ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
ตอนที่ ๑๑๓๓
สนทนาธรรม ที่ แพริมน้ำธาราบุรี จ.กาญจนบุรี
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า ตั้งแต่เกิดจนตายมีแต่ธรรมเท่านั้น ซึ่งธรรมในที่นี้ก็คือ สิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นรูปธรรมคือ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร แล้วก็สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมคือ สภาพรู้ ธาตุรู้ ประโยคดังกล่าวท่านอาจารย์จะเกื้อกูลให้เข้าใจอย่างมั่นคง ในความเป็นจริงของธรรมอย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดจนตายมีแต่ธรรมเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เคยรู้จักเลย เป็นเรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนฝูง แต่ว่าถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้น โดยที่เราไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้เลยเพราะเกิดแล้ว ก็จะไม่มีความเข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเราอยู่ในความมืดที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลงเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือให้รู้ตามความเป็นจริงว่า เราไม่รู้อย่างนี้มานานมาก จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจว่าการตรัสรู้ของพระองค์หมายความว่าอะไร หมายความว่าขณะนี้พระองค์ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งก่อนฟังพระธรรมเราไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร คือมีจริงๆ แต่ไม่รู้ เช่น เห็นกำลังมีจริงๆ ใครทำให้เห็นเกิดบ้าง ใครทำได้ ไม่มีทางเลย ถ้าไม่มีตา รับรองว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดไม่ได้เลย แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าเดี๋ยวนี้แม้เห็นที่กำลังเห็น ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยคือ ต้องมีตา ซึ่งก็ยังไม่พอ ต้องมีสิ่งที่กระทบตาด้วย ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตามสิ่งนั้นต้องกระทบตา แต่ตาก็ไม่เห็น อย่างไรๆ ตาก็ไม่เห็น แต่มีธาตุรู้ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น
การฟังธรรมก็คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะรู้ได้เลยว่าแม้ได้ยินอย่างนี้ก็ยากที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะอะไร แค่เห็นแล้วก็ดับไป ก่อนเห็นไม่มีเห็นแน่ๆ เลย แล้วเห็นก็เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจริงตามที่เราได้ไตร่ตรองไว้ก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าเรากราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยมานานมากเลย แต่ไม่รู้คุณของพระรัตนตรัยว่า สามารถที่จะให้เข้าใจความจริงของทุกอย่างที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายว่า สิ่งนั้นแม้มีก็เพียงแค่ชั่วคราว เห็นไม่ได้เห็นตลอดเวลา เวลาได้ยินไม่เห็น แล้วใครจะรู้บ้างเพราะเร็วมากต่อกันเหมือนกับว่า ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย ทั้งคิดด้วย ทั้งจำด้วยทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดต่อกันสนิท ไม่ปรากฏว่าดับไปเลย ก็เหมือนกับยังมีอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เกิดจนตายจึงไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่า แต่ละอย่างที่กำลังมีขณะนี้กำลังเกิดดับสืบต่อกัน ถ้าเข้าใจก็คือว่าค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรองว่า ยากไหมที่จะประจักษ์แจ้งความจริงเพราะกำลังเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น คำว่าตรัสรู้ไม่ได้หมายความว่าคิดไตร่ตรองแล้วก็เป็นตำรา เป็นคำพูดเรื่องราวต่างๆ แต่เป็นการประจักษ์แจ้งความจริงที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดจริงๆ แล้วก็เห็นดับจริงๆ ประโยชน์ก็คือไม่มีอะไรที่เป็นเรา เคยหลงว่าเห็นเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น แต่ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่เกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้นเลยสักอย่างหนึ่งจะมีเราไหม แต่เพราะเหตุว่าเกิดแล้ว แล้วไม่รู้ก็เลยยึดถือสิ่งที่เกิดแล้วว่าเป็นเรา เห็นเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน เห็นเมื่อเช้านี้อยู่ที่ไหน เห็นเมื่อครู่ก่อนจะเข้าห้องนี้อยู่ที่ไหน แต่ละเห็นก็มีจริงๆ แล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย สืบต่อจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นก็กำลังเกิดดับ
การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้เริ่มรู้ว่าไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ ว่าเป็นโลก เป็นอย่างนี้ อยู่มาในโลกก็นานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่ากำลังอยู่ในโลกที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นทุกคำของพระองค์ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้เลย ใครจะบอกว่าเห็นไม่เกิดดับ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วเดี๋ยวนี้ได้ยินเกิดแล้วได้ยินก็หมดไป เสียงปรากฏแล้วเสียงก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น จึงมีการเข้าใจผิดยึดถือว่าสิ่งที่มีขณะนี้เป็นเรา ตั้งแต่เกิดเป็นเรามาตลอดเวลาจนตาย เราอยู่ไหน ตอนตายเราอยู่ไหน ไม่มีเลย หมายความว่าไม่มีตั้งแต่เกิด เพราะเหตุว่าแค่เกิดแล้วก็ดับ แค่เกิดแล้วก็ดับสืบต่อกันไป เป็นสิ่งซึ่งที่จะเข้าใจได้ไม่ง่าย แต่ว่าค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่เราไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะมีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย เห็นเกิด ไม่ให้เห็นไม่ได้ เห็นหมดสิ้นไป ไม่ให้หมดไปก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง หรือภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม กำลังฟังเรื่องธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ คือเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็สิ่งที่มีจริงเกิดดับ อนิจจัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดดับไม่เที่ยง หาอีกไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมีความพอใจแสวงหาสักเท่าไหร่ สิ่งที่ดับไปแล้วก็ไม่ได้กลับคืนมาสักอย่าง จึงไม่เป็นสิ่งที่น่ายินดีเลย แค่ปรากฏนิดเดียวแล้วหายไปไม่กลับมาอีก แต่เพราะความไม่รู้ก็หลงติดข้องว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงก็คือ ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด อะไรก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น คำว่าโลกหรือโลกะ ที่เราบอกว่าเราอยู่ในโลก โลกนี้มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์ มีคน มีต้นไม้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย โลกไม่มี แต่เมื่อมีทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจึงมี แต่เราไม่รู้ว่าเกิดแล้วก็ดับไปสืบต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ปิดบังทำให้เข้าใจผิดยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเที่ยง แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้น เกิดแล้วปรากฏแล้ว สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้กำลังเกิดดับ ผู้ที่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถรู้จริงๆ ในแต่ละหนึ่ง ไม่ได้รวมกันอย่างนี้ แต่ละหนึ่ง เสียงเป็นเสียงเท่านั้น ไม่ใช่ได้ยิน เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น คิดเป็นคิด ไม่ใช่จำ ทุกอย่างมีความเป็นสิ่งที่มีจริง มี ปัจจัยเกิดขึ้นแต่ละหนึ่ง ชั่วคราวแล้วก็หมดไป ใครจะมีเวลาไปนั่งคิด ใครจะมีเวลาไปนั่งไตร่ตรองว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วก็ดับ ไม่เที่ยง แต่อาศัยการฟังความจริงว่า วันหนึ่งทุกคนต้องจากโลกนี้ไป แต่ก่อนจะถึงวันนั้นก็มีตื่นหลับ ตอนนี้ตื่น ค่ำๆ ลงก็หลับ หลับไปแล้วก็ตื่นอีก อย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เกิดจนตาย ตอนตื่นมีทุกอย่างหมดเลยใช่ไหม กำลังนั่งอยู่ที่นี่ มีแม่น้ำ มีใบไม้ร่วง มีทุกอย่าง แต่หลับไม่เหลืออะไรเลย หลับสนิทไม่มีเรา แต่ยังไม่ตายแสดงว่าต้องมีสิ่งที่มีชีวิต แต่ว่าไม่ได้รู้โลกนี้เลย เหมือนขณะที่เราเพิ่งเกิดขณะแรก โลกนี้ไม่ปรากฏเพราะว่าขณะนั้นไม่เห็น โลกนี้จะปรากฏได้อย่างไร เสียงก็ไม่มี กลิ่นก็ไม่มี รสก็ไม่มี คิดนึกก็ไม่มี ไม่มีใครรู้สึกตัวเลยเหมือนตอนหลับ
เพราะฉะนั้น ตอนหลับจะเหมือนขณะแรกที่เกิด แล้วต่อจากนั้นจึงมีสิ่งที่ปรากฏเป็นตอนตื่น แล้วก็ถึงตอนหลับสลับกันไป ตอนหลับจึงเหมือนตอนเกิด แต่เกิดเพียงหนึ่งขณะเดียว ไม่มีใครเกิดบ่อยๆ ใช่ไหม ต้องตายก่อนถึงจะเกิดได้ ถ้ายังไม่ตายก็มีแต่ตื่นกับหลับไปเรื่อยๆ และตอนหลับไม่มีเราใช่ไหม ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่ปรากฏเลย ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่คิดนึก ไม่อะไรหมดเลย ดังนั้นขณะนั้นจะมีเราได้อย่างไร แต่ยังมีธาตุรู้ มีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ ยังไม่จากโลกนี้ไป ตราบใดที่ไม่ใช่จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้โลกนี้เกิดขึ้นและดับไป ยังไม่ตาย
เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นอย่างนี้ หลับแล้วก็ตื่น หลับเเล้วก็ตื่น ตอนหลับไม่มีอะไร ดีไหม ไม่มีอะไรเลย สบายไหม ไม่ห่วงใย ไม่กังวล ไม่เดือดร้อน ไม่หิว ไม่เบื่อ ไม่จำ ไม่ต้องทำงานอะไรทั้งหมด หลับสนิทเลยไม่มีอะไรเหลือเลย สบายไหม ถ้าไม่สบายทุกคนไม่อยากหลับหรอก แต่ถ้านอนไม่หลับก็ชักจะกระสับกระส่าย อยากจะหลับใช่ไหม
แสดงว่าทั้งวันที่มี เบื่อหรือเปล่าถึงได้อยากจะหลับ ความจริงไม่ใช่เลย แต่เพราะว่าร่างกายจำเป็นที่จะต้องพักผ่อน ใช่ไหม ตื่นอยู่ต่อไปตลอดทุกวันโดยไม่หลับไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องพักผ่อนก็อยากหลับ หลับแล้วอยากฝันไหม
ผู้ฟัง ไม่อยากฝัน
ท่านอาจารย์ แต่ว่าฝันบังคับบัญชาไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าฝันคืออะไร ฝันคือจำ แล้วก็คิดถึงสิ่งที่เคยประสบพบเห็นมา แต่ความฝันก็หลากหลายมาก บางคนอาจจะฝันว่าเหาะได้ ฝันได้หมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะฝันถึงไม่ได้ แต่เป็นเพียงแค่คิด ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะหลับแล้วก็จำทำให้เกิดคิด
ฝันก็คิดทางใจ แต่คิดโดยไม่เห็น เวลานี้เห็นแล้วคิด ถ้าไม่คิดจะไม่รู้เลยว่ารูปร่างอย่างนี้เป็นดอกกุหลาบ หรือว่าเป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ สีสันต่างๆ เหล่านี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้นขณะเห็นไม่ใช่ขณะที่คิด เเต่เกิดต่อกัน เห็นแล้วคิดแล้วก็จำด้วย จากที่ไม่เคยเห็นคนนี้มาก่อน เมื่อเห็นก็จำเเล้ว เห็นอีกทีสามารถจำได้เลย เพราะจำตอนที่เห็น นี่คือชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่พ้นจากสภาพธรรม ใช้คำว่าธรรมเพราะเหตุว่ามีจริงๆ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ภาษาบาลีไม่มีคำว่ามีจริง แต่มีคำว่าธรรม
เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง แต่มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ทรงแสดงพระธรรม อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละหนึ่งขณะ แต่ละหนึ่งวัน ตั้งแต่เกิดจนตายว่าคืออะไร อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล ซึ่งเกิดมาแล้วบางคนไม่ได้ยินธรรมเลยก็อยู่ไปวันๆ อย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจเลยว่าแท้ที่จริงเกิดจนตายคืออะไร หลงเข้าใจว่าเป็นเรา เมื่อตายแล้วไม่มีอีกเลยคนนี้ ไปหาที่ไหนอีกก็ไม่มี สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว แล้วจะเป็นคนนี้แบบไหน แบบรู้ความจริงเป็นคนดี หรือว่าไม่รู้ความจริง หลงยึดถือจนกระทั่งจิตใจเต็มไปด้วยความยินดียินร้ายเศร้าหมอง สามารถที่จะกระทำทุจริตได้ทุกอย่าง ดีหรืออย่างนั้น ชาตินี้เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว
เพราะฉะนั้นชาตินี้ที่เป็นมนุษย์ มีโอกาสพิเศษกว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรม เพราะสะสมมาที่มีโอกาสจะได้ยินสิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นความจริงที่สุด ซึ่งถ้ามีความเข้าใจแล้วความเข้าใจก็จะติดตาม เพราะเหตุว่าเราเกิดมาไม่มีใครเลือกที่เกิดได้เลย เกิดที่ไหนก็เลือกไม่ได้ จังหวัดไหน อำเภอไหน ตำบลไหน บ้านไหน ไม่มีทางที่จะเลือกได้เลยทั้งสิ้น แต่เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยที่ต้องเกิด ไม่เกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเกิด ถึงเกิดมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าทำไมต้องเกิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่าง พระองค์ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือที่จะไม่ทรงตรัสรู้
ทุกคำถามจะมีคำตอบ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีความเข้าใจ แต่ก็ต้องตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ลึกซึ้ง เพียงแค่เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับก็เป็นความจริง เพราะได้ยินไม่เห็นอะไร ได้ยิน ได้ยินเสียงแล้วดับ เพราะฉะนั้นได้ยินก็ไม่เห็นอะไร ขณะกลิ่นปรากฏ ขณะนั้นหลับตาก็ยังมีกลิ่นปรากฎ เสียงไม่ปรากฏ แต่กลิ่นก็ยังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นขณะเดียวในสังสารวัฏฏ์ที่มีกลิ่นนั้นปรากฏ ชั่วขณะนั้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างจะไม่มีเหลือเลย แต่สืบต่อจนเหมือนมี จนกว่าจะจากโลกนี้ไป
เพราะฉะนั้น เกิดมาไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน เมื่อไหร่ ทรัพย์สมบัติที่มีก็ตามไปไม่ได้ ร่างกายที่เคยเป็นเราก็ตามไปไม่ได้เลย หลงเข้าใจว่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นเรา แต่จริงๆ ตัดแขนออกได้ไหม ตัดผมก็ยังได้เลย ตัดออกไปเรื่อยๆ ไม่เห็นมีใครไปตามคิดว่านั่นเป็นเรา แต่เมื่อไม่อยู่ที่ตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลยว่า ที่กำลังมีอยู่เป็นเรา แท้ที่จริงไม่ใช่เลย ออกไปจากการประชุมรวมกันเมื่อไหร่ก็จะไม่เหลือความเป็นเรา ตัดแขนตัดขาได้ไหม ได้หมดทุกอย่าง เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุ สิ่งที่ว่างเปล่าแทรกอยู่ทุกขณะ ทุกส่วนที่ปรากฏเหมือนกับแน่นหนาทึบนั้นแตกย่อยทำลายได้หมด ถ้าแตกย่อยร่างกายนี้ออกแล้ว ไหนเป็นเรา ไม่มีอะไรจะเป็นเราได้เลยสักอย่างเดียว แต่เพราะไม่ได้ฟังธรรม ไม่เคยคิดไตร่ตรองก็มีความเป็นเรา ยังไม่สามารถที่จะสละ ละการที่จะเคยยึดถือว่าเป็นเราเพราะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น รู้จริงกับขั้นฟังต่างกันไกลมาก ขั้นฟังคือเพียงแค่เริ่มที่จะได้ยินได้ฟังคำ ซึ่งไม่มีใครมาบอกเราเลยนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราพูดคำที่เราไม่รู้จักเลยตั้งแต่เกิด จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นเราจะรู้จักพระสัมมาส้มพุทธเจ้าก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น แต่ว่าคำของพระองค์ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นขั้นฟังต้องรู้ว่าเพียงแค่เริ่ม
๔๕ พรรษาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกี่คำ แล้วเราได้ยินกี่คำ ความลึกซึ้งของแต่ละคำก็มีอีกมาก แต่ก็เป็นโอกาสที่เราจะรีบร้อนไม่ได้เลย เพราะถ้ายังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาหมายความถึงความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นเราไม่รู้มานานมาก เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นคนหรือเปล่า เป็นดอกไม้หรือเปล่า ไม่มีใครที่ไม่ได้ยินคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะสิ่งนั้นต้องกระทบตาด้วย ข้างหลังมีสิ่งที่ไม่เห็นเลยเพราะไม่ได้กระทบตา หันหลังไปเมื่อไหร่กระทบตาเมื่อไหร่ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งซึ่งกำลังมีในขณะนั้น แสดงว่าขณะนี้ต้องอาศัยตา ตาอยู่ตรงไหนเห็นตรงนั้น ถ้าตาอยู่ข้างหลังก็ต้องเห็นข้างหลัง ถ้าตาอยู่ตรงไหนก็ต้องเห็นตรงนั้น
ได้ยินก็เหมือนกัน ไม่ใช่ได้ยินที่แขน ไม่ใช่ได้ยินที่ตา แต่เสียงกระทบหู ไม่ใช่ใบหูทั้งใบ ไม่ใช่หูทั้งหมด แต่เฉพาะส่วน จุดเล็กที่สุดที่เป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียง ใช้คำว่าโสตะในภาษาบาลี ใช้คำว่าปสาท เป็นรูปที่ต่างกับแข็ง ร้อน เย็น กลิ่น เพราะว่ารูปนั้นสามารถกระทบเสียง คือมีรูปที่อยู่กลางหูที่สามารถกระทบเสียง เดี๋ยวนี้ที่ได้ยิน ก็คือเสียงกระทบหู จึงมีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง แล้วก็ดับหมด ไม่เหลือเลยทั้งเสียง ไม่เหลือเลยทั้งได้ยิน ไม่เหลือเลยทั้งหูที่สามารถกระทบเสียง นี่คืออนิจจัง พอเข้าใจใช่ไหม
แต่ทุกขัง เข้าใจหรือเปล่า สิ่งที่ไม่เที่ยงนี่เองเป็นทุกข์ เพราะเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ไม่ได้เลย ใครจะไปขอร้องว่าอย่าเพิ่งหมดไปเลย อย่าเพิ่งดับไปเลยอยู่อีกหน่อย ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เกิดแล้วดับ เกือบจะเรียกได้ว่าทันที เร็วสุดที่จะประมาณยากที่จะรู้ได้
เพราะฉะนั้น ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าไหร่ ที่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับที่เร็วสุดที่จะประมาณ จนรวมกันเป็นแต่ละหนึ่งๆ เป็นสิ่งนั้นบ้างเป็นสิ่งนี้บ้าง เริ่มเห็นความต่างของคนที่ไม่เคยฟังธรรมซึ่งอยู่ในโลกของความไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพียงแต่เขาบอกว่าพระองค์คือผู้ที่หมดกิเลสก็กราบไหว้ แต่หมดกิเลสได้อย่างไร ต้องไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เมื่อฟังแล้วก็รู้จักการสะสมของแต่ละคนด้วยตัวเอง ใช่ไหม ไม่ใช่รู้คนอื่น เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับ รู้หรือยัง แค่ฟัง กำลังเกิดดับก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นอีกนานไหม ทำให้ประจักษ์การเกิดดับได้ไหม ใครไปทำได้ ไม่มีทางเลย นอกจากการฟังเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ละสิ่งที่ปิดกั้น ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังเกิดดับก็ไม่รู้เพราะอวิชชาเต็มหมด ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้มีอวิชชา เป็นภาษาบาลี อ (อะ) หมายความว่า ไม่ วิชชาแปลว่ารู้ เพราะฉะนั้นอวิชชาไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ
อวิชชาอยู่ที่ไหน ใครไม่มีอวิชชา ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้นั่นคือ อวิชชา มีจริงๆ คือมีไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เวลาเข้าใจ เข้าใจก็มีจริงๆ กำลังเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าให้เราไปขวนขวายทำอะไรก็ไม่รู้ หลงคิดว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แต่แค่ฟังก็ไม่รู้แล้ว ไปทำอะไรกันเพื่อจะรู้อะไรกัน แล้วบอกว่านั่นเป็นการปฏิบัติธรรม นั่นเป็นวิปัสสนา นั่นเป็นสำนักปฏิบัติ แต่ไม่รู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเริ่มฟังธรรมจึงเริ่มรู้ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นคำที่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สามารถเริ่มเข้าใจได้ ค่อยๆ เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย
อ.คำปั่น เป็นการเริ่มต้นที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลย ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม และสิ่งที่น่าพิจารณาก็คือ กราบไหว้ในสิ่งที่เป็นที่เคารพอย่างยิ่ง คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ คุณค่าของพระธรรมแต่ละคำจะอยู่ที่ไหน คุณค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง จึงจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ในสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เลย
ผู้ฟัง มีผู้ถามว่าทำไมต้องเกิด จะขอสนทนาว่าทำไมต้องเกิด แล้วเกิดมาทำไม
ท่านอาจารย์ อะไรเกิด ทำไมต้องเกิดยังไม่รู้เลย แต่ต้องอะไรเกิด ต้องชัดเจนทีละหนึ่ง
ผู้ฟัง ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็คือมีเราเกิด มีคนเกิด สัตว์เกิด แต่ถ้าศึกษาแล้วก็ทราบว่า ธรรมเกิดตามเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าเป็นความเข้าใจของเราหรือเปล่า ต่อเมื่อมีคำถามให้คิดว่าคืออะไร ต้องตั้งต้นว่าคืออะไร แล้วเราถึงสามารถที่จะกล่าวถึงสิ่งนั้นต่อๆ ไปให้ละเอียดขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร ทั้งหมดเป็นโมฆะ พูดไปทั้งวันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ก่อนอื่นต้อง คืออะไร ให้ชัดเจน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
