ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
ตอนที่ ๑๑๑๓
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะค่อยๆ เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นคนที่ยังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมก็จริง แต่ดีขึ้นเพราะเข้าใจธรรม จากอันธพาลปุถุชนมืดบอดสนิทมาสู่ความเป็นกัลยาณปุถุชน ด้วยคุณธรรมด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจขึ้น ยังมีกิเลสไหม ยังมี ดังนั้นคนที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ต่างกับคนที่ได้ประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตรงทุกคำกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจถึงที่สุดได้ แต่ไม่ใช่ด้วยตัวเรา เป็นเราที่พากเพียรด้วยความไม่รู้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจขึ้นค่อยๆ ละความไม่รู้ไปด้วยความเป็นอนัตตา ก็ไม่ได้หวังเมื่อไหร่จะเกิดขึ้น พรุ่งนี้ดีไหม เป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหม เดือนหน้า? ปีหน้า? ชาติหน้า? ไม่ต้องคิดเลย เพราะว่าเหตุต้องสมควรแก่ผล ถ้าเหตุไม่พร้อม ผลเกิดไม่ได้ จะไปหวังหมดกิเลสโดยไม่มีปัญญาไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความเข้าใจธรรมแล้วรู้ว่ายังมีกิเลส ทำอะไรด้วยกิเลสหรือเปล่า ทำด้วยกิเลสทั้งนั้นเลย กำลังปรุงอาหารมีกิเลสไหม ทำอาหารอร่อยด้วยกิเลสไหม นานๆ ก็มีกุศลจิตเกิดขึ้นทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างหรืออะไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็เป็นการที่รู้ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุดว่าไม่ใช่เราดี แต่ธรรมฝ่ายดีย่อมเกิดขึ้นเมื่อปัญญามีความเห็นที่ถูกต้อง ถ้ารู้อย่างนี้แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเท่าที่กำลังของปัญญาจะมี เพราะว่าคนไม่มีปัญญาเราไปบอกเขาว่าอย่าประมาท และต้องทำดีอย่างนั้น ต้องทำดีอย่างนี้ เขาทำไหม? เขาก็ทำไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นหนทางที่จะเป็นคนดี หรือว่าเป็นพลเมืองที่ดีหรือ ทำดี ก็มีคือทางเดียวคือให้เขาเข้าใจถูกต้อง แล้วก็ไม่ต้องห่วง ถ้ามีความเข้าใจแล้ว ความเข้าใจนั้นก็นำไปในสิ่งที่ดีทุกอย่าง จะเห็นได้ว่าถ้าตราบใดยังเป็นปุถุชน แล้วยังไม่ได้ดับกิเลส ใครจะรู้ว่าวันไหนจะเป็นอย่างไร องคุลิมาลฆ่าคนเท่าไหร่ นางขุชชุตตรายักยอกเงินค่าซื้อดอกไม้ เป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังธรรม เราไม่รู้เลยว่ากิเลสที่มีจะออกมาอย่างไรในแต่ละชาติ แต่ว่าสะสมปัญญาไว้ เพื่อที่ปัญญานั้นสามารถจะเข้าใจความจริงได้ ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นก็เป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ห้ามคนที่มีกิเลสมากๆ ว่าอย่าทุจริต ห้ามได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ตรงกันข้าม บอกคนดีให้เขาทำชั่ว เขาก็ทำไม่ได้ เพราะความจริงเป็นธรรมทั้งหมด ดังนั้นคำตอบอยู่ที่ความเข้าใจธรรม ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่มีการทำทุจริตที่เป็นการล่วงศีล๕ เลย
ผู้ฟัง แสดงว่าเราคุ้นชินกับกิเลสตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะไหนไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม และมีความต้องการโลภะ โทสะ พวกนี้ ค่อยๆ ศึกษาธรรมทีละคำ เช่น ความติดข้อง ภาษาบาลีใช้คำว่า โลภะ ความอยากได้ความต้องการ ความเพลิดเพลิน เหล่านี้ เป็นลักษณะของสภาพเจตสิกหนึ่ง ขณะใดก็ตามที่เป็นเราติดข้องเเล้ว และยังเพิ่มความเห็นผิดด้วย
เจตสิกแต่ละหนึ่ง บางสภาพคล้ายคลึงกันแต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องให้รู้ด้วยว่าธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และโมหะความไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังไม่รู้เดี๋ยวนี้ คือสภาพธรรมขณะนี้เกิดดับ
ผู้ฟัง คือตรงนี้เป็นสิ่งที่เป็นความจริงอยู่แล้วที่เราไม่รู้สภาพธรรมขณะที่เกิดดับ
ท่านอาจารย์ วันไหนจะเข้าใจ
ผู้ฟัง ก็ต้องศึกษาไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องสะสมความเห็นถูกไปเรื่อยๆ ละความเป็นเรา ถึงสามารถจะรู้ว่าเป็นธรรม และลักษณะของธรรมจึงปรากฏการเกิดดับได้ เพราะรู้ว่าเป็นธรรม แต่ถ้ายังคงเป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แม้ว่าพูดถึงเรื่องจิตเป็นธาตุรู้ กำลังเห็นเป็นธาตุรู้ ฟังเข้าใจ แต่ยังไม่ประจักษ์ธาตุรู้ ถ้าประจักษ์คือขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น ต้องเพียงทีละหนึ่ง ถึงจะรู้รอบในสิ่งที่ปรากฏชัดเจนว่าลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้ เมื่อเป็นธาตุรู้แล้ว เป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะว่าชาติหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ได้สะสมความเข้าใจนี้สืบต่อไปทุกชาติ
ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์เคยพูดประจำว่าต้องเป็นคนตรง
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเพราะว่าความตรงก็เป็นสภาพธรรม
อ.วิชัย ข้อความในมหานิทเทศก็มีการแสดงความหมายของปุถุชนไว้ ชื่อว่าปุถุชนด้วยเหตุทั้งหลาย มีการยังกิเลสเป็นต้นที่หนา คือมีประการต่างๆ ให้เกิดขึ้น เป็นต้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้กล่าวถึงปุถุชนในนิทเทศนั้น เพราะอรรถว่ายังสักกายทิฏฐิเหล่านั้นให้เกิด เพราะยังกำจัดสักกายทิฏฐิมีประการต่างๆ เป็นอันมากไม่ได้ การที่ท่านพระสารีบุตรแสดงถึงการที่ยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ โดยความหมายของปุถุชน คือเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นธรรม เป็นหรือยัง ได้ยินว่าเป็นธรรม เข้าใจด้วย แต่เป็นหรือยัง หรือเป็นเรา
อ.วิชัย เพียงฟังแล้วเข้าใจ
ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นความห่างไกลกันมากของปัญญาที่เพิ่งเริ่มฟังเริ่มเข้าใจ กับปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะเดี๋ยวนี้ แล้วก็เข้าใจขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นปัญญากว่าจะถึงการที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ลองคิดดู กิเลสหนา ที่เราใช้คำว่าหนา หนาแค่ไหน แต่ละชาติ แต่ละวัน เมื่อสักครู่นี้อาหารอร่อย ใครเห็นโทษ ไม่เลย ใช่ไหม แล้วอย่างนี้หนาขึ้นอีกหรือเปล่า ก็หนาไปเรื่อยๆ การฟังธรรมก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ความจริงว่า ไม่สามารถที่จะให้กิเลสหมดไปได้โดยเร็ว แล้วก็ไม่ใช่โดยความเป็นเราที่จะไปพยายามหาทางที่จะให้หมด แต่มีความเข้าใจเท่าไหร่ ความไม่รู้ก็ค่อยๆ ละคลายไปเท่านั้น
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องตรงเรื่องจริง แล้วก็เป็นเรื่องที่อดทนด้วย ที่คุณวิชัยกล่าวถึงเมื่อส้กครู่ แต่ละคำ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความถูกต้อง ความจริง ความไพเราะ ความหวังดี ความเป็นมิตรที่ดีแค่ไหน ทบทวนก็ได้ เมื่อมีความเข้าใจแล้วเราจะเห็นค่าของแต่ละคำ และรู้ว่าเพราะเข้าใจนี่เองทำให้สามารถเข้าใจข้อความอื่นต่อไปด้วย อย่าข้ามข้อความใดที่ผ่านหู แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วความเข้าใจนั้นก็จะเพิ่มขึ้น
อ.วิชัย ชื่อว่าปุถุชน ด้วยเหตุทั้งหลายมีการยังกิเลสหนาให้เกิด เป็นต้น
ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่กิเลสเกิดแล้วเพราะกิเลสหนา ถ้าไม่มีกิเลสหนาๆ เมื่อสักครู่นี้รับประทานอาหารก็ไม่มีกิเลสมาก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกิเลสหนาที่มี ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมดก็ยังกิเลสนั้นให้เกิดขึ้น แต่ถ้าความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นตามลำดับ ขณะนั้นสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่ใช่เรา แต่เป็นอนัตตา จะเห็นได้ว่าใครก็กระโดดจากขั้นฟังให้ไปถึงขั้นนั้นไม่ได้ แต่ความค่อยๆ เข้าใจทีละน้อยเป็นเรื่องที่ตรงว่า ความสามารถที่จะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นโดยความเป็นอนัตตาต้องมาจากเหตุ คือการฟังเข้าใจนั่นเองเป็นปัจจัยที่จะให้สติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐานเกิดได้
ระหว่างรับประทานอาหาร กิเลสเก่าที่หนาแน่นมากก็ทำให้กิเลสใหม่เกิดขึ้น อร่อยไปหมดเลยแต่ละคำ กี่คำ เมื่อสักครู่นี้กี่คำ หลายคำ ทุกคำด้วยอำนาจของความพอใจ แต่ถ้ามีปัญญาสะสมไป ยังมีโอกาสที่จะมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นความต่างกันของปัญญาซึ่งเกิดจากการเข้าใจขึ้นกับปัญญาที่เพิ่งเริ่ม ระดับไหนเเล้ว มีระดับให้รู้ด้วยว่าระดับไหนจึงจะเป็นการเจริญของปัญญาขึ้น
อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงกิเลสหรือ ธรรมที่เศร้าหมองที่เป็นอกุศลธรรมก็มีมากมาย แต่ว่าการละก็เป็นไปตามระดับขั้น อย่างที่ท่านสารีบุตรท่านแสดงถึงว่าที่ชื่อว่าปุถุชน เพราะยังละสักกายทิฏฐิไม่ได้ แสดงถึงว่าสักกายทิฏฐิเป็นธรรมที่ต้องมีปัญญาที่จะละสิ่งนั้นได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ ได้ยินทุกวัน ธรรม แล้วเดี๋ยวนี้ เรา เพราะฉะนั้นความเป็นเราหนาแน่นมาก เพราะเหตุว่ากิเลสมีมาก อกุศลเจตสิกมี ๑๔ น้อยหรือมาก? ๑๔ น้อยกว่าทางฝ่ายโสภณ แต่มีพวกมากกว่า เกิดมานานพรรคพวกมาก พร้อมที่จะเกิดได้ตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับทางฝ่ายกุศล พรรคพวกยังน้อย กว่าจะรวบรวมกำลัง กว่าจะมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ไม่รู้ เป็นเจตสิกหนึ่ง ใช้คำว่า โมหเจตสิก หลง ลุ่มหลง ไม่รู้ความจริงจึงหลง ถ้าใช้หลงเมื่อไหร่ หมายความว่าไม่รู้ใช่ไหม โมหะคือความหลง ไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงแค่หลับตาไม่มี หลงเเล้ว เห็นอะไร มีคนตั้งมากมาย หลับตาแล้วหายไปไหน ไหนว่ามีคนมาก แค่นี้ความจริงก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่าการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานกว่าบุคคลอื่นเป็นพระมหาโพธิสัตว์ หรือ พระมหาสัตว์ เพื่อที่จะรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่มีบารมี ไม่มีความอดทน ไม่มีความเมตตา ไม่มีอะไรมากพอที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นสาวก ก็ยังดี ถ้าไม่เป็นเลยก็แย่หน่อย ไม่ได้ฟังอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามก็เห็นว่า คำจริงทุกคำจะรู้ไม่ได้หรือในเมื่อจริง ต้องรู้ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเพราะอะไรถึงเป็นเครื่องกั้น หนึ่ง ไม่รู้ แล้วยังเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง โต๊ะอยู่ในห้องนี้กี่ตัว เกิดดับหรือเปล่า ก็ไม่เห็นสักอย่าง คนก็ตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นเกิดดับอะไรเลย ไม่สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ จึงหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แค่หลับตาแล้วไม่มี ยังไม่เชื่ออีกหรือ ว่าลืมตามีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เพราะอะไร แค่หลับตาไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คนหายไปหมดเลย
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่มีคนในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งกระทบตา เป็นปัจจัยให้ธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นสีสันวัณณะต่างๆ หลายสีตัดกัน ทำให้จำได้ว่าเป็นอะไร แล้วยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเที่ยง จึงมีความยึดมั่นว่าถ้วย แก้ว โต๊ะ เก้าอี้ ยังอยู่หมดเลย เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ เพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก สิ่งที่ปรากฏคือ รูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้หลงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแตกย่อยเหลือเพียงเล็กที่สุดก็ไม่มีเเล้ว มารวมกันแล้วไม่รู้ แล้วก็เกิดดับอย่างเร็วสืบต่อกัน ก็ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน โมหะ ไม่รู้แค่ไหนเพราะความลวง และก็ยังให้เกิดความเข้าใจผิด ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คุณวิชัย เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ เป็นคุณวิชัย แต่ตัวคุณวิชัยเองยึดถือว่านี่เป็นเรา ถ้ายึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็น อัตตานุทิฏฐิ ถ้ายึดถือสิ่งที่เป็นอัตตานั่นว่าเป็นเราก็คือ สักกายทิฏฐิ ขอเชิญคุณคำปั่นให้คำแปลด้วย
อ.คำปั่น คำสองคำก็คือ อัตตานุทิฏฐิ เป็นความเห็นผิดที่ตามเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่ประชุมกันคือ จิต เจตสิก รูปของแต่ละบุคคล แล้วมีการยึดถือว่าเป็นตัวเรา นี่คือความเห็นผิดสามัญ เพราะว่าไม่ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เราหมดเลย ตัวเรา ของเราทั้งนั้น แต่เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มี เพียงจำไว้ว่ามี ใครมีปอดบ้าง นั่งอยู่ตรงนี้ ไหนปอด ไม่คิดมีไหม ไม่มี แต่เมื่อคิด มีแล้ว ปอดใคร อยู่ตรงนี้ก็ต้องปอดเรา ทั้งหมดเลย เจ็บไหม เมื่อยไหม ปวดไหม เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อมีกายแล้วจะพ้นจากทุกข์กายไม่ได้ เดี๋ยวคัน เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวปวด เดี๋ยวเมื่อย ที่ตรงกายนี่เองเป็นธรรมทั้งนั้นเลย มีปัจจัยเกิดและดับ แต่เราเจ็บใช่ไหม เราเมื่อยใช่ไหม เราปวดใช่ไหม ยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีว่าเป็นเรา และของเรา
ประการแรกที่ว่าเมื่อเป็นเราแล้ว รักเราที่สุด ติดข้องในตัวตนนี้ที่สุดยิ่งกว่าอย่างอื่นหมด ถูกหรือผิด ให้ใครให้อะไรก็ให้ได้ มีความเมตตา ให้สิ่งที่ยังชอบอยู่หรือเปล่า หรือว่าให้สิ่งที่ให้ได้ เอาไปเลยสิ่งนี้เอาไปได้ แต่ว่าสิ่งอื่นที่ชอบ ให้หรือยัง หรือให้หรือเปล่า ก็ไม่ให้ เพราะฉะนั้นรักใคร ก็รักตัวที่สุด นี่คือของภายนอก ภายในที่ยึดถือว่าเป็นเราก็ยิ่งรักมากกว่าสิ่งที่สละได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นติดไปหมดเลย แล้วก็มีความยึดถือว่าเป็นเราอย่างมั่นคง แม้แต่เกิดก็บอกว่าเราเกิด ความจริงจิต เจตสิก รูปเกิด ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นธาตุรู้จะเป็นสัตว์บุคคลไม่ได้เลย ไม่ว่าเป็นช้าง เป็นนก เป็นลิง เป็นยุง เป็นอะไรก็ตามแต่ ต้องมีธาตุรู้ กับรูปร่างซึ่งแตกต่างกันโดยกรรม กรรมที่ได้ทำแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทำแล้วด้วย ดับไปแล้วด้วย แต่แรงกรรมสามารถที่จะทำให้เกิดที่ไหนก็ได้ ในน้ำก็ได้ บนบกก็ได้ มีปีกก็ได้ ไม่มีขาก็ได้ ได้หมดเลยทุกอย่าง นั่นหรือเรา? มาได้อย่างไร? แต่ว่ามีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้จึงเป็นเรา เเล้วก็มีความรักเรา เมื่อมีความเป็นเรา รักเรา ก็ทำทุกอย่างเพื่อเรา กิเลสทั้งหลายก็ตามมาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้กิเลสมากมายหนาแน่นอย่างที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ยิ่งกว่าจักรวาล แล้วกิเลสอะไรจะต้องหมดสิ้นไปก่อนกิเลสอื่น ก็คือการเข้าใจผิดว่าเป็นเรา เมื่อไม่ใช่เราแล้ว ตอนนี้เบาขึ้นไหม
ความดีทั้งหลายก็ทำเพิ่มอีก ได้อีก ไม่หวง ไม่ติดข้องเหมือนอย่างเดิม ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าตราบใดที่ยังเป็นเรา เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ ปัญญาต้องมีความเห็นถูกต้องตามเป็นจริง ดับการยึดถือว่าเป็นเราจึงเป็นพระโสดาบัน
เดี๋ยวนี้ธาตุรู้เป็นอย่างไร สงสัยไหม ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่สีสัน ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่แข็ง เกิดแล้วรู้ รู้อย่างเดียว ธาตุรู้ปรากฏหรือยัง ยังไม่ได้ปรากฏตราบใด สงสัยตราบนั้น ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับทั้งนามธรรม และรูปธรรม สงสัยไหม ไม่ประจักษ์แจ้งก็ต้องสงสัย จะหมดความสงสัยได้อย่างไร ดังนั้นผู้ที่หมดความสงสัยเพราะรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะดับการหลงเข้าใจผิดว่าเป็นเราได้ ก็เป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นกิเลสอื่นต้องหลังจากที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็รู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังมีกิเลส ยังติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงอีกต่อไป เพราะกว่าจะเป็นพระโสดาบันปัญญาก็ได้ประจักษ์แจ้ง จึงสามารถที่จะละการยึดถือว่าเป็นเราได้
สิ่งที่เหลืออยู่ก็เกิดปรากฏให้ปัญญาค่อยๆ เห็นโทษตามลำดับ จนกระทั่งละได้เป็นพระสกทาคามีบุคคล ละกิเลสหยาบที่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือสัมผัสทางกาย และสามารถที่จะดับการยินดีติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ยังมีความเป็น คิดดู กิเลสหนาแน่นเหนียวแน่นมากละเอียดมากเลย การดับกิเลสก็ต้องค่อยๆ เป็นไปตามลำดับจนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ พระมหากรุณา ถ้าไม่มีการได้ฟังพระสารีบุตรก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ พระโมคคัลลานะ และสาวกทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อเหตุนี้ เพื่ออนุเคราะห์ให้เขาได้เข้าใจถูกตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครอยู่ที่ไหนทั้งสิ้นในกาลไหน เพราะฉะนั้นที่เราได้ยินได้ฟังทุกคำมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ผู้ฟัง ถ้าเราฟังแบบนี้ สิ่งที่มีที่ปรากฏที่กระทบ หรือสัมผัสได้ เมื่อมีการยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่มี สิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถจะแก้ไขได้ ก็ต้องปล่อยไป
ท่านอาจารย์ ปล่อย หมายความว่าอย่างไร
ผู้ฟัง ยอมรับความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ยอมได้หรือ อนุญาตหรือ? หรืออย่างไร? กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องไปปล่อย ไม่ต้องไปทำอะไร สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไปยอมไปปล่อยได้อย่างไร ไม่มีอะไรจะให้ต้องยอมต้องปล่อยเพราะหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่มีความเข้าใจขึ้น คำพูดก็จะถูกต้องตรงขึ้น ใครบอกว่าจะปล่อย ปล่อยได้อย่างไร มีอำนาจอะไรมาปล่อย สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่ต้องคอยให้ปล่อยก็ดับไปแล้ว
ผู้ฟัง ที่ถามก็เพราะแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องก็ยังยึดติดอยู่ว่าเป็นไปได้ ทำได้ ยอมรับได้
ท่านอาจารย์ ตอนนี้เข้าใจขึ้นใช่ไหม
ผู้ฟัง พอเริ่มเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ตั้งแต่ธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับ แค่นี้ทำอะไรได้ ใครไปทำได้ ใครไปเปลี่ยนได้ ใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ เกิดแล้วใครไปทำให้ไม่ดับได้ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ซึ่งใช้คำว่า ธรรมดา ความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้นปัญญาเห็นถูกต้อง ละความเห็นผิด ไม่ใช่เราไปทำอะไรได้ ความเข้าใจถูกที่ทำให้ความเห็นที่ผิดค่อยๆ น้อยลง
ผู้ฟัง ขณะที่เรายังมองเห็นอยู่ว่าเป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ เป็นแก้ว เหมือนกับว่าเป็นการเห็นผิด คือเหมือนเรายังหลับอยู่ ยังไม่ได้ตื่น ถ้าตื่น คือเราจะต้องเห็นตามความเป็นจริง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
