พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 352


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๕๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ เวลาที่ได้ยินจะเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสียงกระทบโสตปสาท และจิตได้ยินเกิดขึ้น เสียงจึงปรากฏ ก็ไม่รู้เลย คือ ไม่รู้ทั้งนั้นเลย ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป สั้นมาก และหมดไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สืบต่อเร็วมาก จนไม่รู้ว่า ไม่มีอะไรเหลือเลย ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือสิ่งที่ปรากฏ หรือร้อน หรือเย็น ที่ปรากฏแต่ละทาง ก็มีอายุที่สั้นมาก จากไม่รู้อะไรเลย หลับสนิท ก็ตื่นขึ้นมารู้แต่ไม่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกว่าเป็นธรรม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้ว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ไม่เคยเข้าใจว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรมทั้งหมด ทั้ง ๒ อย่าง ไม่มีเราเลย และเวลาที่หลับสนิทคืนนี้อีก ทุกอย่างก็ไม่เหลืออีก ตื่นขึ้นมาอีก ก็เป็นวิถีจิตอีก อย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีอะไรเหลือเลย เข้าใจถูก หรือเข้าใจผิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้

    ผู้ฟัง ธรรมนิยามของจิตก็เป็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้ว่า กำลังเห็นขณะนี้เป็นธรรมที่ต่างกับขณะที่กำลังคิดนึก ต่างกับเสียง ต่างกับได้ยิน ทั้งหมดเป็นธรรม และเมื่อไรจะรู้อย่างนี้ ข้อสำคัญคือไม่ใช่ให้ไปเฝ้า รอคอยด้วยความหวัง เมื่อไรจะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง เพราะว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ที่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกแม้กำลังฟัง และมีสิ่งที่ปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นเรื่องของปัญญาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าใครที่ไม่มีปัญญาเลย แล้วสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ผู้ฟัง ในการเรียน เราต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปท่องว่า อาวัชชนะ วิญญาณจิต สัมปฏิจฉันนะ อะไรอย่างนี้ เรียงไปเรื่อย ซึ่งเราต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ทำกิจอะไร เป็นชาติอะไร มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมเกิดดับสืบต่อ ไม่ต้องท่อง แต่เข้าใจ และค่อยๆ จำ โดยที่ไม่มีเราที่อยากจำ หรือไม่อยากจำ แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่จะจำ ก็จำ ก็รู้ว่า จิตไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละขณะก็เกิดขึ้นทำกิจแต่ละอย่าง เราสามารถจะรู้กิจไหน

    ผู้ฟัง เราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจว่า วิถีจิตเป็นอย่างไร และละเอียดอย่างไร เพื่อทำให้เราเข้าใจธรรมมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ทุกคนรู้ตามความเป็นจริง คือ รู้ตัวเองว่า มีความไม่รู้มากแค่ไหน แต่ก่อนนี้อาจจะคิดว่า ไม่มากเท่าไร แต่ทั้งๆ ที่สภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ กำลังปรากฏ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องฟัง หรือเปล่า พิจารณาไตร่ตรอง หรือเปล่า จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏแล้วหมดไป ตัวสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่รู้เลยว่า ใครกำลังเห็น ไม่ได้จงใจอยากให้ใครเห็น ก็เป็นธาตุ หรือธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมี แล้วแต่ว่าจะเกิดจิตเห็นเมื่อไร จิตเห็น ก็ไม่ได้เห็นอย่างอื่น แต่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏชั่วขณะเท่านั้นเอง ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา จริงๆ ไม่มีเลย มีแต่ธรรม

    ผู้ฟัง เราจะทราบเองว่า เราเข้าใจ หรือเรามัวไปจำชื่อ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แต่มีปัญญา ถ้าเป็นปัญญา ต้องเห็นถูก เข้าใจถูก

    นี่แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเราหนาแน่นแค่ไหน ลึก และยากที่จะละ เพราะฉะนั้นทั้งหมดของคำถาม ก็คือเรา แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ก็คือเข้าใจ ขณะอื่นที่ไม่ได้ฟัง ไม่เข้าใจ เป็นโลภะ เป็นโทสะ ก็เป็นโลภะ โทสะ เป็นธรรม เวลาฟังอีกก็เข้าใจอีก นี่คือปกติ ไม่มีเราไปจัดการ หรือไปหาทางว่าทำอย่างไร ไม่มีทำอย่างไร มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วรู้ หรือไม่ว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอริยสัจจะสำหรับผู้ที่สามารถประจักษ์แจ้งได้ และถ้าจะไม่ประจักษ์แจ้งสิ่งซึ่งที่กำลังปรากฏ จะไปรู้แจ้งอะไร ลองหามาว่า จะไปรู้แจ้งอะไร ที่ไหน ทุกอย่างทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เมื่อเราทราบรายละเอียดของสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาเลยมากขึ้น ก็จะเห็นว่าเป็นธรรมอย่างไร ปัญญาก็จะค่อยๆ รู้ว่า เป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง มีคำถามจากท่านผู้ฟังว่า รูปกระทบกับรูป จะต่างกับผัสสะกระทบอารมณ์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ รูปไม่ใช่สภาพรู้ ต่อให้รูปกระทบกับรูป ก็ไม่มีสภาพรู้เกิดเลย ผัสสะ ที่เราใช้คำว่า “ผัสสะ” หมายความถึง สภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นเจตสิกเกิดกับจิต เป็นนามธรรม เพราะว่าสภาพรู้ทั้งหมดเกิด ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่ผัสสะ เป็นนามธรรมขณะนั้น แต่ไม่ใช่จิต นามธรรม ก็หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ สภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงกำลังปรากฏ สภาพที่รู้แจ้งลักษณะของเสียง ก็เป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะของเสียง แต่สภาพธรรมอื่นก็มีที่เกิดพร้อมกันในขณะนั้น และเป็นปัจจัยซึ่งกัน และกันด้วย จะขาดกันไม่ได้

    ขณะนี้มีเห็น แล้วก็มีแข็ง ขณะใดรู้อะไร เพราะผัสสะกระทบสิ่งนั้น ผัสสะเป็นสภาพรู้ เกิดพร้อมจิต และกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นรู้โดยกระทบ ไม่ใช่รู้โดยจำ ไม่ใช่รู้โดยคิด แต่รู้โดยกระทบ ขณะนั้นเป็นสภาพรู้ที่กระทบ ลักษณะของผัสสเจตสิกไม่ใช่ลักษณะของรูปที่กระทบรูป

    อ.กุลวิไล ที่ว่าอารมณ์ที่เป็นรูปารมณ์ หรือสัททารมณ์ก็ตามที่กระทบกับปสาทรูป และกระทบกับภวังค์ จะต่างกับผัสสะที่กระทบอารมณ์ที่เกิดกับจิตอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ผัสสะเป็นนามธรรม และผัสสะเกิดกับจิตทุกขณะ จะรู้ หรือไม่รู้ก็ตามแต่ ผัสสะเป็นสภาพธรรมที่กระทบอารมณ์ แต่ผัสสะต้องเกิดกับจิต ขณะนี้มี หรือไม่ ผัสสะ ตอบได้ใช่ไหม มี หรือไม่มี มี รู้ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ จิต ๑ ขณะ จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อย ๗ ประเภท และมีสิ่งที่กำลังปรากฏด้วย และไม่ได้รู้ในลักษณะตามความเป็นจริงของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด แม้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นไปก็ไม่รู้ จนกว่าจะฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจในความเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนี้หมายความว่า เมื่อจิตเห็นเกิด รูปารมณ์กระทบจักขุกับปสาทรูป และขณะเดียวกันผัสสะกระทบกับรูปที่จะให้จิตรู้

    ท่านอาจารย์ ผัสสะเกิดกับจิตทุกขณะ แล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นจิตอะไร และมีอารมณ์อะไร ผัสสะก็กระทบอารมณ์เดี๋ยวกับจิตที่กำลังรู้อารมณ์นั้น

    อ.ธิดารัตน์ ก็เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์แนะนำในพื้นฐานพระอภิธรรมว่า ทำไมเราถึงต้องเรียนพื้นฐานพระอภิธรรม เพื่อความเข้าใจแม้กระทั่งขั้นการศึกษา เพราะจริงๆ เวลาสภาพธรรมปรากฏ ถ้าไม่อาศัยการศึกษาอย่างละเอียด เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะปัญญาของเราไม่สามารถรู้ได้ละเอียดอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง จึงต้องอาศัยพยัญชนะ หรือการศึกษา เพื่อเทียบเคียง เพื่อความเข้าใจ และยังมีธรรมอีกหลายๆ ประการที่เรายังไม่สามารถรู้ได้ ต้องอาศัยรู้โดยการศึกษา

    ผู้ฟัง ทวารที่มืด คือ มโนทวาร เป็นมโนทวารที่เราสามารถรู้ได้ว่า เป็นนามธรรม หรือรูปธรรมอย่างไร ถูก หรือไม่

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นการเข้าถึงความเป็นธาตุของสภาพธรรมซึ่งเป็นจิต เจตสิก รูป จิตเป็นธาตุรู้ คิดถึงตัวธาตุรู้ มีสีสันวัณณะสว่าง หรือเปล่า ธาตุที่เกิดขึ้นแม้มืดสนิท แต่เป็นธาตุรู้ ใครจะเปลี่ยนลักษณะของธาตุนั้นไม่ได้เลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ใช่ธาตุรู้ สว่าง มีสีสันต่างๆ เป็นวัณณธาตุ เป็นวัณณรูป สามารถปรากฏได้เมื่อจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ใช่จิต สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ แต่ธาตุเห็นมืด ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย เกิดเมื่อไรมืดสนิทเมื่อนั้น เพราะเหตุว่าไม่มีสีสันใดๆ ปะปนในนามธาตุได้เลย

    กว่าจะประจักษ์ถึงลักษณะแท้จริงของธาตุซึ่งมีจริงๆ เป็นธาตุรู้ เปลี่ยนลักษณะไม่ได้เลย เป็นธาตุรู้ ลองคิดดู ในความมืด หมายความว่าไม่มีสิ่งใดๆ ปรากฏเลยทั้งสิ้น ถูกต้อง หรือไม่ โลกทั้งโลกขณะนี้ปรากฏทางตาเป็นสีสันวัณณะ และลักษณะที่มีสัณฐานต่างกัน ก็ทำให้จำได้ว่าเป็นสิ่งต่างๆ เป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ นี่คือสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ถ้าไม่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย ไม่มีสีสันใดๆ เลยทั้งสิ้น ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ไม่ว่าจะเป็นรู้อะไรก็ตามแต่ ธาตุรู้เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ และสำหรับจิต ก็เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้

    เวลาจะรู้ลักษณะของธาตุรู้ ที่ปรากฏให้รู้ ต้องไม่มีอะไรเหลือเลย ทางตาไม่มีอะไรเลย ทางหู ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีเฉพาะธาตุรู้ที่กำลังปรากฏลักษณะซึ่งเป็นธาตุรู้ ขณะนั้นจะเข้าใจความหมาย เพราะว่าประจักษ์ในมโนทวาร เพราะเหตุว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่เย็นร้อน อ่อนแข็งที่สามารถปรากฏได้ในความมืดนั้น เพราะเหตุว่ามโนทวารวิถีจิตจะรับรู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวารได้ทุกอารมณ์ แม้แต่ในขณะนี้ที่ปรากฏเหมือนสว่างตลอด แม้มโนทวารขณะนั้นก็กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้แหละเป็นอารมณ์ แต่เวลาที่เป็นทวารอื่นทั้งหมด แสดงว่าขณะนั้นมืดสนิท หรือไม่ มืด เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นมโนทวาร เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้เรา หรือความเป็นเราก็ไม่มี แต่ลักษณะของความเป็นธาตุ หรือเป็นนามธรรม หรือนามธาตุที่กำลังรู้ปรากฏ ก็ต้องปรากฏทางมโนทวาร

    ผู้ฟัง ในขณะที่วิปัสสนาญาณปรากฏก็ต้องมืดอย่างนี้ ใช่ หรือไม่ แต่ว่าเป็นแค่รู้อย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ วิปัสสนาญาณสามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็จะรู้ว่า ขณะใดที่อารมณ์ปรากฏทางทวารไหน ก็หมายความว่า มีการรู้อารมณ์นั้นทางทวารนั้นก่อน แล้วมโนทวารก็ตามรู้ หรือรู้ต่อ

    ผู้ฟัง ถ้าเราพูดถึงทางตา ยังไม่ถึงมโนทวาร ขณะซึ่งวิญญาณจิตเกิด ยังไม่กระทบอารมณ์ มีลักษณะ หรือไม่ หรือต้องกระทบอารมณ์ ลักษณะนั้นจึงปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คุณสุรีย์พูดถึงจิตขณะไหน จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ

    ผู้ฟัง อาจารย์อธิบายเรื่องมโนทวารเข้าใจว่า เป็นธาตุรู้ มีลักษณะที่มืด

    ท่านอาจารย์ การจะรู้ลักษณะของนามธาตุได้ จะรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กายไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นตัวธาตุรู้แท้ๆ นี่มืด หรือไม่

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ มืดอย่างที่ไม่มีอะไรเหลือด้วย แล้วแต่ว่าขณะนั้นอารมณ์ใดจะปรากฏที่ละอารมณ์ ก็เป็นความชัดเจน

    ผู้ฟัง จักขุวิญญาณนี่มืดด้วย หรือ ตามที่ผมเข้าใจมา ผมคิดว่าจักขุวิญญาณไม่มืด ผมเข้าใจผิดมาตลอดใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นจักขุวิญญาณ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ สภาพรู้ หรือธาตุรู้ที่เห็นสิ่งที่ปรากฏ ต้องแยกกัน

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่เข้าใจอยู่

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นจิต หรือเปล่า เป็นสภาพรู้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ แต่เป็นสิ่งที่จิตกำลังเห็น ถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย แยกจิตออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง แต่เข้าใจโดยทั่วไป เวลาที่เราเห็นก็ต้องสว่างใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ นั่นเข้าใจผิด จิตสว่างไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตาต่างหากที่สว่าง แต่ธาตุที่กำลังเห็น ธาตุรู้กำลังเห็นสิ่งที่สว่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังสว่างขณะนี้ ไม่ใช่จิตเลย เป็นธาตุที่สามารถกระทบปรากฏให้จิตเห็น ตัวจิตจริงๆ เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ มืดสนิท ไม่มีรูปใดๆ เจือปน ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง ไม่อ่อน ไม่แข็ง เป็นนามธาตุ จะเข้าใจถึงความต่างกันของนามธาตุกับรูปธาตุ มิฉะนั้นเราก็เพียงแต่คิดว่าเป็นธาตุ แล้วก็ใช้คำว่า “นามธาตุ” แต่ลักษณะแท้จริงของนามธาตุ คือ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น และนามธาตุซึ่งเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะทางทวารไหนทั้งสิ้น นามธาตุเกิดขึ้นเป็นธาตุที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏแต่ละทาง

    ผู้ฟัง ผมก็ยังไม่เข้าใจที่อาจารย์บอกว่า ขณะที่เป็นนามธรรมมืดตลอด ผมฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จนกว่าผมจะมีโอกาสมาสอบถาม

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นในความมืดสนิท แต่รู้

    ผู้ฟัง เราอยู่ในโลกมืดตลอด น้อยมากที่จะอยู่ในโลกสว่าง

    ท่านอาจารย์ มีทางเดียวที่สว่าง คือ ทางตาที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง หมายถึงจักขุปสาทรูปทำกิจ หรือ

    ท่านอาจารย์ จักขุปสาทรูปเป็นรูปที่สามารถกระทบกับวัณณธาตุ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ จะเรียกอะไร หรือไม่เรียกอะไร ลักษณะของสิ่งนี้มีจริง กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ขณะที่สว่าง หมายถึงขณะไหน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น

    ผู้ฟัง มีอะไรทำกิจบ้าง

    ท่านอาจารย์ เห็นมีจริง เพราะว่ากำลังเห็น แต่เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาสว่าง หรือมืด

    ผู้ฟัง สว่าง

    ท่านอาจารย์ หลับตาเสียหน่อย สว่าง หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่มืดสนิท เพราะยังมีจักขุปสาท ยังมีรูปารมณ์ ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นจะกล่าวว่า ไม่เห็นอะไรเลยไม่ได้ จะกล่าวว่าเป็นภวังค์ไม่ได้

    การศึกษาธรรม ไม่ได้เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นจริงเลย เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่มีความเข้าใจถูกในความเป็นธาตุ ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่ละธาตุ จนกระทั่งสามารถรู้ความต่างของนามธาตุกับรูปธาตุ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์แสดงว่า เราอยู่ในโลกที่มืดมากกว่าโลกที่สว่าง

    ท่านอาจารย์ เมื่อไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย มืด หรือไม่

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ นั่นเอง คือความหมาย กำลังได้ยินเสียง ขณะที่เสียงปรากฏ ไม่มี สิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แต่เสียงก็ปรากฏในความมืด ใช่ หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเสียงไม่ใช่ธาตุได้ยิน แต่เสียงปรากฏกับธาตุที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นตัวธาตุรู้จริงๆ ไม่มีรูปร่างเลย ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ นั่นคือสภาพของนามธาตุ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มากแค่ไหน มากเพราะว่าจิตเกิดดับเร็วสุดประมาณ ทำไมจึงกล่าวว่าอย่างนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏ มีอายุที่สั้นมากเพียง ๑๗ ขณะ ไม่ได้ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปเลย แต่ยังจำทันทีที่เห็นว่าเป็นคนนั้น หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แสดงให้เห็นว่า รูปกับจิตที่เห็นเกิดดับสลับจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ทั้งๆ ที่ความจริงกำลังเกิดดับ

    ผู้ฟัง พระธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้เรื่องวิถีจิต แล้วเราไม่มีโอกาสมาศึกษาพระธรรมที่ละเอียดอย่างนี้ ก็ยากที่จะเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงความละเอียดอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรม ไม่ใช่เพื่อรู้แจ้งประจักษ์ทันที แต่ฟังเพื่อเห็นถูกต้องขึ้น ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก เพราะแม้แต่ว่าลักษณะที่แข็งปรากฏเมื่อกระทบสัมผัส ลักษณะที่แข็งดูเป็นธรรมดา แต่เกิดดับ เกินความคาดหมาย หรือไม่ว่า แข็งขณะนี้เกิดดับ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทุกอย่างมีอายุเท่ากัน ฟังดูเหมือนเสียงเกิดแล้วก็ดับไป พอประมาณได้ แต่เสียงก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เหมือนสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เหมือนอ่อน หรือแข็งที่กำลังปรากฏทางกาย

    การศึกษาจึงต้องละเอียด และตรงตามความเป็นจริง แสดงให้รู้ว่า การที่เราไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเนิ่นนานมาจนกระทั่งแม้ฟังมานาน ก็ยังไม่ได้เข้าถึงธาตุรู้ ซึ่งเป็นนามธาตุ เมื่อธาตุรู้ปรากฏ จะต้องปรากฏทางมโนทวาร ไม่เหมือนสีสันวัณณะที่ปรากฏเพราะกระทบจักขุปสาท หรือเสียงปรากฏเพราะมีโสตปสาท

    ธาตุรู้มีจริงๆ และใครก็ไม่สามารถดับ ให้ธาตุรู้ไม่เกิดได้ นอกจากปัญญาที่อบรมจนกระทั่งรู้แจ้ง ละความไม่รู้ จนถึงขณะที่เป็นจุติจิตของพระอรหันต์ เมื่อดับแล้วจึงจะไม่มีนามธาตุเกิดอีกต่อไปได้

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การรู้ความจริงว่า เราไม่ได้เกิดมาแค่ชาตินี้ อายุแค่นี้ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว นานแสนนานก็เกิดมาแล้ว สะสมกุศลอกุศล ความชอบความไม่ชอบต่างๆ จนกระทั่งปรากฏให้เห็นว่าเป็นบุคคลนี้อย่างนี้ในชาตินี้ ซึ่งชาติต่อไปก็มีสิ่งที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ ในจิตแต่ละขณะที่สืบต่อ พร้อมที่มีปัจจัยเมื่อไรก็เกิดขึ้น แต่จริงๆ แล้วเรารู้ หรือไม่ว่า เราไม่รู้แค่ไหนในจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับ มีโลภะ ความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในเรื่องราวต่างๆ มากแค่ไหน ก็ไม่รู้อีก จนกว่าเมื่อไรเกิด เมื่อนั้นก็รู้ว่า ยังมี ยังไม่ได้ดับ และมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นในขณะนั้น

    พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่ไปดับอกุศลที่กำลังมี เพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ แต่ขณะที่ฟัง ความรู้ความเข้าใจกำลังหยั่งลงไปถึง เพื่อที่จะดับความไม่รู้ที่สะสมสืบต่อในจิตแต่ละขณะ ที่จะขุดถอนรากของอกุศล ประการแรกคือความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ก็จะเห็นได้ว่า จะไปหาวิธีอื่น จะไปทำวิธีอื่น ฟังอย่างไร ทำอย่างไร ถึงจะไม่ให้เป็นเรา ไม่มีทางเลยทั้งสิ้น เพราะว่าต้องเป็นปัญญาเท่านั้น

    พระพุทธศาสนาก็แสดงชัดเจน คำสอนของพุทธะ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ ที่พระองค์ตรัสรู้ และทรงแสดง ก็ไม่มีใครสามารถไปคิดเองได้เลย ไม่ได้อบรมบารมีมาที่จะมานั่งคิด ขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน อย่างนั้นอย่างนี้ นั่นไม่สามารถดับอนุสัยกิเลสได้ แต่จากการค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถประจักษ์ความจริง เหมือนกับขณะที่ไม่ได้ฟัง ก็สะสมความไม่รู้กับการยึดถือสภาพธรรมหนาแน่นเป็นอนุสัย

    กว่าปัญญาจะสามารถดับอนุสัย ไม่มีการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ก็ต้องเป็นปัญญา ฉะนั้นก็ไม่ต้องเดือดร้อน ฟังเข้าใจ และมีเหตุให้อกุศลจิตเกิด ก็เป็นธรรม ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า เป็นธรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง คำว่า “ธาตุรู้” กับ “นามรู้” ต่างกัน หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า “นามธาตุ” หมายความว่าไม่ใช่ “รูปธาตุ” ถ้าจะแยกออกเป็น ๒ อย่าง นามธรรมกับรูปธรรม หรือนามธาตุกับรูปธาตุ

    รูปธาตุมีจริงๆ แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย และการศึกษาธรรม ฟังให้เข้าใจ ถ้ารู้ว่า รูปธาตุมี แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ คุณบุษกรยกตัวอย่างได้ หรือไม่ว่า อะไรเป็นรูปธาตุบ้าง

    ผู้ฟัง รูปธาตุก็หมายถึงสิ่งที่ได้กระทบ

    ท่านอาจารย์ อะไรที่ไม่สามารถรู้อะไรได้

    ผู้ฟัง ในสังขารร่างกายทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ อะไรเป็นรูปธาตุที่ไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง รูปธาตุที่ไม่รู้อะไร ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ รูปธาตุไม่รู้อะไรเลย ขณะนี้มีรูปธาตุปรากฏบ้าง หรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่เห็นทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    15 ม.ค. 2567