พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 328


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๒๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เพียงความมั่นคงว่า ขณะนี้เข้าใจ ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ทำไมเดือดร้อน ในเมื่อเข้าใจอยู่แล้วว่า ทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย เตรียมตัวไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะไม่ให้สงสัยก็ไม่ได้ จะไม่ให้คิดก็ไม่ได้ แต่สะสมความมั่นคงในการที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่รีบร้อน หรือเร่งร้อน เพราะเหตุว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เราต้องการ คือ เมื่อไรจะเข้าใจ ไม่ให้คิด ไม่ให้สงสัย เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ขณะหนึ่งที่เข้าใจแล้วดับไป ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาแท้จริง จะไม่หวั่นไหว และมีความเข้าใจว่า ปกติสติปัฏฐานไม่ได้เกิด ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นธรรมอื่นเกิด จนกว่าสติปัฏฐานเกิดเมื่อไร ก็เริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ แล้วสติปัฏฐานก็ดับ แล้วอะไรจะเกิด ก็แล้วแต่อะไรจะเกิด สติปัฏฐานจะเกิดอีก ก็มีปัจจัยจึงเกิด แต่ว่าเมื่อมีปัจจัยเกิดแล้ว ไม่ใช่อยากให้เกิด ไปพยายามทำให้เกิด ไปคิดให้เกิด ไปถามหาว่า ทำอย่างไรจะเกิด นั่นคือไม่เข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความมั่นคงจริงๆ ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่อะไรจะเกิด และความรู้ความเข้าใจที่ฟัง และมีความมั่นคงว่าเป็นธรรม ก็จะทำให้สติสัมปชัญญะค่อยๆ ระลึกได้ เข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นในความเป็นธรรม กว่าจะเข้าใจในความเป็นธรรมของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต ไม่ใช่เราสามารถที่จะให้มีได้ในเวลาเร็ววัน ถ้าเราจากโลกนี้ไป แต่เรามีความเข้าใจที่มั่นคงในเรื่องที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กับการที่เราอยากให้สติปัฏฐานเกิด แล้วทำอย่างไรสติปัฏฐานจึงจะเกิดได้ ก็แสดงว่าความมั่นคงในการเข้าใจสัจธรรม ไม่มีพอ

    เพราะฉะนั้นชาติต่อไปก็คงจะเหมือนชาตินี้ ในเมื่อชาติก่อนเราอาจจะคิดอย่างนี้มาก็ได้ ได้ฟังมาแล้ว เมื่อไรสามารถทำให้สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ เราอาจจะเคยคิดมาแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าไม่มีความมั่นคงที่จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดในขณะนี้เพราะเหตุปัจจัย แล้วเกิดแล้วด้วย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาแต่ละขั้น ขณะนี้ฟัง เข้าใจที่ได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ เพราะสติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกที่จะรู้ลักษณะ เพียงแต่กำลังอบรมความเห็นถูกขั้นฟัง

    เพราะฉะนั้นกว่าที่สติสัมปชัญญะจะเกิด และเริ่มเข้าใจลักษณะ เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ปรากฏ ล้อมรอบหมดทั้งวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นธรรมทั้งหมด แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เกิดที่จะรู้ลักษณะที่เกิดดับ ปรากฏสืบต่อ เป็นรูปนิมิต เป็นเวทนานิมิต เป็นสัญญานิมิต เป็นสังขารนิมิต เป็นวิญญาณนิมิต เพราะเกิดดับสืบต่อทั้ง ๕ ขันธ์ เร็วมาก

    เพราะฉะนั้นกว่าสติเริ่มที่จะเกิด เหมือนกับการสะสมที่ได้สะสมความเข้าใจจากขั้นการฟัง ก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกน้อยมาก และความเข้าใจก็น้อยมาก ยังไม่พอที่จะประจักษ์การเกิดดับ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก หลากหลาย ทางตาเห็น คิดอะไรก็ไม่รู้เลย แต่คิดแล้ว เป็นคนแล้ว เป็นสิ่งของแล้ว เป็นความอยากได้แล้ว เป็นเรื่องราวของสิ่งนั้นๆ มากมายมหาศาล แล้วที่จะรู้ว่า เป็นธรรมแต่ละขณะซึ่งปรากฏเพราะมีสภาพรู้ และไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ อย่างท่านที่แต่ก่อนนี้ท่านก็คิดว่า ชาตินี้ท่านก็ขอเพียงนามรูปปริจเฉทญาณ คือ สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรม และลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิปัสสนาญาณ

    ถ้าฟังแล้วยังคิดอย่างนี้ มีทางที่จะถึงไหม ไม่มีเลยค่ะ แต่ถ้ายิ่งฟังยิ่งเข้าใจว่า ที่เคยเข้าใจว่า ชาตินี้ ทั้งๆ ที่กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏเลย เข้าใจคำว่า สัมมาสติ หรือเปล่า หรือว่าเป็นเราที่รู้สึกตัว เป็นเราที่กำลังอบรม เป็นเราที่กำลังจะเข้าใจ นั่นก็คือไม่ได้เข้าใจความจริง กว่าจะคลายด้วยความเข้าใจขึ้นๆ แล้วก็รู้ลักษณะที่ต่างกัน ถ้า สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไร ลักษณะของสติสัมปชัญญะก็ปรากฏ ซึ่งต่างจากปกติที่หลงลืม ที่ไม่ได้ปรากฏ และยังมีลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ สืบต่อเร็วมาก ของเก่าไม่ต้องพูดถึงเลย ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย แต่ทุกขณะก็สืบต่อจากขณะนี้ต่อไป ถึงขณะต่อไป ที่จะทำให้สามารถค่อยๆ เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นไม่มุ่งหวังอะไร ต่อไปที่จะถามว่า แล้วทำอย่างไรสติสัมปชัญญะจะเกิด ทำอย่างไรจะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม เพียงฟังแล้วเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อเข้าใจจริงๆ แล้ว อะไรจะเกิดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย

    นี่เป็นความมั่นคง ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ โอกาสที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ก็ย่อมมี เพราะความเห็นถูก ถูกยิ่งขึ้น ตรงยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรมากั้นที่จะทำให้ไขว่เขวแล้วก็สงสัย แล้วก็คิดว่า ไม่นานก็คงจะรู้ได้ แต่ผู้ที่เคยกล่าวว่า ยิ่งฟังมากขึ้น ก็จะรู้สึกได้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่เพียงความเข้าใจที่จะมั่นคง ก็ไม่ใช่ว่าจะมีง่ายๆ โดยรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นยากไหมกับการที่ไม่เคยรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ และขณะต่อๆ ไปด้วยว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเห็นว่า อีกนาน เพราะว่ารู้จักตัวเองว่า กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏ ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ในความเป็นธรรม แต่ว่าเริ่มมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ผู้นั้นก็รู้ได้ว่าอีกนาน ที่กล่าวอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะเข้าใจธรรม ซึ่งก่อนนั้นไม่เข้าใจเลย คิดว่า จะรู้อะไรก็ได้ แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะละความสงสัย และไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมความมั่นคงของสัจญาณ ที่รู้จริงๆ ว่า เมื่อไรก็ตาม ไม่เคยขาดธรรม แต่ไม่รู้ธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นเข้าใจเท่านั้นพอ หรือไม่ เพราะว่า ตัวเข้าใจ คือ “ปัญญา” ที่จะเจริญขึ้น แล้วก็ละความสงสัย ความไม่รู้ และถ้ามีความมั่นคง สติสัมปชัญญะก็เกิด ก็มีเครื่องทดลองต่อไปอีกมาก เพราะว่าโลภะไม่จากไปเลย พอสติสัมปชัญญะเกิด อยากไหมที่จะรู้โน่นรู้นี่ ขณะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่อยาก ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดเลยเป็นธรรม ก็หายไป กลายเป็นตัวเราเข้ามาแทรกแซงอีกแล้ว เข้ามาเห็นว่า ทำอย่างไรอีกแล้ว

    ก็เป็นเรื่องที่ต้องเป็นผู้ตรง และมีความมั่นคงว่า ไม่เคยขาดธรรม แต่ไม่รู้ธรรมว่า เป็นธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    คุณอุไรวรรณ มีคำถามจากท่านผู้ฟังถามว่า การศึกษาธรรมเพื่อให้รู้ ให้เข้าใจว่าไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อน ถูก หรือผิด ศึกษาเพื่อให้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้เข้าใจผิดเหมือนเดิมอีกต่อไป

    คุณอุไรวรรณ ไม่มีเรา แล้วก็ไม่มีใครด้วย

    ท่านอาจารย์ แต่มีธรรม

    คุณอุไรวรรณ และไม่ใช่เพื่อให้เป็นเราที่กำลังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพื่อไม่ให้เป็น แต่อย่างไรๆ ก็ไม่เป็น แต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็น

    คุณอุไรวรรณ คิดว่าผู้ถามคงจะเข้าใจแล้ว ถ้ายังมีอะไรจะสนทนาต่อก็เรียนเชิญได้เลย

    ผู้ฟัง ผมก็สงสัยอันนี้ แต่ไม่ใช่ผมถาม คือ ตั้งแต่เกิดมาเป็นเรา ไม่เป็นเราอยู่แล้ว เพียงแต่เรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่

    ผู้ฟัง เพียงแต่เราเข้าใจว่ามีเรา ทีนี้คนตั้งคำถามก็เลยถามอย่างนั้น เรียนอย่างไรไม่ให้มีเรา ที่จริงมันไม่มีอยู่แล้วถูก หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจถูก

    ผู้ฟัง จากการศึกษาเข้าใจว่า มีสภาพธรรม แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง ศึกษาไม่ให้มีเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่ให้มีเรา ให้เข้าใจถูก

    ผู้ฟัง ใช่ ให้เข้าใจถูก แต่ทีนี้ปัญญายังไม่พอ

    ท่านอาจารย์ ก่อนนี้ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นธรรม ถูกต้อง หรือไม่ แล้วที่รู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นปัญญา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ มาจากไหน

    ผู้ฟัง มาจากความเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ แล้วสามารถจะเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ โดยวิธีอย่างไร

    ผู้ฟัง วิธีฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง แต่รู้สึกว่า ยังมีตัวตน

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะเหตุว่าปัญญาไม่พอ ก็บอกอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ อบรมความเห็นถูกขึ้นได้

    ผู้ฟัง และการที่จะเริ่มต้นอบรม

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้น หรือยัง

    ผู้ฟัง เริ่มต้นอยู่ แต่ทีนี้เริ่มต้นจากการว่า เช่น รู้ว่าแข็ง กระทบแข็ง ก็รู้ขณะนั้น แล้วก็หมดไป คือเริ่มต้นของการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ นี่หาวิธีลัดใช่ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง น่าจะใช่

    ท่านอาจารย์ วิธีลัด คือ ไม่เข้าใจธรรม มีแต่จะทำ พอแข็ง ก็ให้รู้ตรงแข็ง นั่นคือวิธีลัด แต่เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจสิ่งที่ถูก อย่างเช่นเห็น ก็จะให้เห็นว่าเป็นสี

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย เข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีเห็น จนกว่าจะรู้ลักษณะของเห็นว่า ไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงๆ กว่าธาตุนี้จะปรากฏให้รู้ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจตามลำดับขั้น ฟังแล้วเริ่มเข้าใจ แต่ขณะนี้สภาพของนามธรรม และรูปธรรมก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ขาดเลย แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับสักอย่างเดียว เพราะว่ากำลังฟัง และเริ่มเข้าใจเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง ค่อยๆ เริ่มจากฟังไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น และปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา โสภณเจตสิกทั้งหลายก็กำลังค่อยๆ อบรมให้มีกำลังเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่า ให้เข้าใจ ให้ศึกษาว่า ไม่ใช่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ให้ทำอะไรเลย

    ผู้ฟัง ฟังแล้วเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเพิ่มขึ้น เข้าใจ้พิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้ก็มี ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดธรรมเลย แล้วธรรมก็เกิดดับไปโดยไม่รู้

    ผู้ฟัง แล้วควรจะสังเกต สำเหนียกไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ จะทำ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ทำ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจดีไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจดีกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจ เข้าใจไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ค่อยๆ เข้าใจ ความหมายลึกซึ้งแค่ไหนอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังมากี่ครั้งแล้ว

    ผู้ฟัง หลายครั้งแล้ว

    ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็มีบ้างเล็กน้อย แต่ก็เล็กน้อยมาก

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้น คือค่อยๆ จะให้ตอบว่าอย่างไร แล้วเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง บ้าง

    ท่านอาจารย์ นั่นคือค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะให้ทำอย่างไรอีกไม่ทราบ

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กรุณาตอบตอนนี้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งที่กราบเรียนว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ที่บอกว่าจะให้ค่อยๆ เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจเลยได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ แต่ถามท่านว่า ตรงที่ค่อยๆ กับสิ่งที่ปรากฏขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เวลานี้หมายความว่ายังไม่ค่อยเลย

    ผู้ฟัง ยังค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความจริงก็คือกว่าจะค่อยๆ นานแค่ไหน แม้แต่ฟัง รู้ว่าเป็นธรรม ไม่มีใครสักคนในสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าสิ่งนี้ที่จะปรากฏได้ เมื่อกระทบจักขุปสาท และมีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไปเลย เร็วแสนเร็ว ฟังแค่นี้ จะประจักษ์การเกิดดับ หรือเริ่มจะเข้าใจว่า ไม่มีเราที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้กระทบกับจักขุปสาท ไม่มีใครทำให้จิตเห็นกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หลายปัจจัยด้วย ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว เพราะความไม่รู้มากมายเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ปรากฏแท้ๆ ไม่รู้เพราะอวิชชา แต่ถ้าเป็นผู้ที่สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ปัญญาสมบูรณ์ สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป มิฉะนั้นก็ยังคงเป็นเราอยู่นั่นแหละ แต่ว่าหนทางก็คือเข้าใจ ในภาษาไทย ความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ ปัญญา ก็เป็นอีกคำหนึ่ง ซึ่งจะมีไม่ได้เลย ถ้าในภาษาไทยไม่มีคำว่า “เข้าใจในสิ่งที่ฟัง”

    ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังฟัง ค่อยๆ หรือเปล่า กว่าจะเริ่มเข้าใจบ้างว่า ขณะนี้สิ่งนี้มีจริงๆ ปรากฏแน่นอน ไม่มีใครมาสร้าง มาทำ มาหลอก แต่ว่ากำลังมีเห็นสิ่งนี้อยู่ แต่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นใครสามารถให้เรา หรือว่าบุคคลทั้งหลายเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏว่า สิ่งที่ปรากฏเกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิด ปรากฏไม่ได้ และต้องมีจิตซึ่งเป็นนามธรรมที่กำลังเห็นสิ่งนี้ด้วย สิ่งนี้จึงปรากฏ ปรากฏแล้วก็ไม่ยั่งยืน ตามความเป็นจริงก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาบารมี สามารถที่จะตรัสรู้ความจริง ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นก็เปรียบเทียบปัญญาของผู้ที่เพิ่งฟัง สามารถที่จะเห็นได้ เข้าใจได้ไหมว่า นี่คือพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ และถ้าอบรมเจริญปัญญา ก็มีผู้ที่เป็นสาวก สามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส ไม่มีความสงสัยใน ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไถ่ถอนความเป็นเรา ซึ่งถ้าจะกล่าวก็คือ ติดแน่นอยู่ในจิต จะต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นที่ค่อยๆ เข้าใจ จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ และอย่างนี้จะเรียกว่า ค่อยๆ หรือเปล่า ทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ เหมือนจับด้ามมีด ค่อยๆ สึก หรือเปล่า พอจับทีเดียวก็สึกเลย หรืออย่างไร แล้วเห็นไหมความค่อยๆ สึกของด้ามมีด มองเห็นไหม ไม่เห็นเลย ด้ามมีดสึกเมื่อไร จึงเห็นได้ว่า เพราะมีการจับ และด้ามมีดจะสึกทีเดียวให้เห็น เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจากความไม่รู้เลย ความติดข้อง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจจากขั้นการฟัง ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่เพียงฟัง และใครก็จะแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม แต่จากการค่อยๆ เข้าใจ ก็จะรู้ว่า ปัญญามีหลายระดับขั้น ทั้งๆ ที่พูดเรื่องเห็น และเห็นก็มี เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับ ก็ยังไม่รู้เลยในความเป็นจริงของธรรมที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เช่นเดียวกัน ปรากฏสั้นแสนสั้น ประมาณไม่ได้เลยว่าสั้นแค่ไหน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูปนิมิตของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ

    เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม ก็ต้องอาศัยปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ

    ค่อยๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็กำลังค่อยๆ อยู่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ คงไม่ถามว่าค่อยๆ อย่างไรอีกแล้วใช่ หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่ ยิ่งฟังก็ยิ่งยาก ยิ่งฟังก็ยิ่งเริ่มรู้สึก

    ท่านอาจารย์ เพราะเริ่มเข้าใจขึ้น ใครที่กล่าวว่า ยิ่งยาก เพราะเริ่มเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ ที่อาจารย์บอกว่า เป็นตาไปกระทบกับรูป ตรงนั้นเป็นการเห็น

    ท่านอาจารย์ มีใครไปทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้เกิดได้ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ที่กล่าวว่าไม่ได้ คือ ความหมายของอนัตตา ถ้าเป็นภาษาบาลี เวลาเราเรียนภาษาบาลี เหมือนเราเข้าใจคำแปล แต่เวลาเราพูดภาษาไทย เป็นความเข้าใจของเรา เหมือนต่างหากจากภาษาบาลี ความจริงมีความหมายเหมือนกันไหมที่กล่าวว่า ไม่ได้ ใครก็ทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดไม่ได้ ภาษาบาลีจะใช้อย่างนี้ หรือเปล่า ก็ไม่ได้ แต่ใช้คำว่า “อนัตตา” หมายความว่า บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธาตุ หรือเป็นธรรม ที่มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น

    นี่คือเข้าใจความหมายของคำว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นต้องมีปัจจัยให้เกิด เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง สิ่งที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนเลย ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย

    แค่นี้ก็ไม่รู้ใช่ หรือไม่ แต่ผู้รู้สามารถจะรู้อย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งยากขึ้น เพราะอะไร เพราะเข้าใจถูกต้องขึ้น เริ่มรู้ถูกต้องว่า ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะรู้ได้โดยง่าย แต่มีผู้รู้ และมีผู้ที่ทรงแสดงหนทางให้ผู้อื่นรู้ด้วย จึงทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นกราบนมัสการแต่ละครั้ง ไม่ทราบกราบนมัสการอะไร ถ้าไม่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้อะไร ความจริงทั้งหมดทุกขณะอย่างละเอียด โดยประการทั้งปวง และทรงแสดงตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    ผู้ฟัง ระหว่างคนตาบอดสีกับคนปกติ คนตาบอดสี สิ่งที่เห็นก็จะไม่เหมือนคนปกติใช่ หรือไม่ อยากจะถามว่า สภาพจิตของคน ๒ คนนี้ จิตเห็นจะต่างกัน หรือไม่

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นทำหน้าที่อะไร

    ผู้ฟัง ทำหน้าที่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะตาบอดสี ไม่บอดสี จิตเห็นก็ทำหน้าที่เห็น

    ผู้ฟัง สภาพของจิตจะเหมือนกัน หรือต่างกัน อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือผู้ถามรู้สึกว่าตาไม่บอดสี แล้วรู้จักตัวเองในขณะที่กำลังเห็น หรือไม่ หรือว่ากำลังเห็นก็ไปคิดถึงคนตาบอดสี ถ้ายังไม่รู้จักสภาพธรรมที่มีจริง ที่นี่ ขณะนี้ จะไปรู้ในขณะที่คิดถึงเรื่องคนตาบอดสีไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่า การศึกษาธรรม แม้แต่ฟังว่าศึกษาธรรม ดูเหมือนเข้าใจว่า ศึกษา ไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่น แต่ศึกษาธรรม ทีนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจ ถูกต้องไหม จึงได้ศึกษา พิจารณาธรรม และขณะนี้กำลังมีธรรมด้วย แล้วก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมที่มี แต่ไปคิดถึงธรรมที่ไม่มี และคิดว่าจะเข้าใจได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นตาบอดสี หรือไม่ใช่ตาบอดสี ไม่ว่าขณะที่เห็นตอนเด็ก จนกระทั่งถึงขณะนี้ และต่อไป เห็นมีจริงๆ และไม่ได้เปลี่ยนด้วย แต่ว่าเห็นตอนเด็กอาจจะชัดเจน พอถึงอายุมากขึ้นแก่แล้ว การเห็นก็ไม่ชัดเจนเหมือนตอนเด็ก จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ จะบอดสีไม่บอดสี จากสีที่เคยใสกระจ่าง มาเป็นสีที่ไม่ชัด เหลืองๆ หรือว่าไม่ได้เป็นสีเดิม ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปคิดว่า บอดสี หรือไม่

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเห็นที่ไหน ขณะไหน จากการที่มีเห็น จะใช้คำว่า กับเรา ก่อนที่จะได้ศึกษาธรรมก็ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดขึ้นมีปรากฏ ควรที่จะเข้าใจให้ถูก

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม จะมีความเข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องราวที่อื่นเลย แต่ขณะนี้ศึกษาธรรม เพราะเหตุว่าเข้าใจว่าเป็นตัวเรา แต่ความจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อศึกษาธรรม จะรู้ธรรมที่ไหน เมื่อไร ก็คือเมื่อขณะที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏ ถ้ามีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะอื่นจะเหมือนกัน หรือไม่ เป็นธรรม หรือไม่ ก็ต้องเป็นธรรม ซึ่งไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องเข้าใจแม้คำว่าศึกษาธรรม มิฉะนั้นเราก็ผิวเผินมาตลอด ศึกษาธรรมเป็นเรื่องราว จิต ๘๙ โลภมูลจิต ๘ และขณะนี้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    15 ม.ค. 2567