ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1897


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๘๙๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแพรวอาภาเพลส จ.ราชบุรี

    วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ตรงกันข้ามกับอัตตาคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงแล้วก็ไม่ใช่ของใครจริงๆ แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วยทุกอย่าง แม้แต่เห็นขณะนี้ยากไหม เพราะว่าการฟังเพื่อที่จะให้เห็นถูกต้องว่าไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่เราเพราะเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วหมดไปแล้ว เราจะอยู่ที่ไหนถ้าเห็นเป็นเรา ได้ยิน เกิดแล้วได้ยิน และดับแล้วหมดแล้วเราอยู่ที่ไหน เป็นเราได้ไหมในเมื่อโหมดแล้ว และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วยไม่มีใครสามารถรู้ว่าขณะต่อไปเนี่ยจะเป็นอะไรนี่คือผู้ที่มีความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคืออย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัยที่ละหนึ่ง แต่ว่าเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ยากที่จะรู้ได้จึงต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจ เพื่อสะสมความเห็นที่ถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นจากการที่ไม่เคยรู้เลยก็ค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟัง เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจเพื่อสะสมความเห็นถูกในสิ่งที่มีเพื่อรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ไหมทรงเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เลย

    ผู้ฟัง ผมขอถามอีกสักคำถาม เพราะว่า การทำทานการรักษาศีลถ้าจะให้เป็นธรรมแบบที่ให้เข้าใจ ที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนอะไรอย่างเนี้ย ไม่ทราบว่าจะอธิบายให้เข้าใจว่าทานเป็นธรรมอย่างไร ศีลเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดคำว่าทาน ไม่ข้าม ทานคืออะไร เห็นไหมเหมือนรู้แต่ความจริงรู้หรือเปล่า ขอเชิญคุณคำปั่นค่ะ

    อ.คำปั่น เมื่อกล่าวถึงคำว่าทานซึ่งก็เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี ว่าทา นะ ซึ่งแปลเป็นความหมายก็คือหมายถึงการให้ แต่ในทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทานจริงๆ ก็คือเจตนาที่จะสละ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือว่าเจตนาที่จะสละสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งในเรื่องของทานก็มีความละเอียดที่หลากหลายมากทั้งการให้วัตถุสิ่งของที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับทั้งโดยการอนุเคราะห์หรือว่า ด้วยการบูชาคุณก็เป็นเรื่องของทานที่เป็นการให้วัตถุสิ่งของ แต่ก็ยังมีทางที่ประเสริฐกว่านั้นอีกซึ่งไม่ได้เป็นการให้วัตถุสิ่งของแต่ว่าเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงที่เรียกว่าให้ธรรมทานหรือว่าการให้ธรรม เป็นทานนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจได้ แต่ลึกซึ้งหรือยัง เห็นไหมต้องมีความเข้าใจยิ่งกว่านั้นอีกถ้าไม่มีจิต จะมีการให้ไหม เห็นไหม เพราะฉะนั้น ท่ านเป็นแต่เพียงอาการภายนอกที่เราเห็น เพราะเหตึว่าถ้าไม่มีจิต และก็ไม่มีรูปร่าง ทานก็ไม่มีอะไรอะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องทราบว่าไม่ว่าเราจะกล่าวถึงเรื่องทานเรื่อง สติเรื่องปัญญา เรื่องเจตนาเรื่องอะไรก็ตาม เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมซึ่งเราใช้คำว่าจิตในภาษาไทย ภาษาบาลีก็ใช้ จิตตังหมายความถึงต้องมีสภาพรู้โต๊ะเก้าอี้ไม่มีการให้ทาน เพราะฉะนั้น ทานจริงๆ ต้องเมื่อมีจิต และจิตนี้ทั้งๆ ที่มีอยู่ทุกวันก็ไม่เคยที่จะสนใจหรือว่าเพียงไม่มีจิตอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีเลยสักอย่างเดียว เช่นถ้าไม่มีจิต

    อย่างคนที่ตายแล้วเปรียบเทียบง่ายๆ เขาเห็นไหมเขาได้ยินไหมเขารู้ไหมว่าที่นั่นมีอะไร โต๊ะนี้มีอะไรข้างซ้ายข้างขวามีอะไรเพราะเหตุว่าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีสภาพรู้ซึ่งใช้คำว่าจิตหมายความถึงสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานที่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เพราะถ้าไม่มีจิตไม่มีอะไรปรากฏเลยห้องนี้ไม่มีคนไม่มีเสียงไม่มีเรื่องราวต่างๆ ไม่มี

    เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด ก็คือธาตุรู้มีจริงๆ ใช้คำว่ารู้ เพื่อที่ว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจจิตซึ่งเรามีซึ่งเราไม่เคยสนใจมาก่อนเพียงแต่รู้ว่าทุกคนมีจิตเกิดมาแล้วต้องมีจิตแต่จริงๆ แล้วจิตคืออะไร จิตขณะแรกตั้งแต่เกิดต่างกับสภาพธรรมซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น ที่ใช้คำว่าจิตต้องเป็นธาตุรู้เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้เป็นสิ่งที่มีชีวิตเป็นสัตว์เป็นบุคคลเพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เลยก็เป็นโต๊ะที่เราใช้คำว่าโต๊ะเก้าอี้ ลมพายุ แม่น้ำ ทะเลทราย อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ซึ่งตรงกันข้ามกับสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งกำลังเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่งซึ่งสามารถที่จะเห็นว่าขณะนี้มีอะไรปรากฏให้เห็น ขณะที่ได้ยินเสียงปรากฏ ขณะนั้นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา แต่ว่าขณะนั้นมีเสียงเพราะเหตุว่ามีธาตุได้ยินคือจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงจึงปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายที่มีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏทุกวันก็เพราะจิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปนี่ไม่มีการที่ใครสามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังแต่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดแล้วต้องดับ และก็ดับเร็วมากไม่ต้องไปคอยจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชาตินี้ซึ่งเราใช้คำว่าตาย เกิดแล้วก็ต้องตาย

    เพราะฉะนั้น ขณะแรกเกิดเกิดขณะสุดท้ายคือตาย เข้าใจเพียงเท่านั้นแต่ความจริงจิตเกิดขณะแรกจึงเป็นสิ่งที่มีชีวิตค่อยๆ เติบโตเป็นแต่ละคนที่อยู่ที่นี่ แล้วจิตก็เกิดดับ เกิดทันทีดับทันทีทำกิจหน้าที่ของจิตสั้นมากรวดเร็วมากแล้วก็ดับไปนี่คือการที่เราจะเข้าใจต้นตอของโลกของสิ่งที่มีจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะถ้าผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงเราไม่สามารถจะรู้ว่าขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เห็นไม่ใช่ได้ยิน

    เพราะฉะนั้น เห็นกับได้ยินจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย เห็นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วดับ ขณะที่ได้ยิน ก็ต้องมีเสียงที่จิตได้ยินจึงปรากฏว่ามีเกิดขึ้นแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ทั้งสองอย่างนี่ไม่ใช่ขณะเดียวกันปะปนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้หลากหลายมาก ให้ทราบว่าแต่ละคน ซึ่งวิถีชีวิตความเป็นมาตั้งแต่เกิดจนถึงขณะนี้หลากหลายเพราะสภาพธรรมหลากหลาย ไม่ใช่มีแต่จิตเห็นเท่านั้น จิตได้ยินก็มี ไม่ใช่มีแต่จิตเห็นจิตได้ยิน จิตคิดนึกก็มีเรื่องราวต่างๆ ของแต่ละหนึ่งคนก็ต่างๆ กันไป แสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาแต่ต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เกิดมาเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    วันนี้รับประทานอาหารหรือเปล่า รับประทานแล้ว พอถึงตอนกลางคืนก็ต้องนอน พอนอนหลับไม่มีอะไรปรากฏเลยหายไปไหนหมดทั้งวัน ทั้งวันซึ่งสำคัญเหลือเกินเดือดร้อนเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ แต่พอถึงเวลาที่ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิดไม่มีอะไรปรากฏ

    เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงเกิดมาเพื่อเท่านี้เองกินนอน ติดข้อง หลับไม่มีอะไรเลยเหลือแล้วก็ตื่นใหม่ แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ในสังสารวัฎ ต้องเป็นอย่างนี้จนกว่าจะมีปัญญาเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เราซักชาติเดียวแต่ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งมีจริงๆ ใครบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ใครบังคับให้ไม่ดับไปหมดไปก็ไม่ได้เกิดแล้วดับไป มีประโยชน์ไหมที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีเราจริงๆ ไม่ต้องไปเดือดร้อนมากมายเลย เพราะว่าเป็นธาตุที่มีปัจจัยเกิดขึ้นคืนนี้ก็หมดแล้ว ตื่นขึ้นมาก็ตั้งต้นใหม่ไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น แต่ละวันเนี่ยถ้าไม่ได้ฟังธรรมสะสมอะไร สะสมความไม่รู้ ความติดข้อง ความยึดถือแล้วก็ต่อไปก็จะทราบได้ว่าสภาพธรรมที่หลากหลายพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้เริ่มเห็นถูกต้องว่า เพียงแต่บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใครไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้น และดับไปทั้งๆ ที่ได้ยินอย่างนี้ฟังอย่างนี้ความจริงเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะละความยึดถือที่เคยยึดถือมาแสนนานว่ามีเรา มีเขา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีสมบัติมากมาย มีโลก มีสารพัดอย่าง

    ซึ่งความจริงเพราะจิตเกิดขึ้นแล้วรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏ แต่เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากก็เหมือนนายมายากลเขาสามารถที่จะลวงทั้งๆ ที่มองดูเหมือนไม่มีอะไรเลยก็มีสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นมาได้ยังไงใช่ไหม แต่นายมายากล ไม่เร็วเท่ากับจิต เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้เพียงเท่านี้ที่ได้ฟังเริ่มเข้าใจความจริงของชีวิตว่าหนีไม่พ้นต้องเป็นอย่างนี้เป็นความจริงถึงที่สุดซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ใครจะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ใครจะไม่ให้ดับก็ไม่ได้ ใครจะให้ยังเหลืออยู่ก็ไม่ได้

    เมื่อวานนี้เห็นอะไรยังเหลือไหม จิตเห็นดับแล้วไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อประโยชน์คือ ทุกครั้งที่ได้ยินแล้วเข้าใจคำที่ได้ยินว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ซึ่งการรู้การเข้าใจถูกกับการไม่รู้ไม่เข้าใจ อะไรจะมีประโยชน์ เกิดมาแล้วมีแล้วแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจกับเกิดมาแล้ว มีทุกสิ่งทุกอย่างยังสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ในชาติหนึ่งก็คือความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีซึ่งไม่สามารถที่จะรู้เองได้ บางคนชอบคิด ช่างคิด คิดเอง น่าเสียดายนง พระธรรมทรงแสดงไว้แล้วทำไมไม่คิดตามพระธรรมที่ทรงแสดง แต่กลับคิดเองหมดเลยแค่ฟังประโยคเดียวคำเดียวคิดยาวมากค่ะเป็นหนังสือเป็นเล่มที่ออกมาได้ แต่ว่าถ้าคิดตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไม่คิดเอง ความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น ตรงขึ้น ถูกขึ้นเป็นการสะสมที่จะรู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะคิดเอง ถ้าคิดเองก็ผิด แต่ทุกคำที่ได้ฟังแม้แต่คำเดียวทีละคำๆ สามารถที่จะเพิ่มความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งจะสะสมสืบต่ออยู่ในจิตไม่ว่าเกิดชาติไหนมีโอกาสได้ยินได้ฟังมีการสะสมศรัทธาความผ่องใสของจิตซึ่งขณะนั้นไม่มีโลภะความโลภติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสใน เรื่องใดๆ ยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้มีโทสะความขุ่นเคืองไม่ได้มีความไม่รู้จึงทำให้หลงอยู่ในโลกด้วยความไม่รู้แต่การได้ยินได้ฟังค่อยๆ สะสมความรู้ความเห็นถูกจนกระทั่งวันหนึ่งก็สามารถเพียงได้ยินคำสั้นๆ ก็สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะที่เป็นจริงเช่นคำว่าธรรม ได้ยินกันบ่อยมาก ภาษาไทยก็มีหลายครั้งยุติธรรมก็มีใช่ไหม สังขารธรรมก็มีมีมาก

    เพราะอะไร ทุกอย่างที่มีเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริง ความจริงของสิ่งที่มีจริงเท่านั้นสิ่งที่ไม่มีจะกล่าวถึงทำไมไม่มีประโยชน์เมื่อไม่มี เพราะฉะนั้น ไปคิดเองมีอะไร ในขณะที่คิดเองไม่ได้พูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจเลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมคำเดียวทุกอย่างเป็นธรรมสามารถที่จะถึงการหมดกิเลสได้ไหม ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ไหม แต่ไม่ใช่เราความเห็นถูกความเข้าใจถูกในธรรมทั้งปวง ที่ขณะนี้กำลังมีถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคือสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้น จากเดิมที่ไม่เคยรู้จักธรรมไปแสวงหาธรรมในที่ต่างๆ ก็เริ่มรู้ว่าไม่ต้องแสวงหาเลยมีแล้วกำลังมีกำลังเผชิญหน้าแต่ไม่รู้ความจริงจนกว่าจะได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง และเป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นการบ้านมีสำหรับผู้ที่ฟังแล้วคือฟังแล้วจบเลย นั่นไม่มีการบ้านใช่ไหมทิ้งไปเลย แต่ฟังแล้วฟังอะไรแล้วก็ยังคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ไม่ขาดธรรมเลยซักขณะเดียว เพียงแต่ว่าเดี๋ยวนี้ธรรมก็เกิดขึ้น และดับไปแต่ไม่รู้ความจริงเลย

    เพราะฉะนั้น สะสมความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงไว้มากแค่ไหนแต่ถ้ามีความรู้ความเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยทุกอย่างจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น และเวลาที่ใช้คำว่าเข้าใจถูกเห็นถูก ก็ตรงกับความหมายในภาษาบาลีที่ใช้คำว่าปัญญา เพราะฉะนั้น เราจะใช้คำที่ไม่รู้จักเช่นคนนั้นมีปัญญาแล้วเขารู้อะไร แล้วปัญญารู้อะไร แต่ปัญญา สภาพธรรมที่เป็นปัญญาต้องเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูก และก็ต้องมีสิ่งที่สิ่งนั้นเข้าใจได้เข้าใจถูกด้วยไม่ใช่ปัญญาลอยๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ปัญญาความเห็นถูกต้องว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น และดับไปเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่จำคำ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าขณะไหน กำลังกระทบสิ่งที่แข็ง ขณะนั้นมีจริงๆ เป็นธรรมปรากฏในสังสารวัฎว่าอยู่ในสังสารวัฎมีแน่ๆ แข็งตลอดทุกชาติไป แล้วเกิดดับด้วย และก็ไม่ใช่อะไร แต่ว่าพอไม่รู้ก็เป็นอาหารอร่อยๆ เป็นเสื้อผ้าสวยๆ เป็นแก้วแหวนเงินทอง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จริงๆ ก็คือแข็งมีแต่ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะไม่ลืมสามารถที่จะผูกพันจิตไว้ให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงในความเป็นจริงว่าเป็นธรรม กว่าจะเข้าใจมากกว่านี้ ละเอียดกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้จนกระทั่งสามารถรู้ว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรม ไม่มีเราจริงๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเพื่อมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพื่อที่จะให้เป็นพระโสดาบันวันนี้โดยไม่รู้อะไรเลย เพราะเหตุว่าพระธรรมคำสอนทุกคำ ทรงอนุเคราะห์ให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ทานถ้าไม่มีจิตมีทานไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่กิริยาอาการซึ่งเคลื่อนไหวไปโดยไม่มีจิต แต่ว่าจิตประเภทใดเกิดขึ้นกายวาจาก็เป็นไปอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงทา นะการให้ต้องมีจิตซึ่งสามารถสละสื่ง เพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เราให้ สิ่งนั้นต้องเป็นประโยชน์ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์จึงเป็นการให้ทาน ทา นะ และขณะนี้ก็จะสังเกตได้ว่าให้บ่อยไหม ธรรมไม่ต้องไปหาคนอื่นว่าคนนั้นทำยังไงคนนี้ทำยังไงแต่ว่าสภาพที่มีจริงที่เคยเข้าใจว่าเป็นเราเป็นจิตประเภทไหนสะอาดหรือว่า เต็มไปด้วยความไม่รู้ เต็มไปด้วยความติดข้อง เต็มไปด้วยความพยาบาท เต็มไปด้วยความสำคัญตน เต็มไปด้วยมานะหรือว่า ความโกรธต่างๆ ขั้นต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถจะชำระล้างจิตให้สะอาด เพราะว่าต้องอาศัยพระธรรม และคนอื่นช่วยไม่ได้ เพราะเหตุว่าการฟังแต่ละครั้งทำให้เกิดความเข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจขึ้นก็เหมือนสิ่งที่สามารถขจัดสิ่งที่สกปรกที่มีอยู่ในจิตให้ค่อยๆ ละทิ้งไปทีละน้อยๆ จนกว่าจะหมดสิ้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นแต่ว่าฟังอะไรก็ให้เข้าใจว่าทานหมายความถึงจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นไม่ติดข้องในสิ่งที่มี สามารถที่จะสละให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ แต่ว่าละเอียดมากสภาพของจิตไม่มีทานตลอดเวลาทุกคนรู้ วันนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ซึ่งส่องไปถึงวันก่อนๆ และวันข้างหน้า

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าแต่ละคนติดข้องไม่สามารถสละได้หรือว่าสละได้เพียงบางสิ่งบางอย่างเรียกว่าสละได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่ทั้งนี้เพื่อสละยังสูงที่สุดคือ สละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราเพราะว่าถ่ายังไม่สามารถที่จะสละแม้วัตถุภายนอกได้จะสละสิ่งที่เธอเคยยึดถือว่าเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าเป็นเรา ทุกขณะที่เห็นเป็นเรา ทุกขณะที่ได้ยินเป็นเรา แม้แต่โกรธก็เป็นเรา เพราะฉะนั้น การยึดถือสภาพธรรมซึ่งเป็นธรรมแต่เข้าใจว่าเป็นเรา นี่เป็นความเห็นผิดแล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ความเห็นผิดนี้หมดไปได้นอกจากพระธรรม ธัมมะเตชะ ธรรมเดชคือพระธรรมคำสอนสามารถจะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก และขณะใดก็ตามที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศลเป็นสภาพของจิตที่ดีงาม ตรงกันข้ามกับสภาพที่ไม่ดีงาม เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ ก็คือจะเป็นคนดีขึ้นทีละเล็กที่ละน้อยแต่ไม่ใช่หมดกิเลส ไม่ใช่ดีมากมายเปลี่ยนแปลงกลับหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ดีเพราะจากเคยไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้น ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง มีคำถามจากท่านผู้ฟัง เห็นขณะนี้ด้วยความรู้หรือความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงว่าเริ่มสนใจเห็นแล้วใช่ไหม เพราะได้ฟังเรื่องเห็นแต่แค่นี้ไม่พอ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจอีก เห็นขณะนี้ทุกคนคิดถึงอะไรคิดถึงเห็นที่กำลังเห็นขณะนี้ หรือเปล่านี่คือการฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่าเห็นในขณะนี้ ในขณะนี้ ทุกคนอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่เห็น ใช่ไหมกำลังเห็นแต่คิดเรื่องอื่น ฟังอีกกี่ครั้งก็คิดเรื่องอื่น แต่ไม่ได้คิดถึงเห็นที่กำลังเห็น เห็นขณะนี้ ต้องเดี๋ยวนี้ด้วย ขณะนี้ด้วยความรู้หรือด้วยความไม่รู้ทุกคนตอบเอง ใช่ไหม ไม่ใช่ถามคนอื่น ถามคนอื่นเราจะรู้ได้ยังไงว่าขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นยังไหนแต่พอมีคำถาม ขณะนี้เห็น ด้วยความรู้หรือด้วยความไม่รู้ตอบเองเลย นั่นถึงจะเป็นการฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม เพราะขณะนี้พูดถึงเห็นซึ่งเป็นธรรม ซึ่งมีจริงกำลังเห็นด้วยยังไม่ต้องถูกถามก็เห็น ถามแล้วก็ยังเห็นถามหลายๆ ครั้ง และก็ยังเห็นอยู่ เพราะฉะนั้น ตอบได้แน่นอน ว่าขณะที่เห็น เห็นด้วยความไม่รู้หรือด้วยความรู้ก่อนที่จะข้ามไป ที่จะฟังคนอื่นต้องคิดว่าถ้าคำถามนี้ถามตัวเองที่ได้ฟังแล้วจะตอบว่าอย่างไง ไม่ใช่ให้คนอื่นตอบให้ใช่ไหม จะตอบว่ายังไง เป็นผู้ที่ตรง ธรรมที่จะรู้ความจริงจะขาดบารมีไม่ได้ บารมีคือกุศลธรรมที่สามารถที่จะทำให้เข้าถึงความเข้าใจธรรมจริงๆ จากที่ฟังแล้วก็มีธรรมจริงๆ ด้วย เพราะเหตุว่าฟังเรื่องจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น กำลังรู้จริงเข้าใจจริง ในสิ่งที่มีจริงรึเปล่า ต้องเป็นคนตรงสัจจะต้องมีความอดทนที่จะรู้ว่า รู้แค่ไหน ที่จะต้องมีความมั่นคงว่าปัญญารู้สิ่งอื่นหรือในเมื่อสิ่งนี้กำลังมี และจะให้ไปรู้สิ่งอื่นใดหรือ สิ่งใดมีปัญญาก็ต้องรู้สิ่งนั้น ถ้าปัญญาไม่รู้สิ่งนั้นแล้วปัญญาจะไปรู้สิ่งที่ไม่มีได้ยังไง ในเมื่อสิ่งนั้นยังไม่มี นี่คือความตรงแล้วก็เป็นความมั่นคงด้วย เพราะฉะนั้นตอบได้แล้วใช่ไหมทุกคน

    คำถามนี้ไม่ใช่สำหรับให้คนอื่นตอบ แต่สำหรับทุกคนที่ฟังธรรมแล้วตอบ หมายความว่าฟังธรรมแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังจริงๆ ว่าแม้จะรู้ว่าเห็นมีจริงเป็นธรรม พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่งเราก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง พูดเรื่องเห็นก็เห็นมาแล้ว และกำลังเห็นแล้วก็จะเห็นต่อไป แต่เมื่อฟังแล้วจึงเริ่มรู้ว่าไม่รู้

    จึงต้องฟังต่อไปถ้าใครบอกว่ารู้แล้วไม่ต้องฟังอีกแล้ว รู้แล้ว แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ใช่ไหม ยังคงเป็นเราที่ฟังแล้วผ่านไปข้ามไปไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีจริงนี่แหละเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งอื่นเลยเพราะฉัน จากไม่รู้ก็เริ่มรู้ว่าเห็นมีจริง และเห็นเกิดด้วยถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น และเห็นก็ดับด้วยนี่คือความเข้าใจจากการฟังว่าทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเห็นที่กำลังเห็นนี้ด้วยเกิดขึ้นไม่มีใครทำให้เกิดใหม่เลยบังคับให้เกิดก็ไม่ได้ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้เพราะเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งต่อไปก็จะรู้ถึงปัจจัยของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นว่า มีปัจจัยจึงเกิดได้โดยปัจจัยต่างๆ เพื่อที่จะให้เห็นให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราเลย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา กว่าจะสละละ การยึดถืออย่างเหนียวแน่นทุกครั้งที่เห็นเป็นเราเห็น ได้ยินเป็นเราได้ยิน โกรธเป็นเราโกรธ สภาพธรรมทั้งหมดเป็นธรรมก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องข้ามไปถึงไหนเลย เพียงแต่ว่าให้เข้าใจจริงๆ คำถามทุกคำถามตอบตัวเองแล้วก็แน่นอนกว่าคนอื่นมาบอกใช่ไหม คนอื่นบอกได้ยังไงเขาจะมารู้ใจเราหรือ เขาจะเข้าใจหรือ เพราะฉะนั้น ตัวเองเท่านั้นที่จะต้องเป็นผู้ตรงว่ายังไม่รู้ เพียงเริ่มฟังว่าธรรมมีจริง ธรรมะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และไม่ใช่เราด้วยเพราะเหตุว่าเกิดขึ้น และดับไป

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 201
    18 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ