ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127


    ตอนที่ ๑๑๒๗

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.จักรกฤษณ์ ส่วนแรกก็คือ ไม่ทุกข์กาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน

    ท่านอาจารย์ ไม่ทุกข์กาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นไปได้ไหม ไม่ใช่ว่ามีใครมาบอกว่าเขาเป็นคนวิเศษ สามารถที่จะทำคนนี้ให้มีสุขภาพที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ เลยทั้งสิ้น พูดไม่จริง ใช่ไหม เพราะฉะนั้น คำจริงทุกคำต้องเป็นคำที่ปฏิเสธไม่ได้

    อ. จักรกฤษณ์ ทุกคนปรารถนาที่จะมีสุขภาพกายที่ดี ไม่เป็นโรคภัย

    ท่านอาจารย์ แข็งแรงกันทุกคนแล้วก็ไม่อยากป่วยไข้ เพื่ออะไร น่าคิดไหม เพื่อจะมีชีวิตที่มีความสุข เเล้วความสุขของชีวิตมาจากไหน แม้แต่แค่ความสุขคำเดียวเราก็ไม่ได้เคยคิดเลยว่า ความสุขคืออะไร และความสุขนั้นมาจากไหน

    เพราะฉะนั้น ต้องการมีชีวิต มีร่างกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อมีชีวิตที่มีความสุข ก็ถามคุณจักรกฤษณ์ว่า ความสุขของคุณจักรกฤษณ์มาจากไหน อยู่อย่างไร มีชีวิตอย่างไรถึงจะเป็นสุข

    อ.จักรกฤษณ์ ในส่วนของผมเอง ถ้าไม่ป่วยไข้ก็สุขตามอัตภาพ

    ท่านอาจารย์ ก็แข็งแรงดีแล้ว จะต้องการสุขอะไรอีกหรือเปล่า หรือเท่านี้พอแล้ว

    อ.จักรกฤษณ์ แข็งแรงไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่พอ ไม่เคยพอ แต่ว่าจะเป็นอย่างที่หวังหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง ใช่ไหม ไม่มีใครหรอกที่จะมีความสุขตลอดเวลา แต่ไม่รู้ เพียงแค่หิว สุขไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่สุขแล้ว

    ท่านอาจารย์ เหนื่อย สุขไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่

    ท่านอาจารย์ ทั้งวันๆ โกรธ สุขไหม มีแต่ความไม่สุข ใช่ไหม แต่หวังว่าจะมีสุขตลอดเวลา แต่เหตุทุกอย่างต้องมี เหตุของทุกข์ก็มี เหตุของสุขก็มี ไม่ใช่ว่าจะสุขขึ้นมาลอยๆ อยู่ดีๆ จะไปหาที่ไหน ขอให้มีความสุขลอยมาก็ไม่ได้ ทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุ ถ้าเราสามารถที่จะรู้เหตุของทุกข์ ก็สามารถที่จะละคลายดับความทุกข์ได้ ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้สุข เราก็สามารถที่จะค่อยๆ มีความสุขได้

    ผู้ฟัง ลึกซึ้งมากเหลือเกินที่จะเข้าใจคำตอบนี้ได้ เพราะว่าชั่วชีวิตของเราก็คงจะไม่ได้สมความปรารถนา

    ท่านอาจารย์ คงได้ยินคำที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยๆ ศึกษาธรรม วันนี้หรือเมื่อวานนี้ มีใครศึกษาธรรมบ้าง หรือว่าน้อยคนจะศึกษาธรรม ก็น่าคิดว่า ศึกษาธรรมคืออะไร ทำไมศึกษาธรรม ถ้าไม่รู้จักธรรมจะศึกษาธรรมไหม หรือเพราะไม่รู้จักธรรม จึงศึกษาธรรม

    อ.จักรกฤษณ์ ต้องไม่รู้จัก จึงศึกษา

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แล้ว ไม่ต้องศึกษา

    อ.จักรกฤษณ์ รู้แล้วก็ไม่ต้องศึกษา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แค่คำเดียว ธรรม ลึกซึ้งแค่ไหน แม้แต่คำที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ยุติธรรม ภาษาไทย แต่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

    อ.จักรกฤษณ์ ยุติธรรม ในความหมายที่เราทราบทั่วๆ ไปก็คือ จบลงด้วยความเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ อันนี้ในภาษาไทย ถึงได้ใช้คำในภาษาบาลี ยุติ เป็นภาษาบาลี ธรรม เป็นภาษาบาลี ยุติ แปลว่า สมควร ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบเมื่อสมควร เมื่อเป็นสิ่งที่สมควรถูกต้อง ถ้ายังไม่ถูกต้องก็ต้องหาวิธี หรือทำทุกอย่างจนกว่าจะสมควร หรือ ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าปล่อยไป

    เพราะฉะนั้น ยุติธรรม คือ ธรรมที่สมควร ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น จบลงด้วยการที่ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ซึ่งถ้าเราไม่ได้เข้าใจแต่ละคำก็จะไม่รู้เลยว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แค่นี้ในภาษาไทย เพราะเหตุว่า เราอาจจะได้ยินคำว่าธรรม พูดคำว่า ธรรม อธรรม แต่ว่าจริงๆ แล้วกว้างกว่านั้น คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ภาษาบาลี ธรรม หมายความถึง สิ่งใดๆ ก็ตามที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม อะไรที่มีจริงทั้งหมด แค่นี้เป็นการบ้านเเล้ว ไม่ใช่ว่าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำของคนอื่นโดยการตามเขาไป เขาว่าอะไรก็อย่างนั้น นั่นไม่ใช่ปัญญาของตนเอง ไม่มีประโยชน์เลย อยู่ดีๆ ฟังคำของใครแล้วทำตาม คุณจักรกฤษณ์เคยบอกว่าเหมือนคนที่ถูกสะกดจิต เขาบอกให้ยกมือก็ยก เขาบอกให้เดินก็เดิน เขาบอกให้นั่งก็นั่ง อย่างนั้นหรือ บางคนบอกว่า เขาให้ลืมเสียให้หมด มีท่านผู้หนึ่งบอกว่า ไม่ต้องบอกก็ลืม ไม่ต้องมาบอกให้ลืมก็ลืมแล้ว

    เพราะฉะนั้น คำพูดทุกคำต้องเป็นคำจริง เป็นคำที่ถึงที่สุด คือ สมควร ไม่มีอะไรที่จะถึงที่สุดยิ่งกว่านั้น ก่อนอื่น สักคำหนึ่ง ทีละคำ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาทไม่ได้เลย ต้องตั้งต้นด้วยความเข้าใจ และจะเข้าใจขึ้นๆ ๆ สมกับที่ฟัง มิฉะนั้นการฟังก็เสียเวลา ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่เข้าใจ

    คำหนึ่ง ที่ทุกคนได้ยินแน่ๆ คือคำว่า ธรรม แต่ไม่รู้ว่าคำนี้ในภาษาบาลี หมายความถึง สิ่งที่มีจริง คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส คำนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใคร ไม่ว่าจะภิกษุรูปใดในกาลสมัยใด เป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่พระอรหันต์ จะเปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ เป็นพระบรมศาสดา สิ่งที่ตรัสไว้แล้วจะผิดได้อย่างไร ใครจะมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปสักเท่าไหร่ ความจริงไม่เปลี่ยน ความจริงต้องเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แล้วแต่ว่าจะมีคำใดมาประกอบ เช่น คำว่าอภิธรรม ซึ่งได้ยินบ่อยๆ ไปงานสวดศพก็ได้ยินคำว่า อภิธรรม แต่อภิคืออะไร ธรรมคืออะไร คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลยไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย

    เพราะเหตุว่า ใครจะไปรู้สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ นอกจากต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือไตร่ตรอง ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเอง ไม่ใช่เชื่อ

    ตอนนี้พอจะมีการบ้านไหม หรือ นั่งเดี๋ยวนี้ก็พอที่จะต้องคิดแล้วเพื่อปัญญาของเราเอง ไม่ใช่เขามาบอก แต่ว่าได้ยินคำนี้ ทดสอบความรู้ความเข้าใจได้เลยว่ารู้แค่ไหน แค่ธรรมคำเดียว รู้แค่ไหน รู้จริงหรือเปล่า หรือว่าคิดเอง หรือเขาบอก หรือว่าเพียงฟังมา เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นมรดกล้ำค่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากกว่าจะตรัสรู้และมอบให้ เป็นคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา สำหรับให้แต่ละคนเข้าใจ ไม่ใช่ให้ทุกคนท่อง หรือกราบไหว้โดยที่ไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นความเข้าใจที่ไม่เคยเกิดไม่เคยมี ถ้าไม่ได้ฟังและไม่ได้ไตร่ตรอง

    อ.จักรกฤษณ์ การที่จะรู้จักพระองค์ท่านจริงๆ เราควรที่จะพิจารณาอย่างไร เพื่อที่จะเข้าถึงในคำที่ท่านเริ่มสอน ก็คือคำว่า ธรรมคืออะไร ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่

    ท่านอาจารย์ เราคงจะต้องค่อยๆ พิจารณาแต่ละคำ ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีชีวิตดีหรือเปล่า

    อ.จักรกฤษณ์ ในความเห็นผมก็ดีมากเลย

    ท่านอาจารย์ มีใครดีเท่าพระองค์ไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่มีแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วที่พระองค์ดีกว่า คือต่างกับคนอื่นอย่างไร

    อ.จักรกฤษณ์ ต่างด้วยพระปัญญา

    ท่านอาจารย์ ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องซึ่งตลอดชีวิตจะไม่มี ถ้าไม่ได้ฟังคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพระเหตุว่าถ้าใครคิดเอง ผิดหรือถูก เพราะเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียว จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเมื่อมีความเคารพด้วยการฟังคำของพระองค์ มิฉะนั้นเราก็ไม่ตรง ถ้าเรากล่าวว่าเราเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่ฟังคำของพระองค์เลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น ผู้ตรงต่อการที่จะกราบไหว้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะว่าชีวิตของพระองค์ดี เลิศ ไม่มีบุคคลใดเทียบได้ เพราะทรงเลิศด้วยปัญญา เริ่มเห็นประโยชน์ เห็นค่าของปัญญาไหม หรือใครจะไม่เอา ใครจะไม่มี มีทรัพย์สินเงินทองดีกว่า ปัญญาเอามาทำอะไร คิดอย่างนี้หรือเปล่า

    อ.จักรกฤษณ์ เรามีทรัพย์สินเงินทองอยู่อย่างสุขสบายก็น่าจะพอแล้ว แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากมาย เเล้วต้องการปัญญาไปทำไม

    ท่านอาจารย์ แล้วเกิดมาไปโรงเรียนกันทำไม

    อ.จักรกฤษณ์ ตามหน้าที่

    ท่านอาจารย์ เรียนเเล้วรู้ ใช่ไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ก็รู้ขึ้น

    ท่านอาจารย์ วิชาไหนจะเลิศกว่าวิชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง พิจารณาแล้วก็ไม่มีวิชาไหนที่จะเลิศกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ควรอย่างยิ่งที่จะเรียนไหม ในเมื่อเรียนวิชาอื่นเพื่อรู้เท่านั้นเอง เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะรู้ เพื่อประโยชน์แก่การที่จะมีชีวิตอยู่ แต่วิชาที่เลิศกว่าวิชาใดๆ ทั้งหมด คือ วิชาปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้ายังไม่เห็นประโยชน์จะไม่ฟังเลย หลายคนเกิดมาแล้วก็มีความสุข มีทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งทุกข์ด้วย ไม่ใช่มีแต่สุขอย่างเดียว แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไร้ปัญญา เพราะฉะนั้น ลองคิดดู มนุษย์ต่างกับสัตว์ตรงไหน

    อ.จักรกฤษณ์ มนุษย์มีความคิดที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้

    ท่านอาจารย์ สามารถเข้าใจได้ สามารถฟังได้ สามารถศึกษาได้ ก่อนอื่น ก็คือวิชาที่สูงสุด คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจโดยประมาทไม่ได้เลย เพราะเราเป็นใคร สมมติว่าเราเป็นเศษผงดินอยู่ที่โลกนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ไกลแสนไกลเหนือฟ้าไปอีก นี่คือความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระองค์ อย่าประมาทคิดว่าเข้าใจแล้ว หรือว่าอย่าประมาทคิดว่ารู้ง่ายๆ แต่คำใดก็ตามแต่ละคำๆ ต้องลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    คำแรกก็คือ ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ถ้าสิ่งนั้นไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร เป็นเหตุผลประการหนึ่ง เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียด โดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ที่ไม่มีใครสามารถจะรู้อย่างนั้นได้

    เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่า ชาวพุทธ ก็คือ ผู้ที่ได้ยินคำนี้แล้วมีความเลื่อมใส แล้วก็กราบไหว้บูชา แต่ยังไม่รู้ว่า ในอะไร แต่เมื่อได้ฟังอย่างนี้ก็รู้ว่า ในพระปัญญาคุณ ถ้าไม่มีปัญญาคุณ เราก็คงจะไม่สามารถ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งยากแสนยากที่ใครจะรู้ได้ ศาสดาใดๆ ในโลกนี้ ในเทวโลก ในพรหมโลก ไม่สามารถที่จะรู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    เพราะฉะนั้น วิชานี้มี สามารถได้ยินได้ฟัง สามารถค่อยๆ สะสม สามารถค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงว่าลึกซึ้ง ต้องเข้าใจจริงๆ ทีละคำ เช่น คำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เเค่นี้พอไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่พอครับ

    ท่านอาจารย์ จะไตร่ตรองอย่างไรสำหรับคำนี้ ธรรมคำเดียว เดี๋ยวนี้มีไหม เริ่มคิด ถ้าไม่มี ก็ไร้ประโยชน์ จะฟังทำไม แต่เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ก็มีธรรม แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่พูดคำภาษาบาลีว่าธรรม แต่พูดภาษาไทยว่า สิ่งที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด เดี๋ยวนี้มีไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ถ้ามีจริง เดี๋ยวนี้ก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ บอกได้ไหมว่า อะไรเป็นธรรมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ทุกอย่างรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอะไรก็แล้วแต่ คือ ธรรมชาติทุกอย่างที่เราเห็น

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าธรรมชาติ ห้องนี้มีธรรมชาติไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมชาติในห้องนี้

    ผู้ฟัง เรา คนเรา แล้วก็สิ่งที่ทั้งมีชีวิต ไม่มีชีวิต เป็นธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ เพราะมองเห็น แล้วก็คิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง เพราะเป็นอยู่อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะเห็น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คิดในสิ่งที่เห็นด้วย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่เห็น ไม่ใช่คิด ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นก็มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วคิดก็มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ที่ว่าเห็นมีจริง เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นเกิดขึ้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดขึ้น เพราะตัวเรา

    ท่านอาจารย์ เวลาที่คิด ยังมีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี เวลาเราคิด

    ท่านอาจารย์ ขณะคิดเลย เพราะว่าหลายๆ อย่างใช่ไหม แต่ละหนึ่งๆ ๆ ๆ รวมกันเป็นห้องนี้ มีคนมากมาย มีต้นไม้ มีโต๊ะ แต่แยกออกไปแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง ก็ต้องกล่าวถึงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน อย่างเห็นจะเป็นคิดก็ไม่ได้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ในขณะที่คิด มีเห็นไหม หรือในขณะที่เห็น เฉพาะเห็นจริงๆ มีคิดไหม คิดไม่ใช่เห็น ถูกต้องไหม ต้องทีละหนึ่ง ถ้าเราจะเข้าใจอะไรจริงๆ ต้องทีละหนึ่งจริงๆ หนึ่งเดียวจริงๆ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นหนึ่ง คิดก็เป็นหนึ่ง เห็นไม่ใช่คิดแน่นอน เพราะเห็นต้องอาศัยตา

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่กำลังเห็น มีคิดไหม ขณะเดียวที่เห็น เห็นอย่างเดียว แค่เห็น มีคิดไหม เอามารวมกันแล้วก็เป็นสิ่งซึ่งเรากล่าวว่า เป็นคน เป็นสัตว์ แต่แยกออกได้หมดเลย ละเอียดยิบ อากาศธาตุแทรกคั่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น เห็นเป็นหนึ่ง คิดเป็นหนึ่ง เห็นไม่ใช่คิด เกิดพร้อมกันไม่ได้ เพราะเห็นต้องเห็น คิดต้องคิด จะพร้อมกันได้อย่างไร ถูกไหม หลับตาแล้วก็คิดได้

    ผู้ฟัง ใช่ แต่เดี๋ยวนี้เราลืมตาอยู่ เราก็มอง เราก็เห็น เเต่เราไม่ได้เอาสิ่งที่เรามองเห็นมาคิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ต่อกัน ถ้าเห็นอย่างเดียวกัน เกิดแล้วดับ ไม่มีคิดใช่ไหม ไม่ต่อกัน

    ผู้ฟัง ถ้าเห็นอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ คือเห็นเท่านั้น ไม่มีคิด ไม่เอาคิดมาต่อ ก็มีแต่เห็น

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น เป็นเห็น ในขณะที่คิด เป็นคิด

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่รวมแล้ว และก็ไม่พร้อมกันด้วย นี่คือกว่าจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรารวมไป โดยที่เราไม่ได้เข้าใจแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งถ้าเข้าใจแต่ละหนึ่งแล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.จักรกฤษณ์ ยาก เพราะว่าจากที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ตอนนี้เราเห็น เราก็คิด ดูเหมือนจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันเลย แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราเป็นใคร

    อ.จักรกฤษณ์ เราเป็นปุถุชนธรรมดา

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร

    ผู้ฟัง ก็พระปัญญาสูงสุด

    ท่านอาจารย์ ต่างกันเเล้ว ไม่เสมอกัน ไม่มีใครเสมอพระองค์ได้ เพราะสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทุกอย่างไม่ได้รวมกันเลย แต่ละหนึ่งๆ ๆ อย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ให้รู้ว่าสิ่งนั้นต้องเกิดจึงมี ถ้าไม่เกิดจะมีได้ไหม

    เหตุผลทั้งหมดเลยเป็นปัญญาซึ่งค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ มี ค่อยๆ เกิด หลังจากที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ฟังคำนี้เลยตลอดชาติตลอดชีวิต ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ทรงตรัสรู้อะไร

    เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ไม่ใช่ให้คนอื่นไปท่อง ไปจำ แต่ว่าเพื่อให้เกิดปัญญา ความเห็นถูกต้องของตนเอง เงินทองซื้อไม่ได้ เงินมหาศาลก็ซื้อไม่ได้ สมบัติใดๆ ก็เอาไปซื้อความเห็นถูก ความเข้าใจถูกไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ จึงต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดา ทรงเป็นครู ผู้ที่ฟังคำแล้วเป็นสาวก

    เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ คือ ผู้ที่นับถือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังคำของพระองค์ จึงรู้ว่านับถือใคร

    เริ่มรู้จัก ธรรม คำเดียว สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง และสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นด้วย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือว่า ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่เกิดนั้นดับ ดับ หมายความว่า หายไปหมด ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว เห็นเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน คิดเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน ชอบเรื่องราวต่างๆ เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน ไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่าวันนี้เกิด มีเรื่องที่เกิดขึ้นสืบต่อกัน ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะสืบต่อไปจนถึงตอนเย็น นี่คือชีวิตซึ่งมีแต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพียงเท่านี้ไม่กี่คำ

    แต่ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง ทุกคำเป็นคำจริงที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจ และเห็นคุณค่าเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่ามีอะไรบ้างที่เป็นเรา หรือเป็นของเราจริงๆ มีไหม มีอะไรที่เป็นเรา หรือ เป็นของเราจริงๆ ในเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย

    อ.จักรกฤษณ์ ละเอียดมากๆ แม้แต่คำว่าเห็นที่ท่านจารย์กล่าวว่า เห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังอย่างนี้จริงหรือเปล่า ก่อนอื่น ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพิสูจน์คำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ คำนี้ได้ยินบ่อยไหม เมื่ออะไรเกิดขึ้นก็อนิจจัง แก้วแตกไปแล้วไม่เที่ยง นิจจะ แปลว่า เที่ยง อนิจจะ แปลว่าไม่เที่ยง

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง แค่มี แล้วก็หมดไปทุกอย่าง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ จากไม่มี ก็เกิดมี แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างไม่เว้นเลย รับรองได้ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ทุกสิ่งด้วย เป็นความจริงอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น มีประโยชน์ไหม จากการที่ไม่มี ไม่มีเลย แล้วก็เกิดมีนิดเดียว ให้ติดข้อง ให้พอใจ ให้อยากได้ ให้หลงเพลิดเพลิน แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะสิ่งที่กำลังมี ที่ชอบเดี๋ยวนี้ดับแล้ว

    นี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงไหม เท่านั้นเอง คือ ไม่ใช่เชื่อ แต่จริงไหม ถ้าจริง หมายความว่าเริ่มเข้าใจถูกต้อง ใครจะบอกว่าขณะนี้เห็นไม่เกิด ได้ไหม ในเมื่อกำลังเห็น ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นหรือ ถ้ามีคนบอกว่าไม่มีได้ยิน ก็กำลังได้ยิน แล้วจะบอกว่าไม่มีได้ยินได้อย่างไร ซึ่งได้ยินก็ต้องเกิดขึ้นได้ เเละได้ยินก็ต้องหมดไป ไม่มีแล้ว จากไม่มีได้ยิน ก็เกิดได้ยินแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย อนิจจัง ต่อด้วยทุกขัง สิ่งที่แค่มีลวงเหมือนยังอยู่ แต่ความจริงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มี และดับไป เป็นสุขหรือเป็นทุกข์

    อ.จักรกฤษณ์ ดับไปแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ชาวโลกคิดเอง เกิดมาแล้วตายไปก็เป็นทุกข์ แต่ความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น ทุกข์ หมายความถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่ไม่เที่ยง แค่มี แล้วก็หมดไป จะสุขได้อย่างไร จะเป็นที่น่ายินดีได้อย่างไรเพราะไม่กลับมาอีกเลย ไปหาอีกในสังสารวัฏฏ์ ในสากลจักรวาล สิ่งที่เกิดและดับไป ไม่มีใครพบอีก ตั้งแต่เด็กมาสนุกไหม จำได้เลยว่ามีเพื่อนชื่ออะไร เดี๋ยวนี้เขาอยู่ไหน จากไปแล้ว หาอีกไม่ได้แล้ว

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ พบกับเพื่อนเก่าๆ ก็ดีใจ มีความสุข ได้คิดถึงอดีต ท่านอาจารย์กล่าวว่าหมดไปแล้ว ไม่เหลือแล้ว แต่ยังมีอดีตในความทรงจำ ตรงนี้ที่ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คิด ห้ามไม่ให้คิดได้ไหม คิดมี ใครรู้ว่าใครจะคิดอะไรต่อไป ไม่มีทางรู้ แต่คิดทุกขณะที่เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้ความคิดอย่างนั้น เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ตามการสะสมของแต่ละคน แต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ เห็นอย่างเดียวกัน คิดไม่เหมือนกัน ตามการสะสม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    4 มิ.ย. 2568