ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
ตอนที่ ๑๑๑๗
สนทนาธรรม ที่ เวลเนสซิตี้ บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ว่า จิตเกิดดับทุกคำพูดที่เราพูด ไม่เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำของพระองค์ที่ตรัสไว้ดีแล้ว๔๕พรรษาทุกคำละเอียดมาก เป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และตั้งแต่เกิดจนตายก็พูดคำที่ไม่รู้จัก แต่ละคำฟังดูแปลก แต่ว่าเป็นความจริงเพราะเหตุว่า ใครจะพูดอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ในเมื่อก่อนนั้นไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พูดกันไป ไม่ว่าคำอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อมีการตรัสรู้แล้วเราทุกคนเคารพสูงสุดคือพระรัตนตรัย คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าถ้าเคารพจริงๆ ก็คือว่าต้องรู้จักพระองค์ โดยการที่ว่าได้ยินได้ฟังคำที่พระองค์ตรัสแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ จึงจะชื่อว่าได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้นแล้วเราก็ได้พบแต่พระพุทธรูป กราบไหว้สักการะเทศกาลต่างๆ แต่ว่าถ้าถามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร หรือว่าทรงตรัสรู้อะไร ก็ถ้าไม่ฟังมาก่อนรู้ไม่ได้เลย
แต่ละคำต้องไม่ประมาทเลยว่าเราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เพราะฉะนั้นด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง ต้องรู้ความลึกซึ้งของแต่ละคำที่พระองค์ตรัส ไม่เผินเลย ไม่ว่าจะเป็นคำใดทั้งสิ้น ที่พูดคำว่าจิตเกิดดับ รู้จักจิตหรือยัง แล้วไปสงสัยคำว่าเกิดดับใช่ไหม แต่ความจริงเดี๋ยวนี้มีจิตหรือเปล่า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะผ่านไปง่ายๆ แต่ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่าก่อนจะถึงเกิด และดับ แสดงว่าต้องมีสภาพธรรมที่เราใช้คำว่าจิต จิตเป็นสภาพรู้ ไม่มีรูปร่างเลยทั้งสิ้น แต่ว่ารู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เพราะเมื่อมีสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ การเป็นเหตุเป็นผลต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง ถ้าเพียงแต่ว่าถาม แล้วเขาก็ตอบ ไม่ใช่ปัญญาของเรา แต่ว่าทุกคำที่ได้ฟังต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ
เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าจิต มีหนังสือมากมายเลยทั้งภาษาไทย ทั้งภาษาต่างประเทศมากมายกล่าวเรื่องจิต แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องจิตต้องไม่เหมือนใคร จิตเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เมื่อมีสภาพรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่มีการรู้ เป็นจิตไม่ได้เลย เช่น ขณะนี้กำลังได้ยินเสียง ใครจะคิดบ้างว่าไม่ใช่เราได้ยิน แต่เป็นธาตุรู้ที่สามารถเกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วดับไป แต่ละคำต้องคิดว่ามีอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าไม่เคยคิด ไม่เคยไตร่ตรอง ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หรือได้ยินก็ผ่านไป คิดว่าเกิดมาแล้วก็เจ็บป่วยบ้าง มีลาภมียศ แล้วก็เสื่อมลาภเสื่อมยศบ้าง คิดว่านั่นคือความเปลี่ยนแปลง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ความจริงละเอียดลึกซึ้งทุกคำ ได้ยินขณะนี้มีไหม ต้องคิดเเล้ว หรือไม่ต้องคิด ตอบง่ายๆ เลยว่า เดี๋ยวนี้ได้ยินไหม
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ แต่ก่อนนี้เป็นเราได้ยิน ใช่ไหม แต่ความจริง ธาตุรู้ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ ไม่มีเเล้ว มีเสียง แล้วก็มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก่อนอื่นที่จะพูดเรื่องอะไรก็ตาม ให้ทราบว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริง เป็นความจริง เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ สิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าธรรม แต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่าธรรมคืออะไร แต่เดี๋ยวนี้ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะสิ่งที่มีจริง สมควรอย่างยิ่งที่จะรู้ที่จะเข้าใจ เช่น ได้ยินมีจริง คิดมีจริง เราจะพูดเรื่องอื่นดีไหม หรือว่าจะพูดเรื่องคิด จะพูดเรื่องได้ยิน จะพูดเรื่องเห็น จะพูดเรื่องชอบ จะพูดเรื่องไม่ชอบ ทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมทุกอย่าง อย่างละเอียดยิ่ง แต่ละหนึ่งๆ ไม่ได้ปะปนกัน เห็นไหม เดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเห็นไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่มีเห็น
ท่านอาจารย์ ถ้าได้ยินไม่เกิด จะมีได้ยินไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังมีในขณะนี้หมายความว่า สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ คือเราไม่ได้คิดเอง แต่เรากำลังค่อยๆ ฟังความจริง เพื่อจะเข้าใจคำที่ถามเมื่อสักครู่นี้จิต เกิดดับ ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตคืออะไร เราก็ไม่เห็นการเกิดดับไม่เข้าใจเลยใช่ไหม แต่ต้องรู้ก่อนว่าเห็นไม่ใช่เรา หรือว่าเป็นเรา? ถ้าเห็นไม่เกิดมีเราไหม เห็นเกิดแล้วเป็นเราหรือเปล่า เห็นดับไปหมดแล้ว เราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งมีจริง ซึ่งต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เป็นผู้ที่ตรง เห็นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีเห็น ทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง น่าจะได้นะ
ท่านอาจารย์ ได้หรือไม่ได้ เดี๋ยวนี้เห็นแล้วไม่เห็นมีใครทำเลย เห็นแล้วทั้งนั้นเลย กำลังเห็น ไม่ได้มีใครทำสักคน ใครไปทำ
ผู้ฟัง เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเอง
ท่านอาจารย์ เห็นเกิดแล้ว ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยเห็นก็เกิดไม่ได้ อยู่ดีๆ จะให้อะไรเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุมีผลไม่มีปัจจัย เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีตาเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่มีตา ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้แล้วใช่ไหมว่าแม้แต่เห็น ซึ่งมีจริงกำลังเห็นอยู่แท้ๆ ไม่ได้คิดเลยสักนิดเดียวว่าเห็นเกิด แล้วก็ดับด้วย เพราะว่าขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่เห็น
ผู้ฟัง แต่ทั้งๆ ที่ยังเห็นอยู่ แล้วบอกว่าดับ คือไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ขณะที่ได้ยิน
ผู้ฟัง ขณะที่ได้ยิน
ท่านอาจารย์ อะไรปรากฏ ได้ยินอะไร
ผู้ฟัง ได้ยินเสียงพูด
ท่านอาจารย์ ได้ยินเสียง ถ้าไม่มีธาตุที่ได้ยิน เสียงจะปรากฏว่ามีได้ไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่มีธาตุที่ได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้
ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังได้ยิน เฉพาะเสียงใช่ไหมที่ปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้น พูดเรื่องเห็น เห็นต้องเกิด เห็นแล้ว
ผู้ฟัง เห็นแล้ว
ท่านอาจารย์ เห็นแล้ว เมื่อพูดเรื่องได้ยิน ได้ยินต้องเกิด เสียงปรากฏแล้ว
ผู้ฟัง เสียงปรากฏก็ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ขณะได้ยิน เฉพาะขณะที่ได้ยิน อะไรปรากฎ
ผู้ฟัง เสียง
ท่านอาจารย์ เสียงเท่านั้น ขณะที่กำลังเห็น เสียงปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง ขณะที่กำลังเห็น เสียงไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจชัดเจนแล้วใช่ไหมว่า เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เห็นต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่เห็น ได้ยินต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเวลาเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ จึงมีขณะที่ได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับ
ผู้ฟัง ทีละขณะ
ท่านอาจารย์ ทีละขณะ
ผู้ฟัง คือหมายถึงอย่างนี้
ท่านอาจารย์ จริงหรือเปล่า เราพูดคำว่าได้ยิน แต่เราก็ยังไม่รู้ และเราคิดว่าเราได้ยิน เราพูดว่าเห็น เราก็คิดว่าเราเห็น แต่ความจริงเพียงเห็นไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีเราที่เห็น แต่เพราะเห็นเกิด แล้วไม่รู้ว่าเห็นเกิด และดับ ก็เป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นสภาพรู้ ธาตุรู้ มีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือจิต
ผู้ฟัง นั่นคือจิต ก็คือจิตดวงเดียวถูกไหม
ท่านอาจารย์ หนึ่งขณะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง หนึ่งขณะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราไม่เคยรู้จักจิตเลยทั้งๆ ที่มีจิต
ผู้ฟัง ไม่รู้จัก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจจิตขึ้น เช่น จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ ไม่ใช่สองขณะพร้อมกัน เช่นเห็นกับได้ยินเกิดพร้อมกันไม่ได้
จิตเห็นดับ การดับไปของจิตก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ยับยั้งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ธาตุรู้ คือจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ของตน ของตน จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น จิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน แต่เกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้ เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ รับรองแล้วใช่ไหมว่าเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่าจิตเกิดขึ้นแล้วดับ เมื่อดับแล้ว การดับไปของจิตขณะก่อนเป็นปัจจัย ให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ตั้งแต่เกิดจนตายมาถึงเดี๋ยวนี้ จริงไหม อยู่ที่ตัวแท้ๆ เลย กำลังเห็นด้วย กำลังได้ยินด้วย แต่ไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
ผู้ฟัง แสดงว่าจิตเกิดดับคือ มันสืบเนื่องติดกันมากจนเราไม่สามารถ
ท่านอาจารย์ แต่ต้องดับก่อน ทีละหนึ่ง จิตเกิดขึ้น ถ้ายังไม่ดับไปจิตอื่นเกิดไม่ได้ ต้องจิตนี้เกิด และดับไป การดับไปของจิตนั่นเอง เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อวานนี้มาถึงวันนี้ เมื่อเช้านี้มาถึงเดี๋ยวนี้ ต่อไปก็ถึงพรุ่งนี้ เป็นจิตแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่น
ผู้ฟัง แสดงว่าเราไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว ยึดถือสิ่งที่เกิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่มีเมื่อเกิด เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย
ผู้ฟัง ไม่กลับมาอีกด้วย หมายถึงว่าเราคิดต่อไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เห็นเมื่อสักครู่นี้
ผู้ฟัง ก็เห็นใหม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง ได้ยินที่ผ่านมาแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์จะหาอีกไม่ได้เลย
ผู้ฟัง เข้าใจแล้วท่านอาจารย์ กราบขอบพระคุณ
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าจะมีความเข้าใจ พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมาทไม่ได้สักคำเดียว แม้ว่าฟังแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยตัวเองว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นขอเริ่มต้นย้อนไปที่คำว่าธรรม เพราะพระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธรัตนะ ๑ พระธรรมรัตนะ ๑ และพระสังฆรัตนะ ๑ ทุกคนรู้จักกันหมดเลยโดยชื่อ แต่ว่าจะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ได้อย่างไรว่าเป็นรัตนะ แต่ละคำต้องเข้าใจจริงๆ รัตนะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรเปรียบได้เลย เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เปรียบไม่ได้ เพราะเหตุว่าเกิดมาไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติเต็มไปด้วยความไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ แม้ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้อย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว
กว่าจะมีโอกาสได้ฟังแต่ละคำ และเข้าใจ และก็ต้องเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่าก่อนจากโลกนี้ไปก็ไม่ได้จากไปด้วยความไม่รู้ แต่ว่าเริ่มมีความรู้มีความเข้าใจขึ้น พระอรหันตสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ให้ทราบว่าเราศึกษาสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะเต็มไปด้วยความไม่รู้ทั้งนั้น
ให้เข้าใจตั้งแต่คำแรก ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สงสัยไหมคำนี้ ฟังดูง่าย แต่ว่าอะไรมีจริง เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เห็นอะไร เห็นมีจริง เเละสิ่งที่ถูกเห็นมีจริงใช่ไหม แต่ว่าสิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เห็น และสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงๆ เห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่มากระทบที่ตา
ท่านอาจารย์ อะไร
ผู้ฟัง สีสันวัณณะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เริ่มจากการฟังเเล้วเข้าใจ เห็นคนหรือเปล่า
ผู้ฟัง จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าเห็นคน เห็นดอกไม้ เพราะว่ามันเป็นดอกไม้ เป็นคนจริงๆ แต่ที่ได้ฟังท่านอาจารย์บอกว่าเห็นสีสันวัณณะต่างๆ
ท่านอาจารย์ วัณณะเป็นอีกคำหนึ่งในภาษาบาลี หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สีสันวัณณะที่ภาษาไทยโดยใช้คำว่าสีสันวัณณะ หมายความถึงวัณณะคือ สิ่งที่ปรากฏกระทบตา ถามว่าเห็นคนได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ต้องมั่นคงจริงๆ ในแต่ละคำ
ผู้ฟัง แต่เหมือนก็ยังรู้สึกว่าทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่คน ทั้งๆ ที่เป็นคน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่คิด เป็นคนไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่คิด ถ้ามองแล้วไม่คิดอะไรเลย ก็จะไม่เห็นอะไรเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็น ไม่ใช่ คิด
ผู้ฟัง เห็นไม่ใช่คิด จึงไม่ปรากฏเป็นอะไรๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องแยกเห็น กับ คิด บางคนเห็นอะไรอยู่ที่พื้น
ผู้ฟัง ถ้าเห็นบวกกับคิด
ท่านอาจารย์ ทีละอย่าง
ผู้ฟัง ทีละอย่างหรือ?
ท่านอาจารย์ สืบต่อกันได้ แต่ไม่พร้อมกัน เกิดดับสืบต่อเร็วมาก แต่ทีละหนึ่ง
ผู้ฟัง ทีละหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เวลาเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พื้นดิน ไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร ถ้าเป็นสิ่งซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน เดากันใหญ่ว่าอะไร ต่างคนต่างคิดใช่ไหม ไม่รู้ว่าอะไร แต่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นแล้วจึงคิดว่าสิ่งที่เป็นรูปร่างอย่างนั้นคืออะไรที่เคยจำไว้ นี่คือละเอียดมากแค่ไหนธรรม แล้วถ้ามีความเข้าใจจะรู้เลยว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาเลยจึงเป็นรัตนที่ประเสริฐที่สุด เงินทองซื้อความเข้าใจไม่ได้ จะกี่พันล้านหรือเอาทรัพย์สมบัติกี่โลกมารวมกันก็ซื้อความเข้าใจไม่ได้ แต่พระธรรมที่ทรงพระมหากรุณาแสดงโดยพระองค์โดยนัยประการต่างๆ อย่างละเอียดยิ่ง ทำให้เริ่มมีความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้
ชาวโลกไม่รู้ว่าเห็นอะไร แต่พระสัมมาพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เห็นมีจริงไหม กำลังเห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นจริงๆ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีหรือ ถ้าไม่เกิดจะมากระทบตาได้ไหม กว่าจะเห็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ จนกว่าจะถึงความเป็นสังฆะรัตนะ
ผู้ฟัง คืออย่างที่บอกว่าเห็นดอกไม้มีจริง แล้วก็ดับไป จริงๆ แล้วก็ไม่มีจริง อย่างนี้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงก่อน ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เข้าใจตามลำดับขั้น ยังไม่พูดถึงดอกไม้ หรืออะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มี สิ่งนั้นต้องเกิด เกิดแล้วดับ แต่ไม่ประจักษ์ไม่แทงตลอดขณะที่สภาพนั้นเกิดและดับ และไม่รู้ด้วยว่าเกิดเเละดับ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้วอย่างไร ก็ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟังได้รู้ได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วก่อนจะเกิดในโลกนี้มีเราหรือเปล่า ไม่มีใช่ไหม และก็เกิดเป็นคนนี้ใช่ไหม ก่อนเกิดเป็นคนนี้ ไม่ได้เป็นคนนี้ เป็นคนอื่นแน่ๆ แต่แล้วก็เกิดเป็นคนนี้ ทุกขณะที่เกิดแล้ว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากขณะที่เกิดมาเป็นเห็น ตอนที่เห็นไม่ได้เหมือนอย่างตอนที่ตายแล้วเกิด
เพราะฉะนั้นเกิดแล้วหนึ่งขณะจิตดับไป อีกหลายขณะก็เห็น อีกหลายขณะก็ได้ยิน อีกหลายขณะก็ได้กลิ่น เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ไม่ได้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับจึงไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดจึงมี แล้วก็ดับไป จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาขั้นฟังแต่ไม่สามารถที่จะรู้จริงๆ อย่างนี้ได้ ปัญญาเจริญขึ้นได้ จึงมีพระอริยสงฆ์ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ ต้องเป็นผู้ที่รู้ความจริง ดับกิเลส และก็เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี ก็ดับกิเลสต่อไป เป็นพระอนาคามีก็ดับกิเลสต่อไป จนถึงดับกิเลสหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์ นี่คือสังฆรัตนะ จากการฟังเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นความจริง เพราะว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้งสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว แต่ว่าสำหรับคนที่เริ่มฟังจะให้เข้าใจอย่างนั้นไม่ได้ เพียงแต่รู้ความต่างว่า เราไม่รู้ แต่ฟังแล้วไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า แม้แต่เห็นกับได้ยินไม่ใช่ขณะเดียวกัน และก็ไม่ใช่เรา หรือใครเลยทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย ใช้คำว่านามธรรม มี ๒ อย่างคือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เห็นเป็นจิตได้ยินเป็นจิต ชอบไม่ชอบไม่ใช่จิตเลย แต่เป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตดับพร้อมจิต นี่คือความละเอียดของชีวิต ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
ผู้ฟัง ตอนแรกๆ ได้ฟังธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ เวียนหัว คือ เครียด
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วเวียนหัว
ผู้ฟัง เวียนหัว เครียดเป็นจริงๆ เป็นจริงๆ
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าฟังธรรมแล้วทำไมเวียนหัว
ผู้ฟัง คือฟังแล้วพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่ฟัง การที่เราทำความเข้าใจกับที่ฟังแล้วเราเครียดมากเลย
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าฟังเพราะอยากรู้
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ได้เพื่อที่จะเข้าใจคำที่แสนยาก ที่ต้องไตร่ตรองจริงๆ จึงจะเข้าใจแต่ละคำ
ผู้ฟัง อยากรู้ว่าอะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยากรู้ แล้วไม่รู้ ก็ต้องเครียด แต่ถ้าฟังเพราะรู้ว่าสิ่งนี้ยากมาก ค่อยๆ พิจารณาแต่ละคำ อย่างขณะนี้ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเลยในโลก อะไรอะไรก็ไม่ปรากฏ โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้แจกัน อะไรก็ไม่ปรากฏ ถ้วยแก้วอะไรก็ไม่มี เพราะไม่มีธาตุรู้ แต่เพราะมีธาตุรู้จึงมีสิ่งที่ปรากฏ ธาตุรู้คือเห็นเดี๋ยวนี้ไง เกิดขึ้นรู้อะไร รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม ไม่ต้องพูดก็ได้ หมดทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือใครก็ตามแต่ เมื่อมีการเห็นเกิดขึ้น แล้วก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็หมดไป แต่ไม่รู้เลย เมื่อเสียงเกิดขึ้น ไม่ใช่ธาตุที่เกิดขึ้นเห็น แต่เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นได้ยิน ไม่เห็นอะไรเลย ขณะที่ได้ยินเสียงปรากฏแล้วก็ดับไป
ชีวิตแต่ละหนึ่งขณะก็ไม่พ้นจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง ที่สำคัญคือคิดนึกต่อทันที เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจากไม่มีก็แค่มี แล้วก็หามีไม่ แต่คิดว่ายั่งยืนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกก็มืดด้วยความไม่รู้ปรากฏเหมือนกับว่ามีสัตว์บุคคลจริงๆ เป็นอัตตา เป็นเรา เป็นเขา แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมแล้วไม่ใช่ว่าจะหมดความไม่รู้ทันที ประจักษ์แจ้งการเกิดดับทันที แต่ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องเข้าใจจริงๆ เพราะสิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ อย่างธาตุรู้ จะไม่เรียกอะไรเลยก็เห็น แล้วเห็นแล้วเป็นอะไร ก็ต้องรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น
เพราะฉะนั้นเห็นจึงไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าใครจะฟังร้อยปีกี่ชาติ ถ้าตราบใดไม่ฟังแล้วก็ไตร่ตรองแล้วก็ค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น จะไม่รู้แจ้งในขณะที่เห็นเกิด และดับ ทั้งๆ ที่เห็นขณะนี้ก็กำลังเกิดเเละดับ ดังนั้นก็เริ่มรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร หลังจากที่ได้ฟังคำพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้า จากพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระทีปังกร ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ แล้วเราฟังนิดเดียวเราก็เวียนหัว แล้วเราก็คลื่นไส้แล้วเราก็เดือดร้อนใช่ไหม ก็เพราะเหตุว่าเราไม่ได้เข้าใจเลย ว่าแต่ละคำจริงแค่ไหน ขณะนี้รู้ว่าเห็นจริงถูกต้องไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้เห็น เพราะเห็นกำลังมี ตรัสรู้สิ่งที่มีแล้วซึ่งคนส่วนใหญ่ลืมคิด ว่ามีชีวิตอยู่แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ กลับไปทำจะให้รู้สิ่งอื่น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140