พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 349


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๔๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ ให้รู้ ให้เข้าใจว่า ขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งนั้น เช่น เห็น เราใช้คำว่า เห็น เพราะเหตุว่าต้องอาศัยตา แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น คือ เริ่มที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้เป็นธรรม นี่คือประโยชน์ของการฟัง เพื่อแทนที่จะคิดเรื่องอื่น ขณะที่ฟังธรรม ก็มีธรรมปรากฏให้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เป็นแต่เพียงชื่อ แต่ต้องอาศัยชื่อ และชื่อแต่ละชื่อ เราเข้าใจจริงๆ หรือยัง แม้แต่คำว่า “ภวังค์” ก็ฟัง รู้ว่า ขณะใดก็ตามที่ไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีจิตไหม ลองคิดดู ขณะนี้ถ้าไม่ได้ฟังธรรม คิดว่าไม่มีเลย จิตที่จะไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะมี หรือ แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงการเกิดดับสืบต่อของจิตแต่ละขณะ ซึ่งเป็นความต่างกัน เพื่อให้เห็นว่า ตลอดชีวิตก็คือจิต ซึ่งไม่ใช่วิถีจิต ขณะที่ไม่รู้อารมณ์ใดๆ เลยนั้นมี นอนหลับสนิท เห็นได้ชัดว่ามี แต่แม้ขณะนี้กำลังเห็น ไม่ใช่กำลังได้ยิน เพราะว่าเห็นต้องอาศัยจักขุปสาท ได้ยินต้องอาศัยโสตปสาท ได้ยินเสียงปรากฏ สีสันวัณณะไม่ได้ปรากฏเลย เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏ แต่เสียงไม่ได้ปรากฏเลย

    ก่อนที่จะมีการเห็น และได้ยินเกิดดับสลับกัน ขณะนั้นต้องเป็นภวังคจิต เพราะเหตุว่ารูปทุกรูปซึ่งปรากฏต้องดับ รูปที่ปรากฏเพราะเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วดับไป คือ ฟังธรรมขอให้คิดถึง และเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เป็นชื่อ และไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็นชีวิตจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งใครรู้ลักษณะของภวังคจิตบ้าง รู้ หรือไม่ ไม่รู้เลย ก็จะเข้าถึงความหมายที่ว่า ธรรมคือจิต เจตสิก รูป เกิดดับเร็วแสนเร็ว ไม่สามารถที่จะประมาณได้ จึงไม่รู้ความต่างของขณะเช่นขณะเห็น โดยคร่าวๆ ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน

    เมื่อรูปที่ปรากฏทางตาดับ ได้ยินจะเกิดสืบต่อทันทีไม่ได้เลย จะต้องมีภวังคจิตเกิดคั่น ในขณะนี้เองให้มีความเข้าใจว่า แม้ว่าจิตจะเกิดดับสืบต่อเร็วแสนเร็วประการใดก็ตาม แต่ก็เป็นสภาพของจิตแต่ละประเภท ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแต่ละทางเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วจะได้เข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรม” ไม่ว่าใครจะพูดถึงคำว่า ธรรมที่ไหน เมื่อไร ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่มีลักษณะที่ต่างกันไป และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ว่าจะทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดอย่างไรก็ตาม เพื่อขณะที่ฟังขณะนี้สามารถเริ่มเข้าใจความจริงว่า เป็นจิตแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว และต้องไปตามลำดับขั้นด้วย เช่น หลังจากปฏิสนธิเกิดขณะแรกแล้วดับไป ต้องมีจิตเกิดสืบต่อ ไม่สืบต่อจะไม่มีขณะนี้เลย จะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ แต่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขาดจิตเลยสักขณะเดียว แต่ไม่รู้ความเป็นไปทั้งหมดของจิต จึงเข้าใจว่าเป็นเรา และเป็นเขา และเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่ถ้าเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ ต้องไปเข้าใจธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเปล่า ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมที่ยังไม่เกิด ถ้าขณะนี้ธรรมเกิดแล้วไม่เข้าใจ

    ขณะนี้ อย่างที่กล่าวว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น แสดงความเป็นธรรมว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ปฏิจจสมุปบาทเริ่มด้วยอวิชชา การไม่รู้ ธรรมต้องละเอียดมาก อย่าข้ามไปที่จะพูดถึงองค์ต่อๆ ไปของปฏิจจสมุปบาท แต่ผู้ที่จะเข้าใจธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ถ้าไม่รู้ว่าอวิชชา ไม่รู้อะไร จะศึกษาเรื่องอวิชชา หรือไม่ ก็หาไม่เจอ อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ แล้วไม่รู้อะไร และขณะนี้มีไหม ถ้าไม่มี ก็คือว่าจะกล่าวไปถึงสังขาร จะกล่าวไปถึงวิญญาณ ก็เป็นแต่เพียงชื่อ

    การเข้าใจจริงๆ จะทำให้สามารถเข้าถึงสภาพที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน

    อวิชชาไม่รู้อะไร มีอวิชชา หรือไม่ ตั้งแต่เกิดมา อวิชชามากไหม เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏเลย ขณะนี้มีอวิชชา หรือไม่ มี หรือไม่มี ตอบตามตำรา และตอบตามความคิด แต่ไม่ได้ตอบเพราะรู้จริงๆ ว่า ขณะนี้มีอวิชชา ถ้าตอบตามความเป็นจริง ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น มีเมื่อไร นี่คือความละเอียดของธรรม ที่แม้ว่าฟังดู ก็เหมือนกับไม่ยากอะไร แต่จริงๆ แล้วต้องเข้าถึงแม้แต่ขณะนี้มีอวิชชา หรือไม่ ถ้าตอบว่ามี มีเมื่อไร สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก เห็นเกิดแล้วดับ หรือไม่ ดับ ถ้าอย่างคร่าวๆ รู้ หรือไม่ว่าขณะนั้นเป็นธรรมซึ่งเกิดเห็นแล้วก็ดับไป

    นี่คือการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม จริงๆ พูดเรื่องจิต พูดเรื่องเจตสิก พูดเรื่องรูป แต่ก็ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงเลย แต่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรม ปริยัติ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น อย่าคิดว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้โดยง่าย โดยไม่มีเข้าใจมากกว่านี้ ก็จะไปนั่งคิด นั่งทำ แล้วก็คิดว่า ประเดี๋ยวก็คงจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือคิดว่ารู้แค่นี้ก็ไปอ่านพระไตรปิฎกได้ สามารถเข้าถึงอรรถของสภาพธรรม ตัวธรรมจริงๆ ได้ โดยไม่มีความเข้าใจขั้นพื้นฐาน นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นแล้ว ทรงแสดงการเกิดดับสืบต่ออย่างละเอียด ตั้งแต่ขณะที่เป็นภวังค์ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มี แล้วมีเมื่อเป็นวิถีจิตเท่านั้น และเมื่อวิถีจิตหมดแล้ว ก็ไม่มีอีก นี่คือความจริงซึ่งซ่อนเร้น เพราะความรวดเร็ว ขณะนี้เหมือนมีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่มีก่อน ไม่มีอะไรปรากฏ เมื่อเป็นภวังค์ แล้วก็มีทางหนึ่งทางใด แล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา สีสันวัณณะปรากฏ หรือเป็นทางหู เสียงปรากฏ หรือเป็นทางใจ คิดนึกเกิดขึ้น จากไม่มี แล้วมี แล้วก็ไม่มี อย่างรวดเร็วมาก แล้วก็มีภวังคจิตเกิดคั่นอยู่ตลอด ไม่สามารถรู้ถึงวิถีจิตแรกที่เกิดก่อนจักขุวิญญาณที่กำลังเห็น

    วิถีจิตแรกจะเห็นทันทีไม่ได้ หลังจากที่เป็นภวังค์ ภวังค์ ภวังค์ แล้วการที่เปลี่ยนจากภวังค์ เป็นมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ จะปรากฏทันทีไม่ได้เลย ต้องสิ้นสุดกระแสภวังค์ ภวังค์ขณะสุดท้าย คือ ภวังคุปัจเฉทะ มีชื่ออย่างนี้ บางคนอาจจะบอกว่าไม่อยากจำ ไม่อยากรู้ ขี้เกียจท่อง ไม่ต้องท่องเลย ภาษาไทย จิตที่ทำกิจภวังค์ขณะสุดท้าย ถ้าจะใช้ชื่อภาษาบาลีก็คือ ภวังคุปัจเฉทะ ถ้าภวังค์สุดท้ายไม่ดับ วิถีจิตเกิดไม่ได้เลย ก็ยังคงเป็นวิถีจิตไปเรื่อยๆ อย่างขณะที่นอนหลับสนิท ยังไม่ตื่น จะให้เป็นวิถีจิตได้ หรือไม่ ไม่ได้ ก็จะต้องเป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อไรภวังคุปัจเฉทะเกิดขึ้น กระแสภวังค์สุดท้ายดับไป จึงมีวิถีจิต หมายความว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ จากการไม่ปรากฏแล้วปรากฏมีขึ้น แล้วก็หมดไป

    ขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ละวาระ เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับเร็วมาก รูปที่กำลังปรากฏมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ไม่ต้องประมาณเลยว่าแค่ไหน แต่ว่าแสนเร็ว แล้วก็มีภวังค์คั่นหลายขณะ ก่อนที่จะมีวิถีจิตวาระต่อไปเกิดขึ้น

    การศึกษาธรรม ให้ทราบว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้ และเริ่มที่จะเข้าใจว่า แม้จะทรงแสดงธรรม เช่น อวิชชา ไม่ใช่ไกลเลย แต่ไม่รู้ เพียงเอ่ยชื่อว่า อวิชชา แต่ตัวจริงของอวิชชาก็คือว่า เห็นแล้วก็ไม่รู้เลย จึงเป็นกุศล และอกุศลตามการสะสม โดยที่เลือกไม่ได้เลย และก็ไม่รู้ด้วย เห็นดับแล้ว วิถีจิตที่เกิดสืบต่อดับแล้ว เป็นกุศล หรืออกุศล ต้องมีอยู่ ขณะที่ไม่รู้ ขณะนั้นเป็นกุศลไม่ได้ อวิชชามากแค่ไหน เห็นแค่นี้ นับการเห็นไม่ถ้วน

    อวิชชา คือ อกุศลจิตซึ่งมีอวิชชาเป็นปัจจัยนับไม่ถ้วน และวิชชา คือ การเริ่มที่จะรู้ เริ่มที่จะเข้าใจในขั้นของการฟังเท่านั้น ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนี้ กว่าจะเข้าใจได้ กว่าจะไม่คิดถึงเรื่องอื่น ไม่สนทนาเรื่องอื่น ถึงเวลาก็ได้ฟังธรรม ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ สะสม จนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ก็ให้ทราบว่า แม้พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ แสดงโดยละเอียด แต่ใช่ว่าเราสามารถที่จะรู้ถึงความละเอียด เช่น ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นวิถีจิตแรก ยังไม่มีการเห็น การได้ยินเลย เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับ วิถีจิตแรก คือ จิตที่นึกถึงอารมณ์ที่กระทบทวารหนึ่งทวารใด แล้วแต่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ๑ ขณะจิตเร็วแค่ไหนก็ไม่รู้ หลังจากนั้นถ้าเป็นทางตา ก็เห็นเดี๋ยวนี้เอง

    ก็ให้ทราบว่า ก่อนเห็น ต้องมีวิถีจิตแรก คือ จักขุทวาราวัชชนจิต ชื่อตามทวาร จักขุทวาร กับอาวัชชนะ จึงเป็นจักขุทวาราวัชชนจิต ซึ่งจักขุทวาราวัชชนจิตก็จะเกิดทันทีไม่ได้ ต้องเมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไป นี่คือสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถรู้ได้ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ก็คือการฟังให้เข้าใจสิ่งซึ่งกำลังมีในขณะนี้ จนกระทั่งค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่เข้าใจขึ้น จะเห็นว่าเป็นอนัตตาได้ หรือไม่ เหมือนเดิม กว่าจะชะล้าง ลอก อวิชชา ความไม่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันในแสนโกฏิกัปป์ที่สะสมมา ทุกขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ดับไปแล้วก็จริง แต่จากการเกิด และการดับไปนั่นเอง ก็เป็นสิ่งที่สืบต่อถึงขณะต่อไป เหมือนกับสิ่งที่ฉาบทาแน่นหนามากในจิตขณะต่อๆ ไป ที่จะเพิ่มขึ้นทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ก็เข้าใจได้ โดยที่ขณะนี้เอง ชื่อทุกชื่อ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ที่ฟังอาจารย์มา ไม่ทราบว่าผมจะเข้าใจถูก หรือเปล่า หมายความว่า อาจารย์ก็บอกให้พวกเราเข้าใจในขณะนี้ ไม่ต้องไปคิดถึงอย่างอื่นเลย เข้าใจว่าขณะนี้มีธรรมเกิด แล้วเราก็ฟังให้เข้าใจขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น

    ท่านอาจารย์ พูดเรื่องเห็น ในขณะกำลังเห็น ทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดีกว่าพูดเรื่องเห็น ในขณะที่ไม่ได้เห็น ใช่ หรือไม่ เวลาที่พูดถึงธรรม กำลังมีธรรม ให้เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง การเข้าใจอย่างนี้ คือ ฟังธรรมให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ นี่คือปริยัติ การศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่ต้องไปเข้าใจอย่างอื่นก่อน ก็เอาแค่นี้ก่อน

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แล้วยังไม่เข้าใจอื่น ก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคง ตอนนี้ถ้าพูดเรื่องอวิชชา พอจะรู้ใช่ หรือไม่ ไม่รู้อะไร หรือยังตอบไม่ได้ ไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แต่กำลังฟังเพื่อให้ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ขณะที่หลับ จะสนิท หรือไม่สนิทไม่รู้ แต่ถามทั่วไปว่า ขณะใดเป็นภวังคจิต และภวังคจิตเกิด หรือเปล่า วิถีจิตเกิด หรือเปล่า ในขณะหลับ และถ้าเกิด เกิดอย่างไร

    อ.วิชัย คือต้องเข้าใจว่า แม้ขณะนี้ก็มีวิถีจิตเกิดด้วย และมีภวังคจิตเกิดคั่นระหว่างวิถีจิตด้วย ขณะที่หลับ หมายความถึงขณะที่เป็นภวังค์ คือ ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นภวังคจิต แต่ขณะใดก็ตามที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต

    ผู้ฟัง อย่างนี้รูปที่ตัวเรา เกิดจาก ๔ สมุฏฐาน คือ อุตุ อาหาร จิต และกรรม และไม่ทราบว่า จิตตชรูปอุตุชรูป อาหารชรูป เขาก็เกิดทยอยเสมอ

    ท่านอาจารย์ สภาวรูปทั้งหมด ต้องใช้คำว่า สภาวรูป รูปที่มีภาวะลักษณะจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดจากสมุฏฐานหนึ่งสมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาทรูป ภาวะ ก็คือเป็นรูปที่สามารถกระทบกับธาตุที่กระทบกับจักขุปสาทได้ โสตปสาทรูปก็เป็นรูป แต่ต่างจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เพราะว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบกับธาตุเสียง ซึ่งสามารถกระทบกับโสตปสาทรูป รูปที่เป็นสภาวรูปทั้งหมดมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ

    ผู้ฟัง แล้วก็ทยอยกันเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ตามอายุ ที่ตัวของเราเหมือนกับเป็นก้อนแท่ง ทึบ ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ แล้วก็มีรูปแต่ละกลาปเล็กๆ เล็กมาก ที่เกิดจากสมุฏฐานแต่ละสมุฏฐาน รูปที่เกิดจากกรรม ไม่ได้เกิดจากจิต ไม่ได้เกิดจากอาหาร ไม่ได้เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากจิตก็ไม่ใช่รูปที่เกิดกรรม จะเป็นประเภทเดียวกันไม่ได้ เป็นรูปต่างประเภท แล้วเมื่อเกิดแล้วก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วก็ดับไป รูปไหนที่เกิดเมื่อไร ก็แล้วแต่ว่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปนั้นก็ดับไป แสดงการเกิดดับของรูปที่เร็วมาก เร็วเกินกว่าที่เราคิด หรือคาดหวัง ที่ตัวทั้งหมด เหมือนกับเรามีรูปของเรา แต่ความจริงรูปไหน รูปใดไม่ได้ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วหมด ไม่เหลือเลย แล้วมีอะไรที่เป็นของเราจริงๆ ทั้งนามธรรม และรูปธรรม รูปก็ไม่ใช่ของเรา มีอายุแค่ ๑๗ ขณะจิตแล้วก็ดับ นามธรรมก็ยิ่งเร็วกว่านั้นอีก เพียงเกิดขึ้น มี ๓ อนุขณะ แล้วก็ดับไป นี่คือว่างเปล่าจากการยึดถือว่าเป็นของใคร หรือเป็นใคร

    ผู้ฟัง การที่รูปนามเกิดดับเร็วมาก จนไม่เห็นการเกิดดับ ก็ทำให้ยึดว่า มีตัวตน สัตว์ บุคคล ซึ่งเมื่ออบรมปัญญาแล้ว เราก็สามารถทราบความจริงนี้ได้

    ท่านอาจารย์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่คนอื่นไม่รู้ กำลังเห็นนี่ทุกคนรู้ใช่ หรือไม่ ว่าเห็นเป็นธาตุ หรือเป็นธรรม เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีกด้วย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมา ก็จะไม่การเข้าใจธรรม หรือว่าชาตินี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจธรรม ก็คงเป็นความไม่รู้ตลอดไปตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกภพทุกชาติ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ได้สะสมอบรมการเห็นประโยชน์ของการที่จะมีชีวิตในโลกนี้ด้วยความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มี เพื่อที่จะได้รู้ว่า จริงๆ แล้วทุกคนเกิดมาแล้วก็ตาย นี่แน่นอนที่สุด จะช้า หรือจะเร็ว ไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่สภาพธรรมก็จะต้องเกิดดับสืบต่อเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าปัญญาสามารถรู้ความจริง และสามารถดับกิเลสได้ ก็จะถึงการสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ได้

    ผู้ฟัง ขั้นฟัง เราต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า รูปนามเกิดดับ ถึงแม้ว่ายังไม่ถึงปัญญาขั้นประจักษ์ แต่สามารถเข้าใจได้ว่า เห็น ได้ยิน ต้องเกิดแล้วดับ เพราะว่าไม่มีเห็น ได้ยินตลอดเวลา เพียงแต่เรายังไม่ทราบเท่านั้นเอง ยังไม่สามารถเข้าถึงตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ ขั้นฟังจะนำไปสู่ขั้นปฏิบัติ ปฏิปัตติ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิเวธ การศึกษาต้องตามลำดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติที่นี่ หมายความถึงการเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ที่หมดไปแล้ว หรือไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่ขณะใดก็ตาม สภาพธรรมมีให้รู้ และปัญญาสามารถรู้ เข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม เมื่อนั้นก็เป็นการอบรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งว่า ที่ทรงแสดงธรรมไว้ทั้งหมดเป็นความจริง

    ผู้ฟัง การเจริญสติปัฏฐาน เกิดยากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตาเราเห็น แต่เราก็ไม่รู้ สุขทุกข์ บางทีเราก็เผลอ ไม่รู้ เราก็หลงไปอยู่เรื่อยๆ ผมก็พยายามศึกษา ติดตามธรรมของท่านอาจารย์มาโดยตลอด แต่ก็ยังเอาดีไม่ได้ ตอนนี้ก็ยังหนาแน่นด้วยอกุศลมากมายไปหมด

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังให้เข้าใจ ต้องการอะไรอีก หรือว่าต้องการอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความเข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก็อกุศลอีก อยากให้สติเกิดบ่อยๆ วันละหลายๆ ครั้ง แต่ไม่ค่อยจะเกิด บางทีบางวันไม่เกิดเลย ถ้าผมไปเทปฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ ตอน ๖ โมงเช้าก็ดี ๖ โมงเย็นก็ดี ถ้าผมมีเวลา มีโอกาสก็เปิดฟัง ช่วงนั้นก็จะได้บุญ ได้กุศล กุศลจิตเกิดบ้าง ถ้าออกจากบ้านไป หรือไปทำภารกิจการงานอย่างอื่น มันไม่ค่อยจะเกิด

    ท่านอาจารย์ นี่คือความจริงใช่ หรือไม่ และอยากให้ไม่จริงอย่างนี้ หรือ จริงอย่างนี้ ขณะนี้คือยังจะต้องฟังให้เข้าใจขึ้น แต่จะอยากรู้สิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ เพราะว่ายังไม่เข้าใจพอ สิ่งนี้ที่จริง คือ ความเข้าใจระดับนี้ ก็จริงขณะนี้ จะต้องการสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงในขณะนี้ คือ จะอยากรู้สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะไม่มีเหตุพอที่จะรู้ หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง คงไม่มีเหตุพอที่จะรู้ หรือปัจจัย หรืออินทรีย์ผมคงจะอ่อนมาก

    ท่านอาจารย์ ก็ตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้มีเห็น กำลังฟังเรื่องนี้ เข้าใจแค่ไหน สามารถรู้ลักษณะที่กำลังเห็น หรือเปล่า หรือว่าเห็นขณะนี้เกิดดับ ไม่มีใครรู้เลย กำลังเพียงฟังเรื่องของเห็น ซึ่งเป็นจิตประเภทหนึ่ง

    จิตที่มากด้วยความคิด เพราะอะไร ขณะเห็น ไม่คิด กำลังเห็น คิดไม่ได้ ขณะที่ได้ยินก็ไม่คิด เพราะเหตุว่ากำลังมีเสียงปรากฏ คิดไม่ได้ แต่หลังจากเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายแล้ว คิดทั้งนั้น แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะคิดเรื่องอะไร ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ มีเหตุพอที่จะรู้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ในขณะนี้ หรือยัง ถ้าไม่มี ก็ฟังต่อไป เพื่อจะได้เข้าใจขึ้น เพราะว่าไม่ใช่เราที่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ต้องเป็นปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ถ้ายังเข้าใจไม่ได้ แล้วจะไปพยายาม แล้วไม่รู้สักทีหนึ่ง ก็คิดไปเรื่อยๆ แต่ว่าเหตุไม่พอที่จะให้รู้ความจริงอย่างนั้น

    อ.ธิดารัตน์ การศึกษาพื้นฐานพระอภิธรรม หรือศึกษาเรื่องจิต เจตสิก รูปที่เป็นปัจจัยซึ่งกัน และกันอย่างละเอียด ก็ทำให้เราค่อยๆ ที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรมในแต่ละขณะ ซึ่งแยกย่อยออกไป และละเอียดมาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 167
    15 ม.ค. 2567