ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106


    ตอนที่ ๑๑๐๖

    สนทนาธรรม ที่ ร้านอาหารสำรับใต้

    วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เฉพาะตัวธรรมที่มีจริง ที่เป็นเสียง ที่เกิดที่มหาภูตรูปที่กระทบกับหูได้ เพราะฉะนั้นมีเราแต่ไหน ที่ไหน ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะละคลายความเป็นเราได้ไหม เอาอะไรมาละคลายความเป็นเรา ไม่รู้สักอย่างก็ต้องเป็นเราอยู่ต่อไป แต่เมื่อค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงเพราะรู้ว่ากว่าจะรู้รูปนี้ได้ ไม่ใช่ว่าจะรู้ได้โดยง่าย ต้องอาศัยความรู้ตั้งแต่ต้น คือเข้าใจทีละคำ แต่ละคำ ให้ชัดเจน มหาภูตรูปที่ไม่มีสี ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดร่วมด้วย ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะมหาภูตรูปต้องมีอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย แต่ ๔ รูปนั้นไม่ใช่มหาภูตรูป

    ผู้ฟัง ดิฉันเพิ่งเข้าใจวันนี้ ขอบพระคุณท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถึงว่าต้องทีละคำ รู้เลยว่าทุกคนที่พูดมาตรงไหนบกพร่อง ตรงไหนเข้าใจผิวเผิน ตรงไหนยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการที่เราไม่ใจร้อน แต่เรารู้ว่าธรรมมีจริง พิสูจน์ได้ทุกขณะกำลังมี แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจโดยความไม่ประมาท ด้วยความเคารพจริงๆ ว่าแต่ละคำต้องเข้าใจอย่างมั่นคง เริ่มตั้งแต่คำว่าธรรมมีจริง แล้วกำลังมีด้วยแต่ไม่เคยรู้ ไม่ต้องไปสร้าง ไม่ต้องไปทำอะไรเลย มีแล้วแต่ไม่รู้ แต่พระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงเปิดเผย สิ่งที่ถูกปกปิดมาในสังสารวัฏแสนโกฏิกัปป์ ไม่เคยรู้ มาเป็นสิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ไม่ใช่เรา เพราะอย่างนี้ๆ และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอภิธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำให้เกิดไม่ได้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ต่อไปก็จะพบอีกคำหนึ่ง เเต่ไม่เป็นอิสระ ไม่ใช่เราจริง แต่ไม่เป็นอิสระ เพราะต้องเป็นไปตามปัจจัย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ทำไมเป็นพริก ก็แค่เย็นร้อนอ่อนแข็งเหมือนกันหมด เย็นร้อนอ่อนแข็งทำไมเป็นทุเรียน ไม่อิสระ ต้องเป็นไปตามปัจจัย ว่าขณะนั้นมีมหาภูตรูปประเภทไหน อ่อนแข็งอย่างไรที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เป็นสีที่ปรากฏหลากหลาย เป็นกลิ่นที่ปรากฏหลากหลาย เป็นรสที่ปรากฏต่างๆ กันไปทั้งหมด คือมีทุกวัน ไม่ใช่เราสักวัน เกิดด้วยแล้วก็ดับด้วย ไม่มีใครรู้เลย หลงยึดถือว่าเป็นเรา และของเรา

    เพราะฉะนั้นจะพอใจในสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้วสิ่งนั้นไม่มี จากไม่มี ไม่มีเสียง แล้วก็เกิดเสียง และเสียงก็ดับไป แต่ก่อนเสียงดับไป เกิดติดข้องแล้ว พอใจแล้ว คือพอใจในสิ่งที่ไม่มี หาอีกไม่ได้ในจักรวาล ในสากลโลก ที่ไหนที่จะไปหาสิ่งที่ดับไปแล้วอีกไม่ได้เลย หลงไหม ฉลาดหรือเปล่า ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ซึ่งก่อนนั้นไม่มีแน่ แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง ถึงจะฟังอย่างนี้ว่าเรากำลังหลงอยู่ ก็อดที่จะเป็นเราไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จนกว่าปัญญาจะเข้าใจมากกว่านี้ แค่นี้ยังเป็นเราอย่างหนาแน่นในแสนโกฏิกัปป์ แล้วจะเอาเราออกทันทีได้อย่างไร ฟังธรรมเพื่อให้รู้ความจริงว่าธรรมลึกซึ้ง และจะรู้จักพระพุทธเจ้าต่อเมื่อเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลยเห็นแต่พระพุทธรูปจะรู้ไหมท่านสอนอะไร ปัญญาไม่เกิดเลย เพราะฉะนั้นไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่เห็นเลย พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา" เมื่อไหร่เข้าใจธรรม เมื่อนั้นเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธจ้า แสนไกลมองไป ยิ่งเหนือกว่านั้นอีก แล้วเราอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงพื้นดิน เหมือนฝุ่นละออง แล้วเราจะไปเข้าใจคำของพระพุทธเจ้าโดยคิดเองได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะที่มีทุกข์กายหรือสุขกาย จะต้องมีรูปอื่นเกิดร่วมกับมหาภูตรูปไหม

    ท่านอาจารย์ สุขกาย เกิดหรือเปล่า ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเกิดหรือเปล่า ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ มีเมื่อเกิดเท่านั้น

    ผู้ฟัง มีเมื่อเกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ความลึกซึ้ง ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด แต่สิ่งใดที่มีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏว่ามี เมื่อปรากฏก็รู้ว่าเกิดแน่ๆ ถ้าไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร สุขกายรู้ได้ที่ไหน

    ผู้ฟัง รู้ที่กาย

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ที่กาย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ลองจับผมสิ ทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทุกข์

    ท่านอาจารย์ แต่จับตรงนี้ เนื้อ สุข ทุกข์แล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ใดที่มีกายปสาทรูปเท่านั้น จึงสามารถกระทบกับสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ๑ ใน ๓ ความรู้สึกที่เป็นสุขหรือทุกข์จึงเกิดได้ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป เช่น ที่ปลายเล็บ ตัดเล็บ เล็บก็ไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไร แต่ตรงที่ใดที่มีกายปสาทรูปอีกรูปหนึ่ง เราค่อยๆ รู้ทีละรูปๆ ๆ ว่าที่ตัวมีรูปเกินกว่าตาหูจมูกลิ้น แต่มีกายปสาทรูปซึมซาบอยู่ หมายความว่าที่ตัวเราที่ใดก็ตาม ที่มีความรู้สึกเจ็บ ตรงนั้นต้องมีปสาทรูป แต่ตัวปสาทรูปไม่ใช่เจ็บ ความรู้สึกเจ็บไม่ใช่มหาภูตรูป และไม่ใช่กายปสาท จะได้รู้ว่าไม่มีเราเลยสักขณะเดียว และมีสิ่งที่เรารู้ไม่ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

    ด้วยเหตุนี้ที่กาย มีรูปพิเศษเป็น กายปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบกาย เป็นสภาพธรรมไม่รู้ว่าตัวเอง สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบ เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ และสิ่งที่กระทบก็ไม่รู้ด้วย ว่าตัวกำลังกระทบกับกายปสาท หรือกระทบกับอะไร เพราะว่าสภาพของธรรมซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เป็นรูปธรรมทั้งหมด แต่ละรูปๆ เพราะฉะนั้นมีกายปสาทซึ่งกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น และก็มีรูปที่มากระทบ ทั้ง ๒ อย่างไม่รู้อะไรเลย แต่เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้คือจิต เกิดขึ้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จากรูปที่กระทบกาย ห้ามไม่ได้ ปวดหัวตัวร้อนอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด ที่อาศัยกายเกิดขึ้น แต่กายจริงๆ คือปสาท ไม่รู้อะไรเลย และสิ่งที่มากระทบ จะอ่อน จะแข็ง จะเย็น จะร้อน ก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันว่ากำลังกระทบอะไร แต่เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดได้ แล้วก็รู้ได้เฉพาะสิ่งที่กำลังกระทบ พร้อมกับความรู้สึกซึ่งเป็นทุกข์ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็เป็นสุข เวลาไปซื้อเก้าอี้ต้องลองนั่งไหม แค่จะนั่งเก้าอี้ เพราะเหตุว่านั่งแล้วกายเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ทั้งหมดก็เพราะต้องอาศัยกาย

    ขณะที่เข้าใจเป็นปัญญาไม่ใช่เรา ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญา ตราบนั้นก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา เมื่อมีปัญญา ก็แล้วแต่ว่าปัญญาระดับนั้นเข้าใจแค่ไหน ก็ละคลายความที่เคยติดข้องเพราะไม่รู้แค่นั้น จึงต้องมีปัญญาต่างระดับ ขั้นฟัง ละกิเลสไม่ได้ เริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่ละกิเลสไม่ได้ และสูงกว่านั้นอีกคือ รู้เฉพาะทันทีที่สิ่งนั้นปรากฏ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งชัดเจนในความเป็นภัย เป็นโทษของสภาพธรรมที่เกิดดับ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงโลกุตตรธรรม เป็นโลกุตตรจิต ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่อบรมตั้งแต่ขั้นการฟัง จนค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงตรงตามที่ได้ฟัง ไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏตรงตามคำแรกที่เคยฟัง ธรรมคือธรรมจริงๆ เลย ไม่ใช่เรา ลักษณะนั้นจริงๆ เลย ไม่เปลี่ยนแปลง

    ผู้ฟัง เมื่อลืมตาแล้วเราก็มองเห็นเลย แสดงว่า จักขุปสาท มีอยู่แล้วใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องเกิด ต้องเกิดก่อนด้วย แล้วมีอายุ ๑๗ ขณะจิต ถ้าจักขุปสาทไม่เกิด แล้วจะกระทบก่อนเห็นได้อย่างไร ต้องมีการกระทบกับรูปคือ สิ่งที่กำลังปรากฏนั้นสามารถกระทบกันได้ รูปที่กำลังปรากฏกระทบแขนไม่ได้ กระทบหูไม่ได้ กระทบหน้าผากไม่ได้ กระทบผมไม่ได้ แต่กระทบรูปพิเศษที่สามารถกระทบได้ ซึ่งอยู่ตรงกลางตา ไม่ใช่ตาทั้งหมด เฉพาะที่สามารถที่จะกระทบได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครเห็นจักขุปสาท เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ตัวรูปที่กระทบกับสิ่งนั้นไม่มีการเห็นได้เลย เห็นเมื่อไหร่ ที่ไหน อะไรก็ตามแต่ จะเข้าห้องทดลองอย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่ปรากฏก็เป็นสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท ไม่ใช่ตัวจักขุปสาท แล้วอะไรเป็นของเรา เกิดแล้วดับแล้วหมดเลย ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ก็ละความเป็นเรา ความเป็นตัวตนไม่ได้

    ฟังไว้ เข้าใจไว้ สะสมไว้ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะเป็นหน้าที่ของปัญญา ซึ่งแสดงความเป็นอนัตตาว่าบังคับไม่ได้ อยากให้มีมากๆ ก็ไม่ได้ อยากให้เกิดเร็วๆ ก็ไม่ได้ อยากให้รู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ได้ แล้วแต่สภาพธรรมมีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไป ตลอดทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีอยู่แล้ว หรือว่าต้องเกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดมีไหม ต้องไตร่ตรองไปตามลำดับ ว่าถ้าไม่เกิดจะมีไหม แสดงว่าต้องเกิด แล้วก็ต้องกระทบตาก่อนเห็นใช่ไหม ก็แสดงว่าทั้ง ๒ อย่างนี้เกิดก่อนจิตเห็น แล้วก็ทั้ง ๒ อย่าง ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จะนับตอนไหนก็ได้ นับไป ๑๗ ขณะ รูปที่เกิดพร้อมจิตนั้นก็ดับ บางรูปดับก่อนที่จะชอบหรือไม่ชอบรูปนั้นก็ได้ แล้วแต่ว่าเกิดเมื่อไหร่ ต้องมีอายุแค่ ๑๗ ขณะ

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่ารูปที่เกิดจากกรรม ต้องมีชีวิตินทริยรูป เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไปดูหุ่นขี้ผึ้ง เหมือนคนเลยไหม แต่ไม่มี ชีวิตินทริยรูป ไม่มีกรรมที่ทำให้รูปนั้นมีชีวิต จะเหมือนแสนเหมือนอย่างไรก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะชีวิตินทริยรูปไม่ปรากฏ แต่ว่าเกิด จึงทำให้รูปนั้นดำรงความเป็นรูปที่มีชีวิต ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถรู้ว่า นั่นคือหุ่น ไม่ใช่มีชีวิต เพราะไม่มีชีวิตินทริยรูป แต่ถ้าเป็นคน ถึงจะนอนหลับอยู่ก็มีชีวิตินทริยรูป เมื่อตายทันที ชีวิตินทริยรูปไม่มีเลย เหมือนท่อนไม้เลย ๘รูป เพราะฉะนั้นคิดดูว่าไม่ใช่เราที่นั่งอยู่นี่ แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย แต่เป็นรูปที่เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่าง เกิดจากกรรมก็มี บางกลุ่ม บางกลาป กลาปภาษาบาลีเรียกกลุ่มว่ากลาป กลุ่มหนึ่งมี ๘ รูปอย่างน้อยที่สุด มีอากาศธาตุแทรกคั่นพร้อมที่จะกระจัดกระจายเมื่อไหร่ได้ทันทีเลย นี่หรือเรา นี่หรือของเรา และกำลังเป็นอย่างนั้นอยู่ด้วย ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับที่ประจักษ์การเกิดดับ ไม่มีทางที่จะละความเป็นตัวตน หรือความเป็นของเรา

    สนทนาธรรมเพื่อเข้าใจ มากหรือน้อยก็ไม่สำคัญ สำคัญที่เข้าใจถูกแล้วเป็นความเข้าใจของเราเอง ความเข้าใจที่เกิดขึ้นกับเราไปให้ใครได้ไหม ไปหยิบยื่นให้ใครก็ไม่ได้ไป ขอจากคนอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้ จากคำทุกคำที่ได้ตรัสไว้แล้ว ๔๕ พรรษา เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยรู้จักคุณของพระองค์ว่า นี่คือพระปัญญาคุณ ใครจะรู้ได้อย่างนี้ รู้ยิ่งกว่านี้ตั้งเท่าไหร่ เพราะแค่ไม่กี่คำให้เรายังเข้าใจอย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นยิ่งได้ฟังมากความเข้าใจจะมากขึ้นแค่ไหน ก็ยังไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาที่กราบไหว้ในพระคุณ เพราะว่าได้เข้าใจในพระคุณ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าให้เข้าใจธรรมทีละคำ อย่างเช่น ธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมคำเดียวคืออะไร บอกมาได้เลยทั้ง ๓ ปิฏก หนึ่งคำคือ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม ได้กลิ่น

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างไม่เว้นเลยเป็นธรรม สิ่งนั้นมีจริง มีลักษณะเฉพาะของตนของตน เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง อนัตตา ต้องเข้าใจจริงๆ แล้วเราจะไม่ผิดเลย ถ้าใครให้เราไปนั่ง สำนักปฏิบัติ คือธรรมไหมคืออนัตตาไหม ก็ผิดแล้ว ธรรมทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ต้องให้เข้าใจ ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจ สอนอย่างไรถึงจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ไปสำนักปฏิบัติ ที่ไปสำนักปฏิบัติเพราะไม่เข้าใจธรรมว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่ประจักษ์แจ้ง แล้วไปที่อื่นจะรู้เรื่องหรือ ก็มีเห็นอย่างนี้ แล้วก็ไปนั่งยืน นั่งเดินอย่างนั้น แล้วจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเข้าใจทีละคำแม้แต่คำว่าธรรม แม้แต่คำว่าอนัตตา บอกว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วไปสร้างสำนักปฎิบัติ ถูกหรือ? ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าไม่ตรง ไม่ได้สาระจากพระธรรม ใช้คำนี้เลย เพราะธรรมตรงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไม่ตรงก็ไม่ใช่พระธรรม ไม่ได้สาระ ไม่ได้ความถูกต้อง

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่เห็น เห็นก็เกิดดับ เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ แน่นอน อะไรอีก

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง ได้กลิ่น

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง ลิ้มรส

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ถ้าเราเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ เราไม่ไปทำสิ่งที่ผิดเพราะนั่นเป็นเรา ไม่ใช่เป็นปัญญา แต่ความจริงคือไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แยกออกไปก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นคำเดียวจึงไม่พอในการฟังธรรม ต้องหลายคำ แต่ต้องเข้าใจทุกคำ ไม่เผิน เรารับประทานอาหารหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เรารับประทานอาหาร

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงคืออะไร

    ผู้ฟัง เป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายไม่มีเราเลยสักขณะเดียว ทั้งหลายคือนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง แตกย่อยออกไปก็คือแต่ละหนึ่งๆ เกิดดับ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลืออีกเลย ความเป็นคนนี้เป็นได้แค่นี้ เย็นนี้ถ้าตายก็คือไม่มีแล้วอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แต่ว่าที่เกิดต่อก็มาจากดีชั่วทั้งหลาย ความเข้าใจ ความไม่เข้าใจทั้งหลาย ความถูกต้อง ไม่ถูกต้องทั้งหลาย ก็มาจากแต่ละหนึ่งเหตุการณ์ในสังสารวัฏฏ์ ชาตินี้พอไหม

    ผู้ฟัง ชาตินี้ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อีกหลายๆ ชาติพอไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่พอ

    ท่านอาจารย์ จนกว่าความจริงก็คือว่าขณะนี้ เห็นเกิดดับ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะจริง

    ผู้ฟัง จนตายก็ยังไม่รู้อีก เพราะยากมาก

    ท่านอาจารย์ นั่นคือกำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



    สนทนาธรรม ที่ บ้านไม้ขาว

    วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง คือชาวพุทธ ทำบุญโดยการฟังธรรม จึงอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่าการฟังธรรมได้บุญอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่าที่จะเข้าใจธรรม ต้องเข้าใจทีละคำ เมื่อเข้าใจแล้ว ปัญญาที่เข้าใจก็จะตอบปัญหาได้ เข้าใจชาวพุทธก่อนดีไหม ถ้าไม่ศึกษาธรรมจะเป็นชาวพุทธไหม

    ผู้ฟัง คนทั่วไปไม่ทราบข้อนี้

    ท่านอาจารย์ คนทั่วไปไม่ทราบ จึงต้องมีการศึกษาธรรม เพื่อที่จะให้รู้ตามความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นก็มีคำถามเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องอะไร สาระพัดเรื่อง ใช่ไหม แต่ยังไม่รู้แต่ละคำ เพราะฉะนั้นการที่จะพูดว่าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องรู้ว่าชาวพุทธคือใคร ถ้าไม่ศึกษาไม่เข้าใจพระธรรมเลยจะเป็นชาวพุทธได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ชาวพุทธจะเป็นชาวพุทธ ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรม และได้ศึกษาธรรม จึงจะเป็นชาวพุทธได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรมแล้วจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร ก็เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ เหมือนเรียกตัวเองว่าชาวไทย แต่จริงๆ แล้วถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่มีทางที่จะเป็นชาวพุทธได้เลย เพราะเหตุว่าต้องเข้าใจก่อน จึงจะรู้ว่านับถือพระพุทธศาสนา จึงเป็นชาวพุทธ นับถือ ไม่ใช่เพียงบอกว่านับถือ แต่ต้องเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องด้วย เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะตอบปัญหาความคิดของคนซึ่งไม่ได้เข้าใจธรรมเลย ไม่ว่าเขาเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เขาเพียงเเต่ต้องการคำตอบ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ชาวพุทธ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ตอนนี้รู้จักชาวพุทธเแล้ว

    ผู้ฟัง ต่อไปชาวพุทธคงอยากเข้าใจคำว่า บุญ ว่าเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำว่าบุญ มาจากภาษาบาลีว่าปุญญ หมายความถึงสภาพที่ชำระจิต แสดงว่าจิตเป็นอย่างไรจึงต้องชำระ แสดงว่าต้องไม่สะอาด ถ้าสะอาดแล้วก็ไม่ต้องชำระใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่สะอาดเพราะอะไร อยู่ดีๆ จะบอกว่าจิตไม่สะอาด เพราะไม่รู้ จึงนำมาซึ่งสภาพธรรมที่ไม่ดีงามทั้งหมด ซึ่งเป็นบาป ปาป (ปา-ปะ) เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับบุญ

    การศึกษาธรรมไม่ใช่ไปรู้ที่อื่น แต่รู้ที่สิ่งที่มี เพราะฉะนั้นมีความไม่รู้ความจริง จึงได้มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่เข้าใจอะไรเลย ด้วยเหตุนี้มีคำว่าบุญกับบาป ถ้าปุญญ หรือบุญ เป็นสภาพธรรมที่ชำระจิต ก็หมายความว่าจิตเป็นอกุศลด้วยความไม่รู้ ตั้งแต่เช้ามาเป็นบุญหรือ เป็นบาป ไม่ใช่ให้เราไปเรียนเรื่องราว แต่ให้เข้าใจสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน ให้เข้าใจถูกต้องว่า แม้บุญก็ไม่ใช่เรา แม้บาปก็ไม่ใช่เรา แต่บุญก็มี บาปก็มี เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกัน เป็นธรรมหมายความว่าเป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นไม่ใช่เรา ก่อนอื่นต้องรู้ว่าทุกคำที่ใช้คำว่าธรรม ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นบุญอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต บาปอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิต เมื่อเช้านี้มีจิตไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ บุญหรือบาป เรียนธรรมต้องเป็นคนที่ตรงถึงจะได้สาระ ตั้งแต่เช้ามาบุญหรือบาป ถ้าขณะใดที่ไม่เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ขณะนั้นก็บาป ตื่นขึ้นมาบุญหรือบาป แค่ตื่น ก็ไม่รู้เเล้ว ก็บาปแล้ว ชำระล้างร่างกาย แต่งตัว รับประทานอาหาร สนทนา รื่นเริง บุญหรือบาป

    ผู้ฟัง บาปทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ บาปอีกแล้วมากมายเลย บุญขณะที่เข้าใจธรรม ขณะใดที่ฟังธรรม เข้าใจธรรม ขณะนั้นกำลังชำระบาปคือความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็มีธรรม ๒ อย่าง บุญกับบาป ผู้ที่ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปรู้คนอื่น แต่ว่าจิตขณะนี้ยากที่จะรู้ได้ แต่ถ้าไม่รู้จิตขณะนี้ ก็ได้แต่พูดเรื่องบุญ และบาป โดยไม่รู้จักตัวบุญ และตัวบาปที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อประโยชน์ที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้องว่า บุญบาปอยู่ที่จิต แต่ละ ๑ จิต แล้วแต่ว่าจิตนั้นจะมีสภาพธรรมที่ดีงามเกิดร่วมด้วย หรือว่ามีสภาพธรรมที่ไม่ดีงามเกิดร่วมด้วย แต่ทั้งหมดเป็นธรรมไม่ใช่เรา การฟังธรรมเพื่อให้ถึงความเป็นจริงว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา บุญก็เป็นธรรม บาปก็เป็นธรรม จิตที่มีบุญเกิดมาก กับ จิตที่มีบุญเกิดน้อย กับจิตที่มีบาปเกิดมาก กับ จิตที่มีบาปเกิดน้อย ก็ต้องต่างกัน จะเป็นประเภทไหน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญาที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรควร พอจะรู้ได้ใช่ไหม รู้จักบุญบาปแล้ว

    ผู้ฟัง ได้ แต่คนทั่วไปก็มักจะคิดว่า ถือศีล๕ ก็ได้บุญ คือ ละเว้นการฆ่าสัตว์ ละเว้นการลักทรัพย์ ละเว้นการผิดลูกผิดเมีย ละเว้นการพูดปด แล้วก็ละเว้นการดื่มสุรา ถือว่าเมื่อละเว้นตรงนี้ก็ได้บุญแล้ว

    ท่านอาจารย์ มีคำว่า ได้บุญ แต่ไม่รู้ว่า เป็นบุญ แต่คิดว่า ได้บุญ เพราะฉะนั้นการเว้นการฆ่าสัตว์ต่างๆ ที่กล่าวถึง ๕ ข้อ มีทั่วไปในโลกหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังคิดว่าเป็นเราก็ไม่ใช่ชาวพุทธ ใช่ไหม แต่ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่มีจริง นั่นเริ่มเป็นชาวพุทธ ดังนั้นชาวพุทธไม่ใช่จะเป็นง่ายๆ โดยการเรียกชื่อ หรือโดยเพียงแค่เข้าใจว่า ใครรักษาศีลคนนั้นเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าศีลทั้งหลายที่เป็นการงดเว้นการฆ่าสัตว์ก็มีทั่วไป ไม่ว่าคนไทยหรือไม่ใช่คนไทย นับถือศาสนาอะไรก็ตามแต่ ธรรมเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เป็นเรา ขณะนั้นก็ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    7 พ.ค. 2568