วแต่ว่าสิ่งใดจะมากระทบเมื่อไหร่เป็นเหตุให้ความรู้สึกประเภทไหนชนิดไหนเกิดขึ้นการกระทำทั้งหลายก็ติดตามมา เพราะเหตุว่าเพราะมีกิเลสจึงมีกรรม เมื่อมีกรรม และต้องมีผลของกรรมคือวิบากเมื่อมีวิบากแล้วกิเลสยังไม่หมดเห็นแล้วเกิดกิเลสได้ยินแล้วก็เกิดกิเลส

    เพราะฉะนั้น วัฏฏะก็คือกิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกรรมวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์ซึ่งกิเลสยังมีก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสวัฏฏ์ต่อไปไม่จบเลย

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในชีวิต พระธรรมทรงแสดงไว้โดยละเอียดแต่ต้องไม่ลืม ไม่ใช่เพียงฟัง เข้าใจจริงๆ อะไรที่ยังไม่เข้าใจต้องไตร่ตรอง ต้องรู้ว่าที่เกิดเนี่ยเป็นเราหรือเพราะธรรมเกิดขึ้น ถ้าไม่มีธรรมใดๆ เกิดขึ้น เราก็ไม่มีอะไรก็ไม่มีเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้น แทนที่จะเป็นเราเกิดก็คือธรรมเกิด แต่เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิด และก็ดับ แต่สืบต่อมาจากเด็กจนกระทั่งโต สูงวัยขึ้นจนกระทั่ง จากโลกนี้ไปก็ไม่เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ต่อไปชาติหน้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่นั่นแหละ และถ้าถึงกาลที่พระศาสนาอันตรธานหมายความว่าไม่มีการเข้าใจคำสอนเพราะไม่ได้ศึกษา ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ ซึ่งสืบต่อกันมาอีก

    แต่ถ้าจะกล่าวว่าแม้ขณะนี้ก็อันตรธานจากคนที่ไม่ศึกษา หรือว่าอันตรธานจากคนที่เข้าใจผิด ก็กล่าวได้เฉพาะในขณะนั้นเพราะเหตุว่าตราบใดที่คำสอนยังมีอยู่วันหนึ่งเกิดสนใจเกิดศึกษาเกิดเข้าใจก็ได้ แต่ถ้าไม่มีเลยอันตรธานไปหมดแล้ว ไม่มีทางที่ใครสามารถที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ได้เลย เพราะฉะนั้น จากกรรมเวรหรือว่าเจ้ากรรมนายเวรตอนนี้ก็มีความเข้าใจละเอียดจริงๆ เจ้ากรรมนายเวรมีไหมคะที่เป็นคนเป็นอะไรเนี่ยไม่มีคนอื่นจะมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้เลย แต่กรรมที่ได้กระทำแม้ดับแล้วก็เป็นปัจจัยที่จะให้ผลวันหนึ่งเกิดได้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงปรินิพพาน

    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประชวรหรือเปล่า ก่อนที่จะปรินิพพานถ้าไม่มีอดีตกรรมที่ได้ทรงกระทำไว้ในชาติโน้นที่จะให้ผล อย่างนั้น ผลนั้นเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ชื่อต่างๆ ก็เป็นเพียงชื่อซึ่งแสดงให้เห็นว่า เคยเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แต่ความจริงก็คือเป็นธรรมประเภทต่างๆ แม้แต่คุณความดีซึ่งเป็นกุศลธรรม ธรรมฝ่ายดี กว่าจะได้เข้าใจธรรม กว่าจะได้ยินได้ฟัง กว่าจะอบรมจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปได้ เมื่อมีบารมีคือมีความจริงใจ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา ถ้าเข้าใจจริงๆ ต้องไม่มีเรา และก็ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา นั่นคือเข้าใจจริงๆ เมื่อไหร่ที่อะไรเกิดขึ้นไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวายเพราะว่าเข้าใจจริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างเร็วจะเดือดร้อนไหม

    เพราะฉะนั้น พระธรรมเป็นที่พึ่ง อารักขาให้พ้นจากความเดือดร้อน และความทุกข์ทั้งปวงในขณะที่ปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกเกิด แต่ถ้าไม่เกิดขณะนั้นนะคะ และยังมีอกุศลอยู่ก็ต้องเดือดร้อนเป็นไปตามอกุศล

    เพราะฉะนั้น คุณของพระธรรมประมาณไม่ได้ พระรัตนตรัยเหนือรัตนอื่นๆ

    ผู้ฟังอยากจะให้ท่านอาจารย์ขยายความว่าเห็นเพื่อนลืมค่ะ

    ท่านอาจารย์ ตอนเป็นเด็กคุณพนิดามีเพื่อนกี่คน ไม่กี่คน ลืมใครบ้างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ลืมเยอะเลย

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะฉะนั้น ไม่น่าสงสัยเรื่องลืมใช่ไหมเห็นกันแล้วก็ลืม จริงๆ แล้วสภาพของธรรมหนึ่งที่มีจริง คือสภาพจำ ภาษาไทยนะคะ ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าสัญญาเจตสิก เราทำสัญญากันเพื่อให้ไม่ลืมใช่ไหม แต่ว่าสัญญาเป็นสภาพที่จำไม่ต้องไปทำในภาษาไทย เพราะว่าจำอยู่แล้วทุกขณะที่จิตเกิด พอเห็น จิตเห็นสิ่งใดเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดกับจิตนั้นก็ทำกิจของเจตสิกนั้นๆ เช่นสภาพที่จำก็จำในสิ่งที่ถูกเห็นที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนั้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น จำอะไรไว้ตั้งมากมายในแสนโกฏิกัปป์ ไม่มีปัญญาพอที่จะระลึกได้ คิดได้ถึงสิ่งที่ได้จำไว้ทั้งหมด แม้ว่าจะจำไว้ก็จริง แต่ก็จะต้องมีสภาพเจตสิกอีกหนึ่งซึ่งตรึกหรือนึกหรือคิดถึงสิ่งที่จำ เพราะฉะนั้น สภาพจำ จำไว้แล้วทั้งหมดเลย เหมือนบันทึกไว้หมดเลย แต่ว่าแล้วแต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นอีกสภาพธรรมหนึ่งที่มีหน้าที่ตรึกหรือคิดหรือก้าวไป สู่อารมณ์แต่ละอารมณ์แล้วแต่ว่าจะไปอารมณ์ไหนตามที่จำไว้

    เพราะฉะนั้น เวลาคิดเนี่ยเราคิดถึงสิ่งที่เราจำได้ เพราะฉะนั้น พอเห็นแล้วจำไว้แล้ว แล้วก็ลืม แล้วแต่พอคิดถึงก็คิดถึงสิ่งที่ได้ปรากฏที่เคยเห็นแล้วแต่ก็ไม่ใช่ที่เคยเห็น เพราะว่าดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น เหลือแต่ความจำ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสภาพธรรม ฟังแล้วกว่าจะน้อมไปถึงความจริงที่ไม่น่าติดข้องเลย เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังเป็นที่พอใจอย่างยิ่งเพียงปรากฏดับแล้วไม่กลับมาอีกแสดงว่าความไม่รู้เนี่ยไม่สามารถที่จะทำให้มีกำลังที่จะตัดเยื่อใยความติดข้องหรือความผูกพันความต้องการในสิ่งที่ปรากฏเพราะกำลังไม่พอ แต่ดับกิเลสหมายความถึงนปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟังทั้งหมดไม่ผิดกันเลย คำใดที่ผู้มีพระภาคตรัสแล้วคำนั้นไม่เป็นสอง คือไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับแน่นอน แต่ว่าขั้นฟังรู้ว่าจริงแล้วว่าเห็นไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่คิดนึก แต่ยังไม่รู้ขณะที่สภาพนั้นเกิดแล้วก็ดับไปแต่ว่าถ้าความจริงไม่เป็นอย่างนี้ใครก็รู้ความจริงไม่ได้ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะรู้อื่นจากนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟังเมื่อถึงวันที่ปัญญาสามารถเข้าใจ เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดค่ะทุกอย่างมีแล้วปรากฏแล้วแต่ไม่เข้าใจ

    แข็งที่ตัวนี้ก็มีนะคะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมที่ปรากฏแล้วดับแต่แขนเรา หรือขาเรา หรืออะไรก็จะมีความสงสัยอยู่เรื่อยๆ เพราะยังจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น มีข้อความนึงนะคะ สัญญาความจำที่มั่นคง ในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ในธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เช่นสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับ มั่นคงยังไหม คิดบ้างไหม แค่ฟังแล้วก็ลืม ฟังแล้วก็ลืม ตื่นเช้ามาก็วันนี้ลืมอะไรบ้างหรือเปล่า ค่ะลืมว่าเป็นธรรม เมื่อไหร่จะจำว่าเป็นธรรมเมื่อนั้นอาการสัญญามั่นคง แต่ไปมั่นคงในอัตตาในความเป็นตัวตนไม่มั่นคงในความเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตที่สภาพธรรมยังไม่ปรากฏ ตามความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตาขณะนั้นสัญญาก็จำว่าเป็นอัตตาอยู่นั่นแหละ

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับท่านอาจารย์จะให้ความเข้าใจอย่างมั่นคงในประเด็นเรื่องแก้กรรมเรื่องสะเดาะเคราะห์

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้จักคำว่าเคราะห์ก่อน จะไปสะเดาะ เพราะเคราะห์คืออะไรอยู่ที่ไหนจะได้ไปสะเดาะเคราะห์ ก็พูดคำที่ไม่รู้จักใช่ไหม เพราะฉะนั้น เพราะเหตุอะไร บางคนก็ใช้เลยเคราะห์ดี เคราะห์ร้าย เคราะห์ดีไปทันเครื่องบินใช่ไหม เคราะห์ร้ายก็ไปไม่ทัน แล้วไงแล้วเคราะห์คืออะไร เรามักจะลืมเวลาที่เราได้ยินเนี่ยเราก็จะหยิบโดยเฉพาะบางคำ ลืมปกติว่าเวลาพูดถึงเคราะห์เนี่ยเราพูดถึงกรรมด้วยใช่ไหม เคราะห์กรรมจะคู่กันไปแต่เวลานี้ถ้าเราจะใช้คำเคราะห์คำเดียวเนี่ยเราก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไรแต่ว่าเป็นเคราะห์กรรมหรือว่าเป็นกรรมของเราก็แค่พูดอีกเหมือนกัน ถ้าไม่รู้ว่ากรรมคือการกระทำที่สำเร็จแล้วให้ผล เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่เนี่ยคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมจะไม่รู้จักคำว่าวิบาก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    18 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ