ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130


    ตอนที่ ๑๑๓๐

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่ไม่รู้ทั้งหมดเป็นรูปธรรม เสียงมีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว เป็นขันธ์ เสียงไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นรูปขันธ์ ธรรมทั้งหมดที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่สามารถรู้อะไร ทั้งหมดเป็นรูปธรรม ซึ่งแสดงให้รู้ว่าเป็นรูปขันธ์ เพราะเกิดดับ

    สิ่งที่เกิดดับทั้งหมดเป็นขันธ์ โกรธมีจริงไหม ใครไม่รู้จัก ใครไม่มี แต่ไม่รู้ว่าโกรธไม่ใช่เรา โกรธเกิดขึ้นเป็นโกรธ เพราะมีเหตุที่จะให้โกรธเกิดขึ้น แล้วโกรธก็ดับไป เพราะฉะนั้นโกรธก็เป็นขันธ์ แต่โกรธเป็นสภาพรู้ เพราะรู้สึกโกรธ จึงเป็นนามธรรม โกรธเป็นนามขันธ์ แค่นี้ ค่อยๆ เข้าใจไป

    ต่อไปนี้ เราก็จะค่อยๆ เข้าใจละเอียดขึ้นว่า นามธรรมต่างกันไปอีกเป็นสองอย่าง คือ เป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เห็นแล้วชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ชอบหรือไม่ชอบ ไม่ใช่ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ซึ่งเราใช้คำว่า จิต ภาษาบาลีก็เป็น จิตตะ อยู่ที่ตัวตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยรู้เลยว่า ธาตุรู้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา หลากหลายมากแต่ละขณะ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด

    นามธรรม ก็แยกเป็นสองอีก คือ จิต กับ เจตสิก เจตสิกเป็นสภาพนามธรรม ซึ่งเกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้น อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นเจตสิกทั้งหมด

    เห็นเป็นจิต โกรธเป็นเจตสิก เห็นแล้วชอบ เห็นเป็นจิต ชอบเป็นเจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิต แยกกันไม่ออกเลย จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกัน เป็นธาตุรู้ รู้สิ่งเดียวกันด้วย เห็นอะไรก็ชอบสิ่งที่เห็น เห็นอะไรก็โกรธสิ่งที่เห็น ได้ยินเสียงอะไรก็ชอบ หรือไม่ชอบเสียงที่ได้ยิน ซึ่งขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด จะปล่อยวางอะไร เพราะฉะนั้น คำที่ได้ยินไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ตอนนี้ขันธ์ ๕ แยกเป็น รูปขันธ์ ๑ นามขันธ์ ๔ เพราะรูปขันธ์ทั้งหมดแต่ละรูปเป็นสภาพไม่รู้ เป็นประเภทหนึ่ง เป็นรูปขันธ์ ส่วนสภาพรู้ ในเมื่อขันธ์มี ๕ เป็นรูปขันธ์ ๑ ก็เป็นนามขันธ์ ๔ นามขันธ์ ๔ เป็นวิญญาณขันธ์ คือ จิต ๑ เพราะคำว่า จิต ธาตุรู้มีหลายชื่อ ชื่อ วิญญาณ จิต หทัย มโน มนัส ปัณฑระก็ได้ ตามลักษณะสภาพของธรรมนั้นๆ ซึ่งเราจะต้องเข้าใจแต่ละคำด้วย เพราะว่าแต่ละคำก็มีความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้รู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา แต่มีจริง กำลังเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ยับยั้งการเกิดการตายไม่ได้ ยับยั้งการเห็น การได้ยิน การคิดนึก ความชอบไม่ชอบไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็แค่รูปขันธ์ ๑ นามขันธ์ ๔ แล้วนามขันธ์ ๔ คือ วิญญาณขันธ์ ได้แก่ จิต ๑ อีก ๓ ขันธ์เป็นเจตสิก

    อ.จักรกฤษณ์ จริงๆ ชีวิตก็คือ รูปธรรม นามธรรม เป็นความเกิดขึ้นของรูปและนามประกอบกัน ถึงเป็นชีวิตตั้งแต่ต้น

    ท่านอาจารย์ แต่ว่า ความจริงธรรมละเอียดกว่านั้น ดอกไม้เป็นรูป ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีชีวิตหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มีชีวิต

    ท่านอาจารย์ ไม่มีชีวิต ต้องมีคำตอบทุกข้อ ซึ่งค่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ ๆ ตามลำดับ เพราะฉะนั้นถ้าเราข้าม ศึกษาเเบบโน้นบ้างนี่บ้าง หรือว่าอ่านพบข้อความนี้บ้าง ข้อความนั้นบ้างในหนังสือแต่ละเล่ม หรือที่เป็นพระไตรปิฎกแต่ละส่วน ไม่มีทางเข้าใจได้ ก็เข้าใจเผินๆ และไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่จะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ ต้องอธิบายโดยละเอียดยิ่งถึงการเกิดดับ ถึงการที่เป็นธรรมที่หลากหลาย และแม้แต่รูปธรรมเกิดดับ เป็นรูปขันธ์ และนามธรรมก็เกิดดับ เป็นนามขันธ์ แต่ทำไมเป็นรูปขันธ์ ๑ และนามขันธ์ ๔ ต้องมีเหตุผล

    ทุกอย่างต้องรู้ว่าเราอยู่ในโลกซึ่งใช้คำว่า กามโลก กาม หมายความว่า น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะฉะนั้น กามโลก คือ โลกซึ่งเต็มไปด้วยรูปที่น่าพอใจ เสียง กลิ่น รส มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ไม่รู้หรอกว่าเกิดมาต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ เพราะมีกรรมที่ทำให้เห็น เพราะว่าบางครั้งเห็นสิ่งที่ดี เป็นผลของกุศลกรรม บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม

    แสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่แม้แต่ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นอะไรเมื่อไหร่ รู้ได้เลยเป็นผลของกรรม บางคนเห็นเพชรนิลจินดา บางคนเห็นดอกไม้สวยๆ บางคนก็เห็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าพอใจเลย เห็นซากศพ หรืออะไรอย่างนี้ ก็แสดงว่าเเล้วแต่ขณะนั้นเป็นผลของกรรมอะไร ที่จะทำให้เห็นสิ่งนั้นก็ต้องเห็น

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ต้องเห็นหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ ต้องได้ยินหรือเปล่า เกิดมาเพื่อต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึกตามสิ่งที่เห็น สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เท่านี้เองคือ ชีวิตทั้งหมดไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง สิ่งที่มีชีวิต ต้องมีวิญญาณใช่ไหม ตายแล้ววิญญาณไปไหน

    ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่า วิญญาณ คือ ธาตุรู้ สภาพรู้ เดี๋ยวนี้กำลังมี เพราะถ้าไม่มีก็กลายเป็นศพไปหมด แต่เพราะเหตุว่ากำลังมีธาตุรู้ สภาพรู้ จึงยังเป็นสิ่งที่มีชีวิต

    ด้วยเหตุนี้ เกิดมาขณะจิตขณะแรกที่ว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิต ต้องมีจิตคือ สภาพรู้ และในภูมิ ภพภูมิ หรือในโลกที่มีรูป เสียง กลิ่น รส ก็หมายความว่าเป็นภูมิที่มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น มีจิต มีเจตสิก มีรูป ถูกต้องไหม ๓ อย่างเกิดแล้วก็ดับ สิ่งที่ดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้สิ่งที่เกิดสืบต่อเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับ ต้องมีจิตต่อไปเกิดสืบต่อทันที ที่เราใช้คำว่าเกิด ก็แสดงว่าตายแล้วเกิดทันที ถ้าเป็นผลของกรรมดีก็เกิดในที่ใช้คำว่า สุคติ คือ มนุษย์ หรือ ภูมิที่มี เราใช้คำว่าเทวดาพวกนี้ หมายความว่ายังมี รูปเสียง กลิ่น รส ที่เราคุ้นเคยอยู่ แต่ปราณีตกว่ามาก จึงใช้คำว่า สวรรค์ ที่น่ายินดีเพลิดเพลิน

    แต่ถ้าเป็นผลของกรรมที่สงบกว่านั้น ปราณีตกว่านั้น ก็เกิดเป็นพรหมอีกโลกหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ตายแล้วก็ต้องเกิด เหมือนเมื่อวานนี้หมดไปก็ยังมีวันนี้ วันนี้หมดไปก็มีพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น การเกิดดับเหมือนตื่นแล้วหลับ

    ผู้ฟัง ทราบมาว่า มีเด็กอายุ ๑๐ ปี สามารถพูดธรรมได้ อาจจะเป็นเพราะชาติก่อนเคยทำกรรมดีทำนองนี้ไว้ ใ่ช่ไหม

    ท่านอาจารย์ วันนี้ได้ยินคำว่า ธรรม พรุ่งนี้พูดคำว่า ธรรม ได้ใช่ไหม วันนี้ได้ยินคำว่า นามธรรม พรุ่งนี้ก็พูดคำว่า นามธรรมได้ วันนี้ได้ยินคำว่ารูปธรรม พรุ่งนี้ก็พูดคำว่ารูปธรรมได้ วันนี้ได้ยินคำว่ารูปขันธ์ เย็นนี้ก็พูดคำว่ารูปขันธ์ได้ หรือขณะต่อไปก็พูดได้ เพราะว่าสะสมสืบต่อไม่หายไปไหน

    กุศลและอกุศลอยู่ในจิต ไม่มีใครจะหยิบหรือทิ้งไปได้เลย สะสมไว้มากมายหลากหลายนานาประการ ซึ่งถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นปรากฏ ก็ไม่รู้ว่าสะสมมาที่จะคิดอย่างนี้ ที่จะจำอย่างนี้ ที่จะพูดอย่างนี้ ที่จะชอบอย่างนี้ แม้แต่สี เรารู้ใช่ไหมว่าเราชอบสีอะไร คนอื่นเขาอาจจะชอบคนละสี ไม่เหมือนกันเเล้ว เพราะคุ้นเคยกับการติดข้องพอใจในสีนั้น ถ้าชอบสีแดง รถยนต์ก็สีแดง เสื้อผ้าก็สีแดง ถ้าชอบสีฟ้า ทุกอย่างก็เป็นสีฟ้า เก้าอี้หรืออะไรๆ ก็เป็นสีฟ้า ก็สะสมมาทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นนิสัย เพราะฉะนั้น นิสัย หมายความว่า สิ่งที่ทำบ่อยๆ จนคุ้นเคย อุปนิสัย จนกระทั่งมีกำลังที่ทันทีที่เห็น มีดอกกุหลาบ ๕ สี เลือกดอกไหน

    ผู้ฟัง อาจจะเป็นเพราะกรรมที่ทำมาก่อน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ กรรมมี ซึ่งหมายความถึง เจตนา ความจงใจที่จะทำดีหรือชั่ว โดยกำลังของความจงใจสามารถที่จะทำให้ผล คือ จิตเกิดขึ้น เจตสิกเกิดพร้อมกัน และรูปเกิดด้วย เพราะฉะนั้น กรรมทำให้รูปของเราหลากหลายกันไปแต่ละคน

    ผู้ฟัง ตายแล้วไปเกิดใหม่ทันที ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทันทีเลย เหมือนเมื่อสักครู่นี้กับเดี๋ยวนี้เลย

    ผู้ฟัง เป็นสัตว์ หรือเป็นคน

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบ แล้วแต่กรรม ถ้าตราบใดที่ยังเป็นคนนี้ก็ยังไม่เรียกว่า ตาย กรรมสิ้นสุดที่จะไม่ให้เป็นคนนี้อีกต่อไปเมื่อไหร่ จิตขณะสุดท้ายดับ กรรมอื่นทำให้จิตอื่นเกิดขึ้นเป็นผล เรียกว่าเกิดทันที แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศล หรือเป็นผลของอกุศล ผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดคือพระอรหันต์ เพราะไม่มีกิเลส ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ว่า กิเลสทำให้เกิด ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ต้องเกิด

    ผู้ฟัง จิต กับ เจตสิก ต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า ธรรม คือ ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดเลย แต่ทั้งหมดแยกเป็นสองประเภท คือ รูปธรรม เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร กับนามธรรมเกิดขึ้นแล้วต้องรู้

    เพราะฉะนั้น นามธรรมที่เป็นใหญ่มาก ธาตุที่รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏคือธาตุหนึ่ง ใช้คำว่า จิต จิตตะ ใช้คำว่า วิญญาณ ก็ได้ เป็นธาตุรู้ เช่น เห็น ภาษาบาลีใช้คำว่า จักขุวิญญาณ เมืองไทยเรามีจักขุแพทย์ แต่ทุกคนมีจักขุวิญญาณในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ดอกไม้เห็นอะไรไหม ไม่มีมีแต่รูป แต่ไม่มีธาตุรู้ ธาตุรู้ที่เป็นใหญ่ คือ เห็นจริงๆ เห็นแจ้ง แม้สีเขียวก็มีทั้งเขียวอ่อน เขียวแก่ ฟ้ากับทะเลจรดกัน ก็ยังเห็นความต่าง นี่คือ ธาตุที่สามารถรู้แจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง เช่น กำลังเห็น หรือได้ยิน เสียงมีตั้งหลายเสียง แค่รับโทรศัพท์ก็รู้เลยว่าใครพูด เพราะความหลากหลายของเสียง เพราะจิตรู้แจ้งในแต่ละเสียงชัดเจน จึงรู้ว่าหลากหลาย เสียงดังเสียงเบาจิตก็รู้แจ้ง เพราะเป็นสภาพที่รู้แจ้ง แค่รู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่จิตไม่ได้โกรธ จิตไม่ได้ชอบ จิตไม่ได้ขยัน จิตไม่ได้ขี้เกียจ แต่ขยันก็มี ขยัน ความเพียร ความอดทน ทั้งหมดเป็นเจตสิก เป็นนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต ที่ใดมีจิต ที่นั่นต้องมีเจตสิก นามธรรมอีกชนิดหนึ่ง เป็นปัจจัยทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นเป็นประเภทนั้นๆ

    จิต กับ เจตสิก เป็นนามธรรม ไม่แยก จิตก็เกิด เจตสิกก็เกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นจิตและเจตสิก เป็นนามขันธ์

    เวลาที่เราพูดถึงขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ๑ นามขันธ์ ๔ โดยนามขันธ์ ๔ แยกเป็นจิต คือวิญญาณ ๑ เหลืออีก ๓ เป็นเจตสิก ๓ ประเภท เจตสิกทั้งหมดมีถึง ๕๒ ประเภท เดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ เป็นอย่างนี้แต่ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะไม่รู้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมี เพราะถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้ จิตกำลังเกิดดับก็ไม่รู้ เจตสิกเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตก็ไม่รู้ แต่กลายเป็นเราโกรธ เวลาความโกรธเกิดกับจิต กลายเป็นเราชอบ เวลาโลภะหรือความติดข้องเกิดกับจิต ก็เป็นเราไปหมด เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเป็นธรรม ซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นและดับไป ไม่เหลือ เป็นเราไม่ได้ เป็นของเราไม่ได้ มั่นคงในความเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย

    เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต ได้กลิ่นเป็นจิต เพราะกำลังรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ รสมีตั้งหลายรส รสหวาน รสเค็ม รสเผ็ด รสเปรี้ยว จิตกำลังรู้รสนั้นๆ รู้แจ้งในรสนั้นๆ แต่ชอบรสอะไร ชอบเปรี้ยว ชอบหวาน หรือชอบเค็ม ชอบเป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต

    เพราะฉะนั้น จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกัน และขันธ์ ๕ ก็ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป รูปเป็นรูปขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เหลืออีก ๓ จึงจะเป็น ๕ ขันธ์

    ทำไมทรงแสดงธรรมโดยความเป็นขันธ์ เกิดดับแสนเร็วสุดที่จะประมาณได้โดยใครก็ไม่รู้ นี่คือเริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าจะเกิดดับเร็วสักเท่าไหร่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงว่า เพราะการเกิดดับไม่ปรากฏ จึงติดข้องในสิ่งซึ่งเหมือนยั่งยืน อย่างเวลานี้เหมือนสว่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีผู้รู้ว่าไม่ได้สว่างตลอดเวลา ฉันใด เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏเหมือนยั่งยืน เเต่ความจริงแล้วกำลังเกิดดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ

    ดังนั้นสภาพธรรมที่เกิดดับแต่ไม่ปรากฏ จึงเป็นที่ตั้งของความยินดีความต้องการ รูป เราเกิดมาในภพภูมิ ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยสี เสียง กลิ่น รสต่างๆ ขอให้มีอะไรๆ ด้วยความไม่รู้ จึงพอใจในสิ่งนั้น เห็น ชอบสิ่งที่เห็น เพราะอยากเห็น ยังไม่มีใครไม่อยากเห็นเลย ใช่ไหม ลืมตาก็อยากเห็น แล้วแต่จะเห็นอะไรก็อยากเห็นหมด เพราะฉะนั้น รูปเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น ความยึดมั่น ภาษาบาลี ใช้คำว่า อุปาทาน

    อุปาทานขันธ์ สองคำรวมกัน ขันธ์ สภาพธรรมที่เกิดดับ แต่ไม่มีการเข้าใจถูกต้อง จึงหลงยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็น อุปาทานขันธ์

    อะไรเป็นอุปาทานขันธ์บ้าง จิต เจตสิก รูป ทั้งหมดเป็นอุปาทานขันธ์ แต่ทำไมทรงจำแนกเป็น ๕ เพราะเหตุว่าเราติดข้องในรูปใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร เสียง กลิ่น เป็นต้น รูปทั้งหมดเป็นที่พอใจแสวงหา เสื้อต้องสวย อาหารต้องอร่อย เสียงดนตรีหรือเพลงต้องเพราะ ทุกอย่างเป็นที่ติดข้องหมด

    เพราะฉะนั้น รูปขันธ์ เป็น รูปูปาทานขันธ์ ๓ คำรวมกัน คือ อุปาทาน รูป และขันธ์ รวมเป็นรูปะ กับ อุปทาน เป็น รู ปู ปาทานะ และก็ขันธ์ เดี๋ยวนี้เอง

    เราต้องการรูปมาทำไม ติดข้องในรูปทำไม เพราะมีความยินดีพอใจเป็นสุข ความรู้สึกในภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนา ภาษาไทยใช้ว่าความรู้สึก ความรู้สึกต่างกันเป็น ๕ อย่าง รู้สึกเฉยๆ อร่อยไหม เฉยๆ หรือว่า อร่อย ไม่อร่อย เป็นความรู้สึก

    ถ้าเราชอบพอใจมาก ก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งเรียกว่า โสมนัสเวทนา ทุกเรื่องที่เราดีใจ ถูกใจ พอใจ ทั้งหมด ความรู้สึกกำลังมีสิ่งนั้น เป็นความรู้สึกที่เป็นโสมนัสเวทนา ชอบใจ พอใจ ส่วนที่ร่างกายเวลาเจ็บ หรือคัน หรือเมื่อย ทั้งหมด ถ้าไม่มีรูปร่างกายก็ไม่มีเมื่อย ไม่มีเจ็บ ไม่มีคัน สารพัดอย่างที่รูป เป็นทุกขเวทนา ความไม่สบายกายทั้งหมด ภาษาบาลีใช้คำว่า ทุกขเวทนา

    ความรู้สึกสำคัญไหม สำคัญ ถ้าเราจำว่าที่ไหนอาหารอร่อย ไกลแสนไกลก็ไป เพราะเหตุว่า จำได้ว่าอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้น สภาพจำมีจริง ไม่มีใครมองเห็น แต่มี กำลังจำอยู่ทุกขณะ ภาษาบาลีเรียกสภาพธรรมที่จำว่า สัญญา อย่างที่เราไปทำสัญญากับใครก็เพื่อจะได้ไม่ลืม แต่นี่คือสัญญา เป็นเจตสิกซึ่งจำ เห็นอะไรก็จำๆ ๆ ทุกครั้งที่จิตเกิด ต้องมีสัญญาเจตสิกเกิดด้วย

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้น ความรู้สึกใหญ่มาก ไม่ว่าใครจะทำธุรกิจการงาน การค้าขาย หรืออะไรก็ตามทั้งหมด เพื่อได้มาซึ่งความสุข เกิดมาจึงต้องการความสุข ติดข้องในความสุข เพราะฉะนั้น สุขเวทนา หรือ เวทนา ความรู้สึกทั้งหมดจึงสำคัญมาก

    ด้วยเหตุนี้ นอกจากรูป เราติดข้องในรูปเพื่อความรู้สึกที่เป็นสุขที่ได้รูปนั้นๆ มา จริงไหม วันนี้หารูป ถ้าใครไปห้างสรรพสินค้าก็เห็นชัดเลยว่าไปหารูป เพื่อความรู้สึกเป็นสุขที่จะได้รูปนั้นมา

    เนื่องจากรูปสำคัญ ความรู้สึกสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงแยกจำแนก รูปเป็นหนึ่งขันธ์ ความรู้สึกเป็นอีกหนึ่งขันธ์ และความจำอีกหนึ่งขันธ์

    เพราะว่าทุกอย่างก็เพราะจำ ถ้าไม่จำ ก็ไม่ต้องแสวงหามากมายอย่างนี้ แต่จำได้ ความรู้สึกเป็นอย่างนั้น ก็แสวงหาซ้ำแล้วซ้ำอีก

    ด้วยเหตุนี้ ทรงจำแนกจิต เจตสิก รูป เป็น ๕ ขันธ์ ตามความยึดมั่น รูปเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น ๑ ความรู้สึกเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น ๑ ความจำซึ่งเป็นเจตสิกเป็นความยึดมั่น ๑ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เพราะฉะนั้น สภาพที่รู้สึกเป็นเจตสิก ๑ ภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนาเจตสิก สภาพจำเป็นเจตสิกอีก ๑ ภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก เจตสิกทั้งหมด ๕๒ เหลืออีก ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ เป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง

    ถ้าเราชอบ เราจะปรุงแต่งไปเลย ชอบรสหวานก็ใส่น้ำตาล จะกี่ช้อนก็เเล้วเเต่ชอบมากชอบน้อย เป็นเรื่องของการปรุงแต่งที่จะให้รสอย่างนั้นเกิดขึ้น หรือว่า การวาดรูป การแสวงหาอะไรทุกอย่างตามใจชอบทั้งนั้น โดยความจำเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดการปรุงแต่ง เป็นชีวิตของเราแต่ละขณะเป็นสังขารขันธ์ เพราะฉะนั้น ชีวิตก็คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา

    เพราะฉะนั้น จิต หลากหลายตามเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต เวลาโลภะเกิดร่วมด้วยเป็นอย่างหนึ่ง เวลาโทสะเกิดร่วมด้วยเป็นอย่างหนึ่ง เวลาขยัน จิตก็เป็นประเภทหนึ่ง เวลาขี้เกียจ เกียจคร้าน นอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยทำ เคยคิดอย่างนั้นไหม นั่นก็เพราะเหตุว่าเจตสิกนั้นเกิดขึ้น ทำให้เป็นอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้ เจตสิก ๕๒ ประเภท ก็จำแนกเป็น เวทนาขันธ์ ๑ คือ เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ ๑ เจตสิกอีก ๕๐ มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันเป็นสังขารขันธ์ และจิตเป็นวิญญาณขันธ์อีก ๑ รวมเป็น ๕ ขันธ์ ตามที่คุณวิชัยกล่าวตามลำดับเมื่อสักครู่นี้ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ คือ เดี๋ยวนี้ที่เป็นชีวิต

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องธรรม ก็อยากจะถามเรื่องไสยศาสตร์เกี่ยวอะไรกับธรรมหรือเปล่า หรือว่าเวทมนตร์คาถาทั้งหลาย อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายสักเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป จะมีอะไรไหม ไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป จะมีไหม

    เพราะฉะนั้น จิต เจตสิกที่ดีก็มี ที่เข้าใจถูกก็มี ที่เข้าใจผิด เห็นผิด หลงผิดก็มี อย่างผ้าผืนหนึ่งแล้วมากลายเป็นผ้ายันต์ได้อย่างไร เป็นไปได้หรือ ถูกหรือผิดถ้าจะไปกราบไหว้เชื่อบูชา แล้วใครที่ทำให้ผ้านั้นกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ เขาเป็นใคร แล้วสามารถจะทำให้ผ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ ถ้าไม่มีการคิดก็หลงบูชา แต่ความจริงก็คือไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น อยู่ที่ความคิด เพราะฉะนั้น คิดถูก หรือ คิดผิด เป็นเหตุเป็นผลหรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    4 มิ.ย. 2568