พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 322


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๒๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ ใครจะรู้ว่า ขณะนี้ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ พอเห็นแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย และก็ไม่ได้รู้ด้วยว่า เป็นธรรม ไม่ได้รู้ด้วยว่า เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าจากการฟัง ก็จะต้องค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องรู้ว่าฟังธรรม ไม่ใช่ฟังเรื่องอื่น ฟังธรรมที่มีเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม จนกว่าจะหมดการยึดถือว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง หทยรูปก็อยู่ที่ตัวเรา

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ปรากฏ ก็ไม่ได้รู้เลย ได้ยินแต่ชื่อ แล้วก็รู้ว่า กำลังอยู่ที่ตัวเรา ก็อยากรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง แล้วก็เป็นที่เกิดของจิต

    ท่านอาจารย์ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ถ้าในภูมิที่ไม่มีรูป จิตเกิดโดยไม่ต้องอาศัยรูปใดๆ เลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ยังสงสัยว่า ทำไมเป็นภายนอก

    ท่านอาจารย์ นี่ไง คือ แม้ทรงแสดงแล้วก็ยังสงสัย แม้ได้กล่าวแล้วว่า ในบรรดารูปทั้งหมด ขณะที่เห็นปรากฏ อาศัยอะไร สิ่งนั้นก็เป็นภายใน และจะนำอย่างอื่นมารวมอยู่ทำไม

    ผู้ฟัง แต่ขณะที่จิตเกิด ไม่ใช่จิตทั้งทวารทั้ง ๕ ก็ต้องอาศัยหทยรูปเป็นที่เกิด

    ท่านอาจารย์ อาศัยหทยรูปเกิด แล้วรู้อะไร

    ผู้ฟัง ก็รู้อารมณ์ที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีรูปที่เป็นภายในที่รู้อารมณ์ที่ปรากฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะสงสัย สงสัยทุกอย่าง ที่มีในพระไตรปิฎก

    ผู้ฟัง คือสงสัยว่า ภาวรูป รู้ได้ทางใจ ยังไม่เข้าใจ เพราะเราดูผู้หญิงผู้ชาย เราก็เห็น ใช่ หรือไม่ว่า นี้รูปร่างผู้หญิง รูปร่างผู้ชาย แต่ว่าในพระไตรปิฎกล่าวว่า ภาวรูปรู้ได้ทางใจ ก็ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่ตรง คุณหมอเห็นอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นเห็นอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นอิตถีภาวรูปได้ไหม ปุริสภาวรูปได้ไหม ซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัว ไม่ใช่สีสันวัณณะ ภาวรูปไม่ใช่สีสันวัณณะ

    ต้องเป็นผู้ตรงเท่านั้น ผู้ตรง คือ ขณะนี้เห็นอะไร นี้คือผู้ตรง ต้องตรงไปโดยตลอด เพราะฉะนั้นจิตเห็น เห็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ เป็นสีสันวัณณะ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบจักขุปสาท ปรากฏแล้วก็ดับไป แค่นี้ก็ยังไม่รู้เลย เพิ่งเริ่มที่จะฟังว่า ว่านี่คือปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และต้องตรงว่าเห็นอะไร ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ที่ไหน ก็ต้องเป็นสิ่งที่กระทบจักขุปสาทได้ และปรากฏ

    เมื่อวันก่อนที่สนทนาธรรม ก็มีผู้สงสัยเรื่องรูปพรหมจะเห็นอะไร ทำไมละ ก็จิตเห็นเป็นจิตเห็น ไม่ใช่รูปาวจรจิต จิตเห็น เป็นขณะนี้ที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น เกิดเห็นแล้วก็ดับไป จิตเห็นไม่ใช่เป็นรูปพรหม จิตเห็นยังคงเป็นกามาวจรจิต เพราะเห็นสิ่งที่เป็นรูปที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ก็คือว่า ไม่สับสน เข้าใจจริงๆ และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะเห็นที่ไหน อย่างไรก็ตาม ไปนึกถึงรูป นกเห็น แมวเห็น คนเห็น เทวดาเห็น ลืมว่า กำลังมีเห็นซึ่งไม่ใช่รูป แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถรู้สิ่งอื่นได้เลย นอกจากเห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ถ้าไม่ศึกษาอย่างนี้ ไม่สามารถละความเป็นตัวตนได้เลย ทุกอย่างยังรวมกัน และเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว โดยที่ว่าไม่เริ่มที่จะฟังว่า ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะต่างกันไป และเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยด้วย ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้จิตเห็นไปเห็นอิตถีภาวรูปได้ เพราะว่าไม่ใช่สีสันวัณณะ แต่ว่าซึมซาบมีอยู่ทั่วตัว

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์์ที่เคารพ ที่ว่ารูปภายใน หมายถึงร่างกายทั้งหมดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใช่ แล้วแต่ว่าเราจะหมายความถึงความหมายไหน ถ้าภายนอกหมายความถึงคนอื่น ภายในก็หมายความถึงที่ตัวที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา

    ผู้ฟัง คือความรู้สึกต่างๆ ในร่างกาย คือ ภายใน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ในกายทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ตัวใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ หรือว่าอยู่ที่คนอื่น

    ผู้ฟัง ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องถามท่านอื่น หรือไม่ว่า ภายใน หรือภายนอก

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องไม่ลืมว่า เพื่อเข้าใจ เป็นปัญญาของเรา ถ้าไม่เป็นปัญญา ไม่เป็นความเข้าใจ จะไม่มีประโยชน์เลย จะไปฟังอะไรมากน้อยสักเท่าไร ศัพท์แสง อัชฌัตตะ พหิตถะ ภายใน ภายนอก แต่ไม่ได้เข้าใจ โดยภาษาธรรมดาซึ่งเราสามารถเข้าใจถูกต้องได้ แต่ว่าไปติดคำซึ่งเราไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เกิดความสงสัยว่า แล้วภายในอยู่ที่ไหน ภายนอกอยู่ที่ไหน ซึ่งภาษาไทยธรรมดา เราก็เห็นได้ว่า ภายในอยู่ที่ไหน และภายนอกอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง คือการเห็น คือเมื่อเห็นแต่ละอย่างๆ ให้ระลึกถึงสี

    ท่านอาจารย์ ขอโทษนิดหนึ่ง ใครให้

    ผู้ฟัง คือไม่มีใครให้ คือ เป็นธรรมชาติที่เห็น

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้ที่เห็น เราทำขึ้นมา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสติจะเกิด เราไปทำให้สติเกิด หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะไปให้สติเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือการฟังธรรม แต่ไม่มีใครให้ทำอะไร ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อละความไม่รู้

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้เข้าใจว่า การเห็น เห็นเป็นสีสันต่างๆ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้ความคิดนึกไม่ใช่เป็นเช่นนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ก็ความคิดนึกก็คือคิด ไม่ใช่เห็น จะให้คิดนึกเป็นสีสันวัณณะที่ปรากฏขณะนี้ไม่ได้ คิดคือคิด เห็นคือเห็น

    ผู้ฟัง แต่เมื่อขณะที่ได้ฟังธรรมอยู่ ก็เข้าใจว่า เห็นต้องมีลักษณะอย่างนี้ๆ แต่ถ้าไม่ได้ฟังแล้ว เหมือนจะขาดสติ ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะฉะนั้นจะขาดการฟังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอนก็หลงลืมมานาน แล้วจะนำอะไรมาเข้าใจได้ ถ้าไม่ฟัง

    ผู้ฟัง และถ้าไม่ได้ฟัง ก็เหมือนกับต้องฝืนต้องบังคับตัวเองว่า ให้มีสติ ให้มีสติ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า แม้ขณะนั้นก็ยังไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ คือภาวรูปนี้เราไม่เห็นใช่ หรือไม่ เห็นแต่สีสันวัณณะ ทีนี้การที่เรารู้ว่า เป็นหญิง หรือชาย คือ เราจำรูปร่างสัณฐานแบบนี้ว่าเป็นหญิง หรือเป็นชาย แล้ว เราก็ไปคิดว่า เราเห็นเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย อย่างนี้จะเข้าใจถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ถามใคร ไม่ใช่ให้คนอื่นยืนยัน ไตร่ตรองแล้วความจริงเป็นอย่างนั้น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง คือไม่แน่ใจว่า เข้าใจอย่างนี้ เข้าใจถูก หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ต้องฟังให้เข้าใจว่า เห็นอะไร แล้วเปลี่ยนไม่ได้ หรือว่าเปลี่ยนได้

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเห็นสี แต่ก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชาย โดยที่เราไม่เห็นสภาวรูป

    ท่านอาจารย์ ไม่สามารถจะเห็นอิตถีภาวะได้เลย ที่บ้านมีตุ๊กตาไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ผู้หญิง หรือผู้ชาย

    ผู้ฟัง ก็แล้วแต่การที่เขาทำมาแล้วแต่งตัว

    ท่านอาจารย์ ก็นั่นละ ถึงได้ถามว่า ที่บ้านมีตุ๊กตาไหม และตุ๊กตาที่ว่ามีที่บ้าน ผู้หญิง หรือผู้ชาย

    ผู้ฟัง จริงๆ ไม่เป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย แต่เราไปคิดว่า เป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย

    ท่านอาจารย์ ก็เหมือนกับเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏ เหมือนเห็นตุ๊กตา แล้วคิดว่าเป็นหญิง หรือชาย เพราะฉะนั้นจะไปเห็นภาวรูปได้ไหม ในเมื่อตุ๊กตาไม่มีภาวรูปเลย แต่ยังกล่าวว่า นี่หญิง นั่นชาย ยิ่งหุ่นยนต์ หรืออะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้ก็ทำให้เหมือนมากเลยก็ได้ อย่างตุ๊กตาก็ทำให้เหมือนมากเลย ยิ่งหุ่นขี้ผึ้งซึ่งทำให้เหมือนมากเลยก็ได้ ไม่รู้เลยว่า คนจริง หรือไม่ แล้วขณะนั้นจะกล่าวว่า เห็นอิตถีภาวรูป ปุริสภาวรูปได้ไหม ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เห็นได้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    อ.ธิดารัตน์ เรียนท่านอาจารย์ วันนี้มีโอกาสได้คุยกับสหายธรรมด้วยกัน เขาก็มีคำถามว่า ทำอย่างไรจะพิจารณาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม คือ ปกติเขาจะคิดว่า เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมอยู่เสมอ แล้วจะคิดอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงลักษณะได้

    ท่านอาจารย์ ยังมีใครคิดจะทำบ้างไหม

    อ.ธิดารัตน์ คิดจะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คิดจะเข้าใจ ถ้าไม่ฟังแล้วจะเข้าใจไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่มีหนทางใดเข้าใจได้ หมายความว่าต้องฟังจนกว่าจะมั่นคง เป็นปัจจัยให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังมากน้อยแค่ไหน ก็คือขณะนั้นเข้าใจตามความเป็นจริง จะให้เข้าใจเกินกว่านั้นได้ไหม

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ที่ว่า ฟังจากคำบรรยายใช้คำพูดว่า ก่อนที่จะเป็นกุศล หรืออกุศล ชาติจะต้องเป็นกิริยาก่อน ทั้งทางปัญจทวาร และทางมโนทวาร กราบขอความเข้าใจท่านอาจารย์ตรงจุดนี้

    ท่านอาจารย์ คือการฟังธรรมก็ต้องพิจารณาว่า เราจะติดที่คำไม่ได้ จะใช้คำว่า ตัดสิน หรือไม่ตัดสิน ก็ตามแต่ แต่เข้าใจลักษณะของจิตซึ่งเกิดก่อนชวนะ เกิดก่อนกุศล และอกุศลไหม หมายความว่า จิตที่จะเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะนี้เราจะไม่รู้เลยว่า จิตไหนเกิดแล้วดับไป แล้วจิตอะไรเกิดสืบต่อ แล้วจิตที่เกิดก่อนเป็นชาติอะไร แล้วจิตที่เกิดต่อเป็นชาติอะไร ไม่ใช่วิสัยที่จะรู้ในขณะนี้ ทั้งหมดที่เราเรียนเป็นความละเอียดที่ทรงแสดงให้เห็นว่า จิตแต่ละขณะต่างกันตามเหตุตามปัจจัย เพื่อไม่ให้ยึดถือว่าเป็นเราสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรกที่เกิด ไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน ไม่ได้ทำกิจคิดนึก แต่ทำปฏิสนธิกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ซึ่งจะเป็นกุศลจิต และอกุศลจิตไม่ได้

    นี่คือการจะเข้าใจเหตุผล ไม่ใช่มีใครไปบันดาล และจัดแจงให้เป็นหมวดหมู่ และให้ศึกษาให้จำ แต่ความเป็นจริงของสภาพธรรมก็คือว่า เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลหนึ่งในชาติหนึ่ง กรรมที่จะทำให้จิตเกิดสืบต่อก็แล้วแต่ว่า เป็นกรรมใดที่จะประมวลทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเป็นไปในภพภูมิต่อไป ด้วยปฏิสนธิจิตที่เกิดสืบต่อ แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลประเภทใด หรือว่าเป็นผลของอกุศล

    เพราะฉะนั้นพิจารณาขณะนี้ก็ต้องเข้าใจตามลำดับว่า เป็นวิบาก จะให้เป็นกิริยาได้ไหม จะให้เป็นกุศลได้ไหม จะเป็นอกุศลได้ไหม ก่อนที่เราจะพิจารณาถึงจิตอื่นๆ ตามลำดับ เราก็พิจารณาได้ว่า ต้องเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมตามเหตุตามปัจจัย ๑ ขณะเกิดขึ้น จะเปลี่ยนขณะที่กรรมทำให้จิตที่เป็นวิบากนั้นเกิด แล้วให้เป็นวิบากอื่นได้ หรือไหม ทันที ไม่ได้เลย แต่กรรมก็ยังทำให้วิบากประเภทเดียวกับที่ทำกิจปฏิสนธิ คือ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จะเป็นสัตว์ เป็นเทพ เป็นพรหม หรือเป็นมนุษย์ หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น จากกรรมนั้นที่ให้ผล ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้วิบากประเภทเดียวกันนั้นแหละเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติ ยังไม่ให้สิ้นสุด เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อ เป็นผลของกรรมเดียวกัน เมื่อเป็นผลของกรรมก็เป็นวิบาก แล้วก็ต้องจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตด้วย เปลี่ยนไม่ได้เลย จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้าย ก็ต้องดำรงความเป็นบุคคลนั้นไว้ เป็นชาติอะไร ชาติวิบาก ยังไม่มีการเห็น ยังไม่มีการได้ยินใดๆ เลยทั้งสิ้น และกรรมก็จะให้ผลอย่างนั้นไปจนกว่าถึงกาลที่จะทำให้มีการเห็น หรือการได้ยิน หรือการคิดนึก ก็แล้วแต่ แต่ถ้าเป็นการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทั้งหมดเป็นผลของกรรม เพราะว่ากรรมจะทำให้เพียงปฏิสนธิ แล้วเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติ โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่อะไรเลย เป็นไปไม่ได้เลย จะเป็นผลของกรรมอะไรเมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่รู้อะไรทั้งหมด จะชื่อว่า เป็นผลของกรรมที่จะได้รับในชาตินั้น หรือเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น ถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ทางตา หรือหู จมูก ลิ้น กาย เลือกได้ไหม นี้คือแสดงความเป็นอนัตตา และกรรมก็ทำให้รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ ให้เห็น หรือให้ได้ยิน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือกรรมทำให้จักขุปสาทรูปเกิด โสตปสาทรูป ฆานปสาทรูป ชิวหาปสาทรูป กายปสาทรูปซึ่งซึมซาบอยู่ทั่วตัวเกิด

    จิตทำให้กัมมชรูปเกิดได้ไหม มีใครอยากให้จักขุปสาทรูปเกิด แล้วจักขุปสาทรูปก็เกิดได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย รูปใดที่เกิดจากกรรม เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด ถ้ากรรมเป็นปัจจัยไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่า รูปใดเกิดขึ้นเพราะกรรม เพื่ออะไร มีจักขุปสาทเพื่ออะไร เพื่อเห็น แล้วจิตเห็นเป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น เลือกไม่ได้ ถ้ากรรมนั้นขณะนั้นให้เห็นสิ่งนั้น ถ้าเป็นเสียงถึงกาลที่กรรมจะทำให้ได้ยินเสียง เสียงก็มีทั้งเสียงที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ ใครเลือกได้ และเสียงนั้นยังไม่ดับ เพียงเกิดแล้วมีอายุ ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ โสตปสาทก็มีอายุ ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ กระทบกันเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรมเกิดขึ้น แต่ว่าขณะที่เป็นภวังค์อยู่ จะให้จิตได้ยินเกิดขึ้นทันที เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นภวังค์ ต้องสิ้นสุดกระแสภวังค์เสียก่อน แล้วจิตอื่นจึงจะเกิดได้

    ด้วยเหตุนี้เมื่อมีอารมณ์กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเราไม่รู้เลย แต่เมื่อกระทบแล้ว ภวังค์ไหว ที่จะสิ้นสุดกระแสภวังค์ ที่จะรู้อารมณ์ใหม่ เพราะกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบปสาทรูปนั้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อสิ้นสุดกระแสภวังค์แล้ว ความละเอียดก็คือว่า จากชาติที่เป็นวิบากซึ่งดำรงภพชาติ แล้วจะเปลี่ยนเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใดโดยทันที เป็นไปไม่ได้ ต้องมีจิตที่เป็นชาติกิริยาเกิดคั่น ทำอาวัชชนกิจ คือ นึกถึงอารมณ์ที่กระทบ ขณะแรกเลยที่เป็นวิถีจิต

    เพราะฉะนั้น จึงต้องทราบว่า จิตมี ๒ ประเภทใหญ่ คือ ที่เป็นวิถีจิต กับไม่ใช่วิถีจิต จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตก็คือ ปฏิสนธิจิต จิตขณะแรกที่เกิดในภพนี้ จุติจิต จิตขณะสุดท้าย ก็เป็นผลของกรรมเดียวกัน ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ตายไม่ได้ เพราะจิตเกิดขึ้นดำรงภพชาติทำภวังคกิจ

    เพราะฉะนั้น ภวังคกิจ เป็นกิจหนึ่ง ซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิจิต แล้วจะไปทำหน้าที่อื่นไม่ได้ นอกจากหน้าที่ของภวังค์ ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด

    เวลาที่วิถีจิตจะเกิด วิถีจิตแรกยังไม่ใช่วิบาก ต้องเป็นเพียงจิตที่สามารถจะรู้อารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ ถ้าเป็นจิตที่สามารถจะรู้สิ่งที่ไม่ดี จิตนั้นต้องเป็นอกุศลวิบากแล้ว ถ้าเป็นจิตที่สามารถรู้สิ่งที่ดี จิตนั้นต้องเป็นกุศลวิบาก แต่ในขณะนั้นยังไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินเลย เพียงแต่เมื่อมีอารมณ์กระทบ ซึ่งอารมณ์นั้นจะเป็นอิฏฐารมณ์ก็ได้ อนิฏฐารมณ์ก็ได้ ด้วยเหตุนี้จิตที่เกิดขึ้นเป็นวิถีจิตแรก เพราะภวังค์สิ้นสุดแล้ว เกิดขึ้นโดยอาศัยภวังค์ก่อน เป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิตที่เกิดสืบต่อรู้ว่า อารมณ์กระทบ แต่ยังไม่รู้ ยังไม่สามารถเห็น หรือได้ยิน ก็ตามแต่ อารมณ์ที่ดี หรือไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นกิริยาจิต

    อย่างนี้ก็ไม่น่าสงสัย ใช่ไหม ใครจะไปเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ แล้วพอถึงโวฏฐัพพนจิต ก็เช่นเดียวกัน จากวิบากจิต ซึ่งเป็นจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ที่จะเป็นกุศล หรืออกุศล เปลี่ยนชาติ ก็ต้องมีจิตที่เกิดคั่น เป็นกิริยาจิต แล้วถ้าเป็นทางปัญจทวาร ก็เป็นโวฏฐัพพนจิต จะแปลว่าอะไร จะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ให้ทราบว่า มีจิตซึ่งเกิดทำกิจนั้น กิจนั้นจะแปลว่าอะไรก็ตาม แต่ถ้ากิจนั้นไม่เกิด กุศลจิต และอกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ เพราะว่ากุศลจิต และอกุศลจิตไม่ใช่วิบากจิตที่เกิดขึ้นสืบต่อ โดยเป็นผลของกรรม แต่กุศลจิต และอกุศลจิต ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นไปตามการสะสมที่ได้สะสมมา

    เพราะฉะนั้นถ้าได้สะสมมา ที่ขณะนั้นจิตที่เกิดก่อนที่ทำโวฏฐัพพนกิจ เป็นกิริยาจิต ดับไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่าขณะต่อไปจะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ก็ต้องกราบท่านอาจารย์ที่จะกล่าวว่า คำบรรยายของท่านอาจารย์ละเอียด คือ ได้เน้นมาเลยว่า ก่อนที่วิถีจิตจะเกิด ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือทางมโนทวาร วิถีแรกก็จะต้องเป็นกิริยาจิต ใช่ไหม หรืออย่างโวฏฐัพพนะที่จะเกิดก่อนกุศล อกุศล เป็นกิริยาจิต แล้วถ้าเป็นทางมโนทวาร ก็ต้องเป็นมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นกิริยาจิตที่ต้องเกิดก่อนกุศล หรืออกุศลด้วย คือ ตรงนี้ดิฉันคิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครที่จะคิดได้ นอกจากฟัง แล้วก็รู้ว่าสภาพของจิตเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง เป็นความละเอียดที่ท่านอาจารย์กรุณานำมาให้เห็นว่า ต้องมีกิริยาจิตก่อนจะมีกุศล หรืออกุศลเกิดขึ้น ก็กราบเท้าท่านอาจารย์

    ผู้ฟัง ไม่ทราบว่า ฟัง หรือศึกษาอย่างไร ท่านอาจารย์ฟังก่อนเดี๋ยวจะว่าเป็นวิธีการ คือ ฟัง หรือศึกษาอย่างไร ไม่ให้เราไปติดในชื่อ หรือติดในเรื่องราว จนกระทั่งเราไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ

    ท่านอาจารย์ คือฟังเรื่องจิต เข้าใจคำว่า “จิต” จิตมีประเภทเดียว หรือหลายประเภท

    ผู้ฟัง หลายประเภท

    ท่านอาจารย์ หลายประเภท ต่างกันทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถูกต้อง หรือไม่ เพราะว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ขาดจิตเลยสักขณะเดียว แล้วแต่ว่าจิตเกิดขึ้นทางตาเห็น หรือจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง หรือจิตเกิดขึ้นได้กลิ่น จิตเกิดขึ้นลิ้มรส จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย หรือจิตคิดนึก เท่านี้ทุกๆ วัน ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เกิน ๖ ทาง

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เราอยู่ตรงไหน และสามารถจะรู้ได้ขณะนี้ที่กำลังเห็น อาศัยตา นี่ก็รู้จิตประเภทหนึ่งแล้ว ขณะที่ได้ยิน จิตไม่ใช่เห็น แต่ได้ยิน อาศัยอะไร อาศัยหู ก็อีกประเภทหนึ่งแล้ว ฟังให้เข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่ใช่ตัวเราสักขณะเดียว แล้วชื่อก็ค่อยๆ จำได้ เพราะเข้าใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปท่องโดยไม่รู้เรื่อง โดยไม่เข้าใจ แต่จากการฟังเข้าใจการเกิดดับสืบต่อของจิต ซึ่งใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และปัญญาของใครจะรู้ได้แค่ไหน หรือว่าเริ่มเข้าใจ แต่ยังไม่ได้รู้จักตัวจิต ทั้งๆ ที่พูดถึงจิตตลอดเวลา แล้วจิตก็เกิดขึ้นตลอดเวลาด้วย

    ในขณะนี้ น่าอัศจรรย์ไหม จิตประเภทหนึ่งเกิดขึ้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วก็ดับไป เร็วมาก ไม่มีใครสามารถไปรู้ได้เลย จิตอื่นก็เกิดสืบต่อแล้ว มีเจตสิกตามประเภทของจิตนั้นๆ แล้วก็ดับไปแล้ว ก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อให้เกิดความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญาเจตสิกที่จะละความไม่รู้ สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือเป็นเรา เป็นตัวตน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้ก็เข้าใจ แต่จริงๆ แล้ว จะเป็นว่า มีเราที่ไปศึกษา และจำเรื่องราวที่ฟัง ไม่ยอมรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่เห็น ได้ยิน ท่านอาจารย์ก็กล่าว แต่ว่าฟังแล้วเหมือนกับไม่รู้ตรงนั้น แล้วก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน อยู่อย่างนี้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    15 ม.ค. 2567