ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
ตอนที่ ๑๐๙๙
สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ รู้ว่ามีโลภะ แล้วไม่อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่ใจของแต่ละคน ซึ่งมีโลภะมากมายตั้งแต่ตื่น คั่นด้วยไม่ชอบบ้าง หรืออย่างอื่นบ้าง แต่โลภะก็เป็นพื้น ที่ทำให้มีความพอใจทุกครั้งที่มีการเห็น การได้ยิน พอใจที่จะเห็น และยังพอใจในสิ่งที่ถูกเห็นด้วย เพราะฉะนั้นจะรู้โลภะเดี๋ยวนี้ เห็นอะไร
ผุ้ฟัง เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ ง่ายๆ ธรรมดา แล้วพูดกันทั้งวัน เห็นเสื้อ เห็นรถยนตร์ ไปที่ไหนก็เห็นทั้งนั้นเลย เห็นนก เห็นแม่น้ำ เห็นฝนตก พูดแต่สิ่งที่มี แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เห็นแล้วพอใจที่จะเห็นไหม
ผู้ฟัง พอใจที่จะเห็น
ท่านอาจารย์ ไม่เห็นดีไหม ทั้งวันไม่เห็นเลย ดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ โลภะ ติดข้องในการเห็น แล้วยังยึดถือว่าเราเห็นซ้อนเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นกิเลสเพิ่มขึ้นเเล้ว โดยที่ถ้าไม่บอก ไม่ทรงแสดงไว้ก็ไม่มีใครรู้ว่า มีกิเลสมากแค่ไหน โลภะมีแล้วก็ยังมีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ความไม่รู้มีมากระดับไหน จนกระทั่งต้องได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นจึงสามารถที่จะละกิเลส สภาพที่เศร้าหมองทำให้จิตใจไม่ผ่องใส ด้วยปัญญาที่เข้าใจขึ้นว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืมธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เห็นไม่ใช่เรา เกิดแล้วก็ดับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องสามารถกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา จิตเห็นเกิดไม่ได้ สิ่งที่กระทบตาได้ เกิดแล้วก็ดับ และเห็นก็เกิดแล้วก็ดับ ก่อนเห็นก็มีจิตซึ่งเกิดและก็ดับ หลังจากที่จิตเห็น เเล้วก็มีจิตซึ่งเกิดแล้วก็ดับ นี่คือเข้าใจว่าเป็นเราแต่ความจริงก็เป็นธาตุ หรือ ธรรม ซึ่งเป็นจิต เจตสิก และรูป คือสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ทรงบัญญัติใช้คำว่ารูปธรรม รูป (รู-ปะ) รูปธรรม
เพราะฉะนั้นก็มี จิต เจตสิก รูป ทุกอย่างไม่พ้นเลย เราสามารถจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจว่า ถ้าบอกว่าไม่ใช่เรา เท่านั้นไม่พอ ต้องบอกว่าไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ไม่ใช่เราก็เป็นจิต ไม่ใช่เราก็เป็นเจตสิก ไม่ใช่เราก็เป็นรูป แล้วไหนที่เป็นเรา จิตก็ต้องเป็นจิตไม่ใช่เรา เจตสิกก็ต้องเป็นเจตสิกไม่ใช่เรา รูปก็ต้องเป็นรูปไม่ใช่เรา คำถามของคุณมนต์ จะเห็นโลภะใช่ไหม เห็นชื่อได้ไหม มีอยู่ก็ไม่รู้ มีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ กำลังเห็นก็ไม่รู้ ว่ามีโลภะอยู่ที่จิตที่เห็น แล้วก็เกิดจิตที่ชอบ ทั้งวันเป็นอย่างนี้รึเปล่า
ผู้ฟัง เป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ตอนนี้เจอโลภะไหม
ผู้ฟัง เจอ
ท่านอาจารย์ แต่เจอด้วยความเป็นเรา จนกว่าจะไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่เจอ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เจอชื่อ เจอคำ เจอเรื่อง ถ้าไม่ฟังเลยไม่เจออะไรเลย มีแต่สิ่งซึ่งลวงให้เห็นว่ายังมีอยู่ แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำลึกซึ้ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา เราคิดว่ายาวนานกว่าจะดับ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์สิ่งนั้นทันที ดับแล้ว เกือบจะกล่าวได้เลยว่าทันทีที่เกิดก็ดับ ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่สิ่งที่เกิดๆ ๆ สืบต่ออยู่ตลอดเวลา ให้หลงเข้าใจว่ายังเหลืออยู่ ขณะที่เห็นมีอะไร
ผู้ฟัง มีจิต
ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไรอีก
ผู้ฟัง มีเจตสิก
ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไรอีก
ผู้ฟัง รูป
ท่านอาจารย์ ดับหมดเลย ไม่เหลือแล้ว นี่เป็นคำจริง อริยสัจจธรรม ทุกขอริยสัจจะ ทุกข์อื่นยังแก้ไขได้ แต่ทุกข์ของธรรมซึ่ง เกิด และดับ ใครเปลี่ยนได้ ต้องเป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่จบ ไม่สิ้นสุด เมื่อสักครู่นี้หมดแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้ก็หมดแล้ว ใช่ไหม ทันทีที่พูด สิ่งที่เกิดสืบต่อก็หมดแล้ว กว่าจะรู้อย่างนี้ เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอีกนัยหนึ่งของการฟังก็คือ เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระปัญญาคุณของพระองค์ ซึ่งทรงแสดงธรรมให้เราเริ่มเห็นพระคุณของพระองค์ มิฉะนั้นแล้วไม่มีการที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินแต่ชื่อแล้วก็กราบไหว้ แต่พระคุณที่สูงที่สุดหาผู้ใดเปรียบไม่ได้เลย จะรู้ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรมขึ้น
ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ ฟังคำว่า สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูก แต่ได้ยินด้วยว่าสัมมาทิฏฐิ คือ การเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้
ท่านอาจารย์ ต้องทีละคำ สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูก เห็นอะไร คือถ้าเราผ่านไปแล้วเราไปคิดเอง แต่ถ้าเราเห็นอะไร ความเห็นถูก เห็นอะไรถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น
ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ ตอนนี้มีความเห็นถูกหรือยัง
ผู้ฟัง แค่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ แค่เริ่มฟัง เข้าใจว่าจริง ถูกต้อง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ถ้าเข้าใจถูกว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีเดี๋ยวนี้ต้องเกิด เข้าใจถูกไหม สัมมาทิฏฐิในสิ่งที่มีขณะนี้ว่าสิ่งนั้นเกิด สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วดับ เเต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพียงแต่ขั้นเริ่มฟังว่าต้องดับแน่นอน เมื่อปัจจัยดับสิ่งนั้นก็ดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้แต่ละหนึ่งว่าสิ่งที่มีจริงเกิดจากปัจจัยอะไรซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียด เพราะรู้ว่าเราไม่สามารถที่จะละ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงได้ด้วยตัวเอง จะไปนั่งภาวนา ๗ วัน ไปยืน ไปเดิน ไปทำอะไร ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้ พระมหากรุณาที่รู้ว่าในขั้นฟังเป็นเพียงเริ่มจะเห็นเงาของธรรม ทั้งๆ ที่ตัวธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่รู้ว่ามี สิ่งนั้นมี สิ่งนั้นต้องเกิดแล้วดับ แต่ไม่เห็นการเกิดดับของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่า ยังมีความละเอียดลึกซึ้งอีกมากที่จะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น แค่ฟังอย่างนี้ เดี๋ยวก็ไปสนุกแล้ว เดี๋ยวก็คิด เรื่องนั้น เรื่องนี้ อาจจะเรื่องลำบาก เรื่องทุกข์ยาก เรื่องอะไรก็ได้ เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้เลยว่าขณะที่เปลี่ยน สภาพธรรมเกิดดับจึงเปลี่ยน ถ้าไม่ดับก็ไม่เปลี่ยน แต่ว่าไม่เคยรู้เลยสักนิดเดียวจนกว่าจะได้ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนั้นต้องประจักษ์ได้แน่นอน จึงได้มีผู้ที่บำเพ็ญเพียร ใช้คำว่า บารมี มาจากภาษาบาลี ภาษามคธี ซึ่งใช้ ป แทน บ ก็คือ ปารมี สภาพธรรมที่เป็นคุณความดีที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้ ถ้าไม่มีบารมี ไม่มีคุณความดี ไม่มีความเข้าใจธรรม ซึ่งค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย ความไม่รู้ แล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร
ถ้าเข้าใจธรรมผิด ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแค่ได้ยินได้ฟัง รู้ว่าเพียงเริ่มที่จะได้ยินคำว่าธรรม เริ่มได้ยินคำว่าอนัตตา เริ่มได้ยินคำว่า จิต เจตสิก รูป ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดการเกิดดับ จึงสามารถที่จะละการยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
ผู้ฟัง ขณะนี้ที่เราทำกุศลก็อาจจะไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา แต่ว่าก็ค่อยๆ ที่จะเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ การฟังธรรม ไม่ใช่ให้ใครมาบอกเรา ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ความเข้าใจของแต่ละคนต่างหากที่เริ่มจะค่อยๆ ขัดเกลาจิตใจ เพราะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นกุศลที่ดีงาม อะไรเป็นอกุศลซึ่งทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนกำลังมีจิต สะอาดผ่องใส หรือว่าเศร้าหมองด้วยกิเลส ก็ไม่เห็นจิตแล้วจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังแล้วจะรู้ได้อย่างไร แต่จากการที่ได้ฟังก็เริ่มรู้จักตัวเอง จิตคนอื่น ใช้คำว่าคนอื่น คือหมายความให้รู้ว่า ไม่ใช่บุคคลที่กำลังพูด เรามีคำที่เราใช้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเรียกพระองค์เองว่า ตถาคต หมายความว่า ไม่ใช่ท่านพระอานนท์ ไม่ใช่ท่านพระมหากัสสปะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราก็ใช้คำ ในเมื่อเราเข้าใจแล้วว่าแต่ละหนึ่งเป็นธาตุ เวลานี้ทุกอย่างที่มีทั้งหมดเป็นธาตุ ธา-ตุ เป็นสภาพธรรม ที่ดำรงไว้ซึ่งสภาพของตน ทรงไว้ในอาการที่เป็นอย่างนั้น ทั้งหมดไม่ใช่ใคร กำลังกล่าวถึงธาตุ แต่ธาตุหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นก็กล่าวถึงธาตุซึ่งเกิดดับสืบต่อมาเป็นแต่ละหนึ่ง เเต่ละหนึ่ง ใช้คำบัญญัติว่า ปุคคละ หรือบุคคล แม้แต่ในคัมภีร์พระอภิธรรมก็ได้กล่าวถึงปุคคลบัญญัติ แสดงให้เห็นว่าทุกคำเมื่อได้เข้าใจแล้ว จะใช้คำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็รู้ว่าตน คือกุศลธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมฝ่ายดี การศึกษาพระธรรมต้องสอดคล้องกันทั้งหมดที่จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้ ใครจะไปบอกให้ใครที่สะสมมาหลากหลาย ประพฤติเป็นไปได้อย่างไรในวันหนึ่งๆ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และความเข้าใจของบุคคลนั้นเองต่างหาก ที่ค่อยๆ เริ่มรู้ว่า อะไรดี ทำได้ หรือรู้ว่า ดี แต่ก็ยังไม่อยากจะทำ แต่ละหนึ่งคนหลากหลายมาก ไม่มีการไปจำกัดว่าให้คนนั้นทำอย่างนี้ ให้คนนี้ทำอย่างนั้น แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคนเอง จากการที่ได้ฟังเรื่องเศษกระดาษตก บางคนที่เคยเมินเฉยมาตลอด แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็เก็บไปทิ้ง โดยไม่ได้บอกว่าให้คนนั้นต้องใจดี ต้องทำดี หรืออะไรอย่างนี้ แต่ความเข้าใจของบุคคลนั้นเอง หรือว่าโอกาสของกุศลในวันหนึ่งๆ มีบ้างไหม หรือว่าทั้งวันมากด้วยอกุศลตั้งแต่ลืมตา อาหารก็อร่อย อะไรๆ ทุกอย่าง น้ำมะพร้าว หรืออะไรทั้งหมด เป็นที่ตั้งของความยินดีความพอใจทั้งวัน โอกาสของกุศลมีบ้างไหม แม้เพียงเล็กน้อยที่จะไม่ให้อกุศลเกิดในขณะนั้น กุศลจิตเกิดขณะใด ขณะนั้นไม่เป็นอกุศล อกุศลจะเกิดร่วมกันไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะใช้คำว่า ปรองดอง เพราะเหตุว่าอกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล เกิดร่วมกันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าขณะนั้นเห็นประโยชน์ของการที่แค่หยิบไปทิ้งนิดเดียว ไม่ต้องเสียแรง ไม่ต้องเหนื่อยยาก ไม่ต้องลำบากอะไรเลย แต่ว่าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ตรงนั้นสะอาด ไม่รก ไม่อะไรต่างๆ เหล่านี้
ความคิดของแต่ละคนหลากหลายมากตามการสะสม แม้เดี๋ยวนี้ที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ก็คิดต่างกัน ไม่มีใคร ไปห้าม ไปยับยั้ง ไปบอกให้เกิดขึ้นได้เลย ด้วยเหตุนี้ แม้ในพระสูตรจะมีข้อความอุปมามากมายหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ให้เราไปติดอยู่ตรงนั้น แต่ให้เรารู้ความจริงว่า อกุศลในวันหนึ่งๆ มีมาก และกุศลในวันหนึ่งๆ แม้เพียงเล็กน้อยที่จะไม่เป็นอกุศลขณะนั้น ดีหรือเปล่า ถ้ารู้ว่ากุศลดีกว่าอกุศล
เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น แล้วไม่ละเลยสิ่งที่สามารถจะทำได้ ซึ่งก่อนนั้นไม่เคยทำ จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเหตุว่าจากกาย วาจาทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่ากว่าจะขัดเกลากิเลสซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ต้องอาศัยความเข้าใจ และเห็นโทษของอกุศลจริงๆ ในชีวิตประจำวันก็ดูว่าขณะไหนโอกาสของกุศลจะเกิด หรือว่ายังคงเป็นอกุศลอยู่ต่อไป ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เงียบก็ดีใช่ไหม เพราะคิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร ถ้าคิดแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังก็เป็นประโยชน์
ผู้ฟัง ขอท่านอาจารย์อธิบายเรื่อง ความเป็นทุกข์ของทุกชีวิต
ท่านอาจารย์ ทุกข์เพราะไม่รู้ความจริง ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ถูกต้องไหม แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนั้นดับแล้ว ไม่มีอะไร ก็มีความติดข้อง และก็แสวงหาอยู่เรื่อยๆ เท่าไหร่ก็ไม่พอ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ กาม (กามะ) คือรูปที่ปรากฏให้เห็นทางตา เสียงปรากฏให้รู้ว่ามีทางหู กลิ่นให้รู้ทางจมูก เมื่อมีจมูกกระทบกับกลิ่นก็มีการได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบสัมผัสสิ่งที่ปรากฏ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้าง ไม่มีวันพอ เป็นทุกข์ไหม
ผู้ฟัง เป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้จักทุกข์ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีทุกข์ใจ มีแต่ทุกข์กายซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมที่ได้กระทำไว้ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ และยังไม่ปรินิพพาน ก็เป็นโอกาสที่จะให้กรรมนั้นให้ผลทางหนึ่งทางใดทั้ง ๕ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสามารถที่จะรู้ได้ว่าทุกข์มาจากไหน ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นเลย ทุกข์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจะดับทุกข์ก็คือต้องไม่เกิด
ผู้ฟัง ทุกชีวิตเมื่อเกิดมาแล้ว ก็คือไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเข้าใจว่าเขาก็อยู่ในสภาพทุกข์ เราก็จะมีตนเสมอกับเขาได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีกฎเกณฑ์ แต่ความเห็นที่ถูกต้อง ค่อยๆ น้อมไปสู่การที่จะมีคุณความดีเพิ่มขึ้นทั้ง ๑๐ บารมี ทุกคนคงอยากดี แต่ว่าดีบ้างไหม ถ้าไม่รู้ก็อาจจะคิดว่าวันนี้ดีเยอะ แต่ถ้ารู้ละเอียดๆ ก็จะรู้ว่าไม่ดีมากกว่า เพราะฉะนั้นวันนี้ ดีตรงไหน ถ้าตรงไหนที่ไม่ใช่ดี ตรงนั้นก็ต้องไม่ดี แต่ว่ามีความเห็นใจคนไม่ดีบ้างไหม มีความเมตตาคนชั่วบ้างไหม ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าผลของกรรมที่เขาทำนั้น คนอื่นไม่ได้รับผลนั้นนอกจากตัวของเขาเอง ใครทำสิ่งใดไว้ เจตนาที่เป็นกรรมที่กระทำนั่นเองทำให้เกิดจิตประเภทที่เป็นผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้ากล่าวโดยสภาพธรรมก็รู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้กรรมใดให้ผลรวดเร็ว อย่างบางคนทำบุญแล้วก็บอกว่า เมื่อไหร่บุญจะให้ผล ไม่เห็นให้ผลสักทีนึง พูดอย่างนี้โดยที่ไม่รู้จักว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย และอกุศลที่ทำไม่เห็นเรียกร้องบ้างเลยว่าเมื่อไหร่จะให้ผลสักที มีใครเรียกร้องไหม จะได้จบๆ ก็ไม่ใช่
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ ปัญญาจะนำไปสู่กุศลทุกประเภท ซึ่งเป็นบารมีทั้ง ๑๐ บารมีคือหนทางที่จะทำให้ดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าก่อนอื่นต้องเห็นว่ากิเลสไม่ดี ไม่ใช่เรา ทุกคนอยากดี ใช่ไหม แต่ว่าธรรมเป็นธรรม เมื่อมีความไม่ดีที่สะสมมาจะให้ดีได้อย่างไร น่าสงสารคนไม่ดีที่เขาจะต้องได้รับผลของกรรมไหม เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามซึ่งเข้าใจว่าเป็นธรรมมาจากปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องว่าไม่มีเรา สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม เพราะเหตุว่ากรรมเป็นเหตุ และผลของกรรมต้องมีแน่ในเมื่อเหตุมี ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำกรรมไม่ดีเขาต้องได้รับผลของกรรมแน่นอน มีทางไหนที่จะช่วยให้เขาดีขึ้น นั่นคือความเป็นมิตรที่ดีกัลยาณมิตร แทนที่จะไปโกรธหรือว่าไปเกลียด โกรธเกลียดขณะใดเป็นโทษกับตนเองทันที ไม่ใช่กับคนอื่น ก่อนคนอื่นด้วย แล้วก็จะนำมาซึ่งพฤติกรรมต่างๆ ที่จะนำมาซึ่งโทษแก่ตนเอง เข้าใจว่าทำให้คนอื่นได้รับทุกข์ เเต่ความจริงคือผู้ที่กระทำนั่นเองได้รับ ส่วนทุกข์ที่คนอื่นได้รับนั้นก็เป็นผลของกรรมที่เขาได้ทำไว้ ไม่ใช่เราไปทำให้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผล
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างในคำว่า สมานัตตตา
ท่านอาจารย์ ความเป็นผู้มีตนเสมอ
ผู้ฟัง เสมออย่างไร
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่สูงสุด พระโสดาบัน เสมอกับ พระโสดาบัน ในความเป็นพระอริยบุคคล แต่ว่าชีวิตประจำวัน ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า ทั้งหมดเป็นธาตุ แต่ละธาตุแต่ละธาตุ ก็เสมอกันในความเป็นธาตุ คือธาตุดีเสมอกับธาตุดี ธาตุไม่ดีเสมอกับธาตุไม่ดี มีทั้ง ธาตุดี ธาตุไม่ดี ซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ก็จะเห็นประโยชน์ของธาตุดี เพราะเหตุว่านำมาซึ่งผลที่ดี ดังนั้นความมีตนเสมอกับคนอื่น คือแทนที่จะมีการถือว่า สูงกว่า หรือ ต่ำกว่า หรือแม้แต่ด้วยความสำคัญว่า เสมอกัน แต่ด้วยความสำคัญตน ก็ไม่ใช่ความเป็นผู้มีตนเสมอ ถ้าเป็นผู้ที่มีตนเสมอ ก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ และมีความเห็นใจในแต่ละบุคคลด้วยความเป็นมิตรจริงๆ เขาหิว เราก็หิว แบ่งปันกันได้ไหม เป็นต้น เล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความเข้าใจในความเป็นแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง คำว่า ความมีตนเสมอ กับ มานะ ความสำคัญตน ต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ มานะเป็นอกุศล มีความสำคัญตน ในความเป็นตน ในความเป็นเรา แม้ใน อรูปพรหม ไม่มีบุคคลใดที่จะปรากฏให้เห็น มีแต่ธาตุรู้ คือจิต และเจตสิก ซึ่งเกิดตามเหตุ ตามปัจจัย ก็ยังมีความสำคัญตนได้ ด้วยเหตุนี้ ปกติธรรมดาความสำคัญตนจะไม่ปรากฏ จนกว่าจะมีการเทียบเคียง เช่น เขาสูง เราต่ำ หรือว่า เสมอกัน เป็นต้น คือแสดงให้เห็นว่าเป็นความรู้สึก ซึ่งทำให้บุคคลนั้นไม่เป็นกุศลในขณะนั้น ถ้าเป็นกุศลก็คือว่าเหมือนกันเลย เสมอกันเลย มีใจเสมอ คือ ความเป็นมิตร แต่ต้องรู้ฐานะ หน้าที่กิจการงาน ทุกอย่าง แต่ก็เป็นมิตรได้ มีความเป็นเพื่อนได้ ใครๆ ต้องการคำพูดที่น่าฟังใช่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ต้องการ
ท่านอาจารย์ ฉันใด คนอื่นก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นเขาเป็นใครก็ไม่สำคัญ แต่ว่า คำพูดของเราน่าฟังเสมอสำหรับเขา ไม่ทำให้เขาเกิดความเดือดร้อนใจ
ผู้ฟัง อย่างเมื่อเช้านี้คงเป็นอกุศล ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงที่ไม่ถูกใจ ถูกเพื่อนตะคอกใส่ ก็มีความเป็นเราขึ้นมา
ท่านอาจารย์ แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง คนอื่นที่ไม่คิดอย่างคุณพัฒน์นรี คิดอย่างอื่นก็ได้ ไม่มีการบังคับเลย ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว กำลังปรุงแต่งให้ข้างหน้าต่อไปเป็นอย่างไร ตั้งแต่เด็กจึงมีการได้ฟังครูบาอาจารย์ ได้ฟังพ่อแม่ ได้ฟังสิ่งที่ดี เพื่อที่จะขัดเกลาให้เขาเป็นคนดีข้างหน้า เพราะฉะนั้นขณะนี้พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา เพราะรู้อัธยาศัยของคนว่าหลากหลายมาก ไม่เหมือนกันเลย บางคนได้ฟังคำนี้แล้วมีความเข้าใจ และเห็นประโยชน์ อีกคนหนึ่งก็ไปเข้าใจในเรื่องอื่น เห็นประโยชน์แล้วก็ค่อยๆ ขัดเกลาไปตามการสะสม ซึ่งสะสมมาแล้ว และกำลังสะสมต่อไป
ด้วยเหตุนี้ สภาพของจิตก็คือว่า เมื่อมีการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึกตามสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ว่าจะสะสมมาในทางฝ่ายดี หรือในทางฝ่ายชั่ว การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมจึงเป็นโอกาสที่จะพิจารณาเข้าใจในความถูกต้อง ซึ่งถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คิดเองใช่ไหม แต่เมื่อฟังแล้วรู้ว่าอะไรเป็นความถูกต้อง เป็นประโยชน์มหาศาล เป็นพระมหากรุณาที่ทุกคำของพระองค์ให้เราเป็นคนดี ให้เราเข้าใจถูกต้อง ให้เราขัดเกลากิเลส แต่ว่ากิเลสก็ไม่ใช่ว่าใครจะไปขัดเกลาได้ แต่เพราะความเข้าใจ ต้องไม่ลืมว่าปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงก็จะค่อยๆ ทำหน้าที่ปรุงแต่ง ที่ใช้คำว่า สังขารขันธ์ วันนี้กับพรุ่งนี้ต่างกัน ถ้าพรุ่งนี้ได้ฟังธรรมอีก วันนี้ พรุ่งนี้ ที่ได้ฟังธรรม และวันต่อๆ ไป ก็ปรุงแต่งให้สิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นได้ การที่คิดว่าความดีทำยาก ความจริงก็คือทำง่าย ไม่ยาก พูดดี ทำดี คิดดี
ผู้ฟัง ได้แต่คิด พอถึงเวลาที่ความไม่ดีจะเกิดก็เร็วมาก
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็คือตอนที่รู้ว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ฟังต่อไปจนกว่าความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกจะค่อยๆ ทำหน้าที่เพิ่มขึ้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
