ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
ตอนที่ ๑๑๑๔
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง ขณะที่เรายังมองเห็นเป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ เป็นแก้ว เหมือนกับว่าเป็นการเห็นผิด คือเหมือนเรายังหลับอยู่ยังไม่ตื่น ถ้าตื่น คือเราจะต้องเห็นความเป็นจริง เห็นถูก
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ หลับหรือตื่น สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ไม่รู้ แล้วก็เข้าใจว่ามีคน มีสมบัติ มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงเหมือนฝัน คืนนี้หลับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลย ชื่ออะไรตอนหลับสนิท อยู่ที่ไหน มีลูกกี่คน มีพี่น้องกี่คน มีเพื่อนฝูงกี่คน ทำอะไรกันบ้าง ไม่มีเลยตอนหลับสนิท ใครรู้บ้างว่าใครกำลังหลับ ตัวเองก็ไม่รู้ใช่ไหม ไม่มีใช่ไหม แต่ความจริงสภาพธรรมมีปัจจัยเกิดดับดำรงภพชาติ แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเห็นเพราะยังหลับอยู่ ยังไม่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส แต่ว่าความจำจากสิ่งที่เคยพบเคยเห็นมากมายทำให้คิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น โดยที่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ปรากฏจึงใช้คำว่า ฝัน เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วคิดว่าเป็นคน ในฝันเจอใครบ้าง อาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ คุยกันด้วย สนทนากันด้วย ทั้งเห็นทั้งพูด ตื่นขึ้นมาอยู่ไหน ไม่มีคนในฝัน เรื่องในฝันอยู่ไหน ไม่มีเลยฉันใด ผู้ที่รู้ความจริงก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร แล้วมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วดับไปเลย ถ้าเพียงเท่านี้ก็จะเห็นชัดว่าไม่เหลือ แต่เพราะว่ามีสิ่งที่เกิดสืบต่อทันทีเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่หยุดยั้งเลย เร็วมาก ทำให้ปรากฏเหมือนรูปร่างสัณฐานต่างๆ ที่จะจำว่าเป็นอะไร จุดก้านธูปดอกเดียว แกว่งให้เป็นวงกลม เห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นเป็นวงกลม
ท่านอาจารย์ เห็นไฟใช่ไหม แสงไฟเป็นวงกลม ความจริงทีละหนึ่งจุดที่ค่อยๆ เคลื่อนไปฉันใด สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ความจริงก็เป็นฉันนั้น เหมือนลวง เพราะว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนที่ยึดถือว่าเป็นอย่างนั้นก็เหมือนฝัน แต่ความจริงไม่มีอะไรในสิ่งที่ยึดถือเลย เป็นแต่เพียงความว่างเปล่า
แต่ละคำก็จะรู้ได้ว่า ขั้นฟังแล้วยังต้องไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า เมื่อวานนี้หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่เหลือเลย วันนี้อยู่ไหน พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้แล้ว แต่ละขณะหมดไปสิ้นไปโดยไม่รู้เลยว่า วันนี้กำลังเป็นอย่างนี้ทุกขณะหายไปๆ ๆ เมื่อถึงพรุ่งนี้จึงบอกได้ว่า เมื่อวานนี้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็เหมือนฝันที่ยังไม่ตื่นขึ้นพบความจริง เพราะว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย คนมีไหม บ้านมีไหม โลกมีไหม ความจริงขณะที่ธาตุรู้เกิดขึ้นปรากฏในความเป็นธาตุรู้ ต้องไม่มีอะไรเลยนอกจากธาตุรู้เพียงอย่างเดียว และอย่างนั้นหรือเรา ก็จะรู้ความจริงว่าแท้ที่จริงคือไม่รู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่ง เกิดดับ แต่ติดต่อกันจนกระทั่งทำให้ลวงเหมือนมายากล นักเล่นกลเล่นได้สารพัดอย่าง คนดูก็น่าอัศจรรย์เขาทำได้อย่างไร แต่ว่าจิตลวงเร็วยิ่งกว่านั้น เกิดดับจนกระทั่งไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้แท้ที่จริง ขณะก่อนไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ได้ยินคำว่าจะปล่อยวาง รู้ไหมว่าจะปล่อยวางอะไร แม้แต่จะปล่อยวางอะไรยังไม่รู้เลย ถืออะไรไว้ แล้วก็ปล่อยวางอะไร
อ.วิชัย ถือว่าเห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา ถือสิ่งที่มีว่าเป็นเรา
ท่านอาจารย์ เห็นเดี๋ยวนี้วางเลยว่าไม่ใช่เรา ปล่อยได้ไหม นี่แหละไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นปล่อยวางคือไม่ใช่ใครทำ กว่าปัญญาจะถึงระดับขั้นที่รู้ขณะนั้นว่าปล่อยวาง ไม่ใช่เรา ขณะนี้ไม่รู้เลยว่าถืออยู่ ต่อเมื่อไรที่ปัญญามีความเข้าใจขึ้น ขณะนั้นเมื่อสักครู่หมดแล้วหมดเลย หมดแล้วหมดเลย เป็นอย่างนี้บ้างหรือไม่ เดี๋ยวนี้กำลังหลงลืมสติ กำลังเป็นเรา แต่ขณะใดที่สติเกิดรู้ลักษณะนั้น ปล่อยวางเมื่อสักครู่นี้เลย ไม่ไปเยื่อใยว่า เมื่อสักครู่นี้เรากำลังตั้งใจที่จะปล่อยวางหรืออะไรอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องของธรรมโดยตลอดที่ละเอียดมาก แม้แต่ปล่อยวางก็คือ ปัญญาสามารถที่จะถึงเวลาที่จะปล่อยวาง เพราะเราจะได้ยินคำว่าปล่อยวางมาตลอด และบางคนก็ไปทำปล่อยวางด้วยความเป็นตัวตน แต่ไม่มีทางเลย เพราะไม่รู้ว่าถืออะไรอยู่ ถือความเป็นเราทุกขณะ กำลังเห็นอย่างนี้ กำลังได้ยินอย่างนี้ ดังนั้นปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยวางอย่างอื่นเลย เดี๋ยวนี้ที่ผ่านมา วางเลย เพราะกำลังเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่วางไม่ปล่อยสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏต่อไป เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอาศัยการฟังไว้ ฟังไว้ เช่น สภาพธรรมไม่มี แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่มี ปล่อยวางไหม ไม่มี แล้วเราไปติดอยู่ ยึดอยู่ว่ายังมีอยู่ นั่นคือความเห็นผิด ต้องประจักษ์อย่างนั้นถึงจะรู้ว่านี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ใครไปปล่อยวางเอง แต่ว่าต้องเป็นการเข้าใจธรรมที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่อนัตตา สภาพธรรมมีปัจจัยจึงเกิดได้ ถ้าปัญญาไม่พอเกิดไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ แล้วต้องรู้ด้วยปล่อยวางอะไร เมื่อไหร่ ขณะไหน
ผู้ฟัง เคยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวว่าความรู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา สังขารขันธ์จะปรุงแต่งจิต ปัญญาความเข้าใจจะค่อยๆ เกิดขึ้น ก็คิดเองว่า ถ้าเรามีปัญญา เจตสิกฝ่ายดีเขาจะมาปรุงแต่งจิตมากกว่าเจตสิกฝ่ายไม่ดีอย่างนั้น ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ต้องละเอียด มีจิตทั้งหมด หลากหลายมากแต่ก็ประมวลได้เป็น๘๙ ประเภท หรือโดยพิเศษก็เพิ่มขึ้นอีก เพราะฉะนั้นจิตเป็นจิตแน่นอน จิตจะเป็นเจตสิกไม่ได้ สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดดับ สภาพนั้น หนึ่งนั้นเป็นขันธ์ เพราะเกิดและดับไป เป็นปัจจุบัน เป็นอดีต เป็นอนาคต ไกลใกล้ หยาบละเอียด ภายใน ภายนอก แล้วแต่ ก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ดังนั้นสิ่งที่เกิดทั้งหมดดับ เป็นขันธ์ทั้งหมดเลย แต่ว่าทรงจำแนกโดยการยึดถือ รูปขันธ์ยึดมั่นในรูปใช่ไหม ไม่ปฏิเสธแสดงว่าทรงแสดงจำแนกให้เห็นว่า ความยึดมั่นของเรายึดมั่นในอะไร ในเมื่อเกิดมาในโลกที่มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะ ก็ต้องติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นรูปก็เป็นขันธ์หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดถือ เพื่ออะไร ทำไมเราต้องการรูปสวยๆ เอามาทำไม เพื่อความรู้สึกเป็นสุข แสวงหาเพื่อความรู้สึก
ความรู้สึกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ ก็ไม่ต้องแสวงหาอะไร แต่เพราะเหตุว่าความรู้สึกเป็นสุขเป็นที่พอใจ จึงแสวงหาสิ่งที่พอใจติดข้อง ความรู้สึกเป็นขันธ์หนึ่งที่ติดข้องอย่างมาก ถ้าได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ หมายความว่าทรงแสดงโดยนัยของความติดข้องในแต่ละขันธ์ ในแต่ละขันธ์ รูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์ ความรู้สึกสำคัญมากเลย ทุกอย่างเมื่อสักครู่ทำอาหารให้อร่อยเพื่ออะไร เพื่อความรู้สึกที่สบายเป็นสุข ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นก็เป็นเวทนาขันธ์ สำคัญไหม ทุกคนในโลกติดข้องในความรู้สึก แสวงหาแต่ความรู้สึก และยังจำไว้ได้อีกด้วย ถ้าไม่จำก็ลืมไปเลย สุขอย่างไรก็ลืมไปแล้ว ไม่สนใจ แต่ยังจำไว้จนกระทั่งแสวงหาอีกไม่ลืม สัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพจำก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เรายึดมั่นว่าเป็นเราจำ เดี๋ยวนี้เอง จำก็คือสัญญาเจตสิก เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ แต่เป็นสังขารขันธ์ ๕๐ แต่ละคำต้องชัดเจน ธรรมทุกอย่างไม่เว้นเลย แม้นิพพานก็เป็นธรรม
ธรรมจึงเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เป็นนิพพาน แต่ถ้ากล่าวถึงธรรมที่เกิดดับต้องเว้น นิพพาน เป็นขันธวิมุต เพราะเหตุว่าไม่เกิดดับ คือการศึกษาต้องละเอียด และในบรรดาสภาพธรรมที่เกิดดับโดยการยึดถือก็จำแนกเป็น ๕ ถ้ากล่าวว่า สิ่งที่เกิดดับ ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดไม่ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขารธรรมทั้งหมด แต่ว่าเป็นสังขารขันธ์ ๕๐ ต้องแยกแล้ว ถ้าถึงปฏิจจสมุปบาท สังขารที่นั่นหมายความถึงเจตนาที่กระทำกรรม ที่เป็นไปที่จะให้เกิดจิตหรือวิญญาณต่อไป ก็เป็นเรื่องที่ทั้งหมดคือชีวิตแต่ละภพแต่ละชาติสืบเนื่องติดต่อกัน ซึ่งพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้ละความเป็นเรา ต้องรู้ รู้ไปทำไม รู้เพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏ เมื่อเช้านี้ได้ฟังเรื่องอะไร เข้าใจไหม
ผู้ฟัง ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
ท่านอาจารย์ แล้วฟังถึงเดี๋ยวนี้ ที่เข้าใจบ้างเข้าใจเพิ่มขึ้นไหม และที่ไม่เข้าใจก็เริ่มเข้าใจไหม นี่คือสังขารขันธ์ ไม่มีใครไปทำอะไรเลย แต่เจตสิก ๕๐ แม้ปัญญาที่เข้าใจแล้วก็ไม่สูญหาย พรุ่งนี้ฟังอีกเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก เพราะความเข้าใจวันนี้ปรุงแต่งให้ความเข้าใจพรุ่งนี้เกิดได้ ถ้าวันนี้ไม่มีความเข้าใจเลย พรุ่งนี้จะมีการเข้าใจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องเริ่มต้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ปรุงแต่งให้ขณะต่อไปเป็นอย่างนั้น ตอนเป็นเด็กนิสัยอย่างนี้หรือเปล่า หรือโตขึ้นนิสัยบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไป เพราะเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่ง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดี ไม่ฟังธรรมแล้วจะเข้าใจได้อย่างไร ความเข้าใจนี้เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้มีการฟังเพิ่มขึ้น เเละขณะที่ฟังก็รู้ว่าฟังโดยไม่ใส่ใจ กับฟังด้วยดี ต่างกัน ชื่อว่าฟัง แต่ไม่รู้เรื่อง กับตั้งใจฟัง พิจารณาคำที่ได้ฟังว่าถูกไหม ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ปรุงแต่งต่างกัน ธรรมฝ่ายอกุศลก็ปรุงไปในเรื่องอกุศล ธรรมฝ่ายกุศลก็ปรุงไปให้เป็นทางฝ่ายกุศล แล้วแต่ว่าอัธยาศัยที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเพิ่มขึ้นเพราะสังขารขันธ์ปรุงแต่ง
ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณ
สนทนาธรรม ที่กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จ. สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง ขอความกระจ่างเรื่องโลกของพระอริยะ กับโลกของปุถุชนอย่างพวกเรา
ท่านอาจารย์ กำลังอยู่ในโลก โลกที่กำลังอยู่เป็นโอกาสโลก (โอ-กาด-สะ-โลก) หมายความว่าเป็นที่อยู่ ต้องมีที่อยู่ของสัตว์ โอกาสโลก คือโลกที่เรามองเห็นเป็นดวงดาวต่างๆ หรือว่าเป็นภพภูมิต่างๆ ก็เป็นโลกต่างๆ เพราะเหตุว่าความหมายจริงๆ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นโลก เพราะถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์จักรวาลก็ไม่มี แต่เมื่อมีแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นโลก เพราะฉะนั้นแม้โอกาสก็เป็นโลกด้วย ที่อยู่ที่อาศัยขณะนี้ก็เกิด แล้วก็เป็นที่อยู่ที่อาศัย แล้วแต่ว่าจะเป็นที่อาศัยตรงไหน ก็เป็นโลกตรงนั้น วันนี้เราอยู่ตรงโลกนี้ ไม่ใช่ตรงอื่น
เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ ก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นโลก สิ่งที่เกิดนั้นก็เป็นที่อาศัยของสัตวโลก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีผู้คน หรือสิ่งที่มีชีวิตจะเป็นนก หรือเป็นปลา หรือจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ก็ไม่มีใครทั้งสิ้น มีแต่โอกาสที่ว่างเปล่า โลกที่ว่างเปล่า แต่ว่ามีสิ่งที่มีชีวิตด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิตที่มีจิต มีเจตสิก มีรูป ที่กำลังนั่งอยู่เป็นเราทุกคนขณะนี้ ก็เป็นสัตวโลก ก็เป็นชาวโลก เป็นสัตว์โลก เพราะเหตุว่ามีการเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มี สัตว์ก็ไม่มี โลกก็ไม่มี แต่เมื่อเกิดเป็นโลก คือที่อยู่ที่ว่างเปล่าก็มีสัตว์โลกซึ่งมีจิต เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ต่างๆ ทั้งหมดเป็นสังขารโลก ต้องไม่ลืมคำว่าสังขาร (สัง-ขา-ระ) ปรุงแต่งสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ฟังธรรมแต่ละคำแต่ละคำที่ฟังแล้วก็ฟังอีก แล้วก็ฟังอีก จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ว่าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏว่ามี สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นโดยมีการปรุงแต่ง อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ก็ไม่ติดในโลก เพราะเหตุว่าโลกไม่ใช่เรา และโลกก็ไม่ใช่ของเราด้วยโลกเป็นเเต่เพียงสิ่งที่มีในขณะนี้ ที่มีการปรุงแต่งเกิดขึ้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้นเพียงแค่๓ คำ แต่ต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ จนกระทั่งมีความเข้าใจว่าโลกที่ว่า เดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน ทีละโลกๆ ๆ เพราะเหตุว่าเหมือนโลกที่กว้างใหญ่ และเราอยู่ในโลกนี้เป็นสัตวโลก เกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่ง แต่ความจริงย่อลงแล้วก็คือ หนึ่งขณะที่สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป นั่นคือสังขารโลก
อ.วิชัย ในโลกสูตรแสดงว่า โอกาสโลกเพราะอรรถว่า เห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร สังขารชื่อว่าโลกเพราะอรรถว่า ย่อยยับคือผุพัง ชื่อว่าสัตวโลกเพราะอรรถว่า เป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญ เเละบาป
ท่านอาจารย์ ก็ค่อยๆ ขยายความเข้าใจว่าจากไม่มีอะไรเลยก็มีโลก เพราะฉะนั้นทุกคนรู้จักโลกก็เป็นไปตามที่คุณวิชัยกล่าวทีละโลก
อ.วิชัย ชื่อว่าโอกาสโลกเพราะอรรถว่า เห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร
ท่านอาจารย์ โลกไม่เหมือนกันใช่ไหม ประเทศหนึ่งๆ ที่หนึ่งๆ ต่างกันไปหลากหลาย นั่นก็เป็นความวิจิตรของโลกซึ่งเกิดขึ้นซึ่งไม่ใช่สัตวโลก
อ.วิชัย ชื่อว่าสัตวโลกเพราะอรรถว่าเป็นที่ดูบุญและบาป และผลแห่งบุญและบาป
ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วก็หลากหลายต่างกันมากตั้งแต่เกิด เพราะอะไร ทำไมเกิดเป็นคน ทำไมเกิดเป็นสัตว์ ต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิด อย่างคนเกิดแล้วก็บอกว่า มีบุญที่ได้เกิดเป็นคน ถ้าเป็นสัตว์จะสวยงาม จะเป็นช้าง เป็นนก เป็นอะไรก็ตามแต่ เป็นผลของอกุศลกรรม เมื่อเห็นสัตว์ก็รู้เลยว่าเป็นผลของอกุศลกรรม ที่บ้านอาจมีสุนัข มีแมว เคยคุยกับเขาไหม มาจากไหน ไปทำกรรมอะไรมาถึงได้มีรูปร่างอย่างนี้ต่างๆ กันไป แม้แต่สุนัขก็มีหลายพันธุ์ กรรมก็จำแนกละเอียดมากจนกระทั่งว่าบางพันธุ์หน้าตาไม่น่ารักเลย แต่คนก็เลี้ยงดูอย่างน่ารัก ย่นไปทั้งตัวก็ยังรักได้ เห็นไหม เพราะฉะนั้นกรรมต่างหากที่เป็นที่ดูว่าเกิดมาเป็นอะไร ถ้าไม่มีสัตว์เราจะรู้ไหมว่าเป็นผลของกรรมที่ต่างกัน ถ้าไม่มีคนหลากหลายต่างกัน ไม่มีสัตว์ชนิดต่างๆ กัน เราก็ไม่รู้ว่าบุญบาปอยู่ที่ไหน ดังนั้นการเกิดมาเป็นสัตว์โลกก็แสดงว่าเป็นที่ดูบุญและบาปตั้งแต่เกิด ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็มีกุศลบ้าง มีอกุศลบ้าง ตอนเกิดเป็นผลของบุญและบาป แต่เมื่อหลังจากเกิดมาแล้วมีเห็นเมื่อไหร่ ได้ยินเมื่อไหร่ พวกนี้ก็เป็นผลของกรรม แต่เห็นแล้วชอบไม่ชอบ ดีชั่วต่างๆ ก็เป็นกิเลสที่สะสมมาเป็นบุญหรือเป็นบาป แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้นสัตว์โลกนอกจากจะเป็นที่ดูบุญและบาป ก็ยังเป็นที่ดูผลของบุญและบาปด้วย เดี๋ยวนี้ผลของบุญหรือบาป ฟังอย่างไรก็ยากที่จะตอบเพราะว่าหมดแล้ว ดับแล้ว จะรู้ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กระทบสัมผัสปรากฏน่าพอใจ แค่เห็นดอกไม้สั้นมากเพราะว่าก็เห็นคนอื่นด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นจะตอบได้อย่างไรว่าเดี๋ยวนี้เป็นผลของบุญหรือบาป เพราะว่าเห็นหลายอย่างไม่ใช่เห็นอย่างเดียว
อ.วิชัย การแสดงเรื่องของโลกสองอย่าง ก็สามารถจะพิจารณาได้ว่า โอกาสโลกเพราะปรากฏโดยอาการที่วิจิตรต่างๆ รวมถึงสัตวโลกที่แสดงเป็นที่ดูบุญและบาป และผลของบุญเเละบาป แต่ว่าที่ท่านแสดงถึงว่าสังขารชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่า ย่อยยับ คือผุพังจะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วไม่ตาย มีไหม
อ.วิชัย ไม่มี
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีไหม เกิดแล้วเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ มีไหม เพราะฉะนั้นใครทำ? ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น บุญก็ต้องเกิดขึ้นเพราะมีสภาพธรรมฝ่ายดี เจตสิกที่ดีเกิดในขณะนั้น ปรุงแต่งให้เป็นบุญต่างๆ บุญก็มีหลายอย่าง บาปก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เกิดได้ต้องด้วยการที่มีปัจจัย ที่อาศัยกันและกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งยากที่สุดที่จะรู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้เอง เห็นหนึ่งขณะ ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้ ไม่มีตาก็ไม่เห็น ถ้าไม่มีหูก็ไม่มีเสียงปรากฏ เป็นต้น
พิจารณาอย่างละเอียด และทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกประการ ทุกขณะต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ที่สำคัญที่สุดคือไม่ยั่งยืนแต่ไม่มีใครรู้ เพราะเหตุว่าไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ ด้วยพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้รู้ความจริงว่าสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับทั้งหมด เพราะฉะนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขกับสภาพธรรมที่เดี๋ยวนี้เกิดและดับ โลกแตกทุกขณะ ใครว่าโลกยังไม่แตกบ้าง หรือว่าอีกนานกว่าโลกจะแตก ความจริงโลกแตกทุกขณะ
อ.วิชัย โลกที่ชื่อว่าสังขารโลกกำลังแตกสลาย หรือว่าย่อยยับผุพัง การที่จะเห็นความแตกดับ หรือทำลายอย่างนี้จะเกิดความกลัว หรือว่าสลดใจอะไร อย่างไร
ท่านอาจารย์ เราไม่เห็น เพราะไม่มีเรา ต้องเป็นความเข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อยจึงสามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วแต่ละคำ ใครก็ตามที่จะไปหวังเห็นโลกแตกไม่มีทางเห็น เพราะเหตุว่าขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วโลกแตกทุกขณะ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับเรื่องราวของโลกต่างๆ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว โลกคือ เห็นก็แตก เกิดแล้วดับ โลกคือ คิดถึงเรื่องต่างๆ ก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับ กว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระคุณซึ่งกว่าจะทำให้เรารู้ความจริงที่ถูกปิดบังนานแสนนาน แม้แต่คำของพระองค์จะตรัสถึงความจริงของสิ่งที่มีก็ต้องอาศัยกาลเวลา ที่ต้องเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้นที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของคำนั้นๆ ที่กล่าวถึงสภาพธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140