ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123


    ตอนที่ ๑๑๒๓

    สนทนาธรรม ที่ เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท

    วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง หลายคนที่ไม่ฟังธรรม เขาคิดว่าเขาได้ไปวัดเพื่อจะทำบุญ เพราะไม่เข้าใจว่า บุญคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องเป็นผู้ที่ตรง เพียงประโยคที่ว่า ไปวัด ไปทำไม ไปทำบุญ อยากได้บุญ ใช่ไหม โดยไม่รู้ว่าบุญคืออะไร จึงจะทำบุญ แต่ไม่ได้เข้าใจบุญ เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์ เป็นแสงสว่างที่จะส่องสิ่งที่มีในความมืด ที่ไม่มีใครรู้เลยตามความเป็นจริง ให้ปรากฏชัดทีละอย่างๆ เป็นความถูกต้อง มิฉะนั้นแล้ว คำอื่น ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจใดๆ เลย เพราะฉะนั้นไปทำบุญ โดยไม่รู้ว่าบุญคืออะไร แต่ขณะนั้นรู้ไหมว่า อยากได้บุญ เพราะคิดว่าบุญเป็นสิ่งที่ดี

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจ ลืมไม่ได้เลย ทุกคำ ไม่ใช่ให้ทำ เพราะฉะนั้น ไปทำบุญ กับ ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ต่างกันใช่ไหม อย่างไหนเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง คำสอนก็ไม่รู้ด้วยว่าคำสอนนี้ ใช่คำของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา ถึงจะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ยากไหม ทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ และไม่ใช่ไม่รู้นิดหน่อย แต่ไม่รู้หมดเลยทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติด้วย

    เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน ที่สามารถที่จะอนุเคราะห์ มีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก ให้รู้ว่าคำของพระองค์จะทำให้เขาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าความเข้าใจนั่นคือ บุญ จะไปทำบุญที่ไหน ที่วัด? ทำบุญอะไรถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมเพราะว่า ถ้าจะช่วยเหลือคนอื่นก็ช่วยได้ ที่ไหนที่เขาเดือดร้อนก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าสิ่งที่ดีกับการที่ได้เข้าใจธรรม เทียบกัน ความดี ความชั่ว มีประจำโลกเนิ่นนานมาแล้วแสนนาน แต่ความเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง มีใครสามารถที่จะรู้ได้โดยไม่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

    ผู้ฟัง การที่เขาพูดว่า พวกเราเอาแต่ฟังธรรม ไม่ได้เห็นปฏิบัติอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ น่าจะอนุโมทนาถ้าได้ยินว่าใครฟังธรรม กลายเป็นว่าเอาแต่ฟังธรรม ได้อย่างไร ก็ผิดแล้ว

    ผู้ฟัง เพราะเขาไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ จะฟังคำของคนที่เขาไม่เข้าใจทำไม

    ผู้ฟัง เราไม่ฟัง แต่ว่ามันก็อดได้ยินไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ยินก็รู้ว่าเขาไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง เลยทราบว่า เมื่อก่อนเราก็เป็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อคุณพัฒน์นรีมีความเข้าใจธรรมแล้ว มีความหวังดีต่อคนอื่นที่เห็นว่า ชาตินี้เขาก็ควรจะได้มีโอกาสเข้าใจธรรม ดีกว่าตายเปล่า หมายความว่า เกิดมาสุขทุกข์ไปตามเรื่องจนตาย แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละชาติๆ จะกลับไปเป็นคนเก่าอีกไม่ได้ แม้สิ่งใดก็ตามในชาตินี้ที่เราคิดว่าเป็นสุขเสียเหลือเกิน ดับแล้ว ลองคิดถึงก็ไม่เหมือนเดิม ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้นอีกได้เลยในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้น เพียงแค่หนึ่งขณะ ซึ่งจากไม่มี ก็มี ด้วยความไม่รู้ก็ติดข้อง พอใจ ยึดมั่น แต่สิ่งนั้นไม่เหลือเลย ไม่มีเลย แล้วเป็นอย่างนี้ นั่นคือ สุญญตา คือ ว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง หรือ ยั่งยืน

    ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ เราจะหลงเพลินไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่สิ้นสุดในสังสารวัฏฏ์ ก็แค่เกิดมาไม่นาน ชาติหนึ่งสั้นมากถ้าเทียบกับสังสารวัฏฏ์ แต่ว่าสุขทุกข์ในชาติหนึ่งๆ เกิดดับสืบต่อ ติดข้องเพิ่มขึ้น หวังสุขแค่นั้นพอไหม มากกว่านั้นอีก แต่ถึงจะสุขสักเท่าไรก็ไม่เหมือนเดิม

    ด้วยเหตุนี้ แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรเลยที่จะยั่งยืน หรือว่าจะเป็นของเราได้ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว แล้วก็สะสมปัจจัยทั้งหลาย สุขทุกข์ หรือ ความดีความชั่วทั้งหมดสืบต่อไป ก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเเล้ว แต่มาจากไหน ก็มาจากการที่ได้เกิดมาแล้วได้ประสบพบเห็นสิ่งต่างๆ สะสมสืบต่อไป และใครจะมาบอกให้รู้ว่าไม่มีสาระ เพราะเหตุว่า จากไม่มี ก็เกิดมี เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้น ฟังไว้ แล้วไตร่ตรอง รู้คุณของผู้ที่มีคำนี้ให้เราได้ฟัง จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ซึ่งใครก็ทำอย่างพระองค์ไม่ได้ ได้แค่ สาวกโพธิสัตว์ เพราะเหตุว่าได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว จึงเป็นปัจจัยที่ปัญญานั้นจะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อมีการฟังมากขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น เพราะเพียงแค่คำสองคำแค่นี้ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับได้

    ใครจะว่าอย่างไรก็ตามที่เขาได้สะสมมา แต่ถ้าเรามีความหวังดี เราจะพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ไหม เพราะเหตุว่า วันหนึ่งถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจได้ เขาจะเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของคำที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.กุลวิไล ถ้าเราหวังดีก็สามารถที่จะพูดคำจริงให้เขาฟังได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงกาละที่พร้อมที่จะพูดด้วย ก็คงพูดให้ฟังไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน แม้แต่คำจริงก็ต้องรู้กาละ เวลาที่เหมาะสม จะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็เสียเวลาพูด

    ผู้ฟัง ขณะนี้ มีชาวพุทธมากน้อยขนาดไหนที่มีความเข้าใจในพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ แล้วเด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยได้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์

    ท่านอาจารย์ แล้วเราจะทำอะไรเขาได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ใช่ไหม คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น มีข้อความโดยสรุปเท่าที่พอจะประมวลได้คือ เมื่อเราคถาคตบัญญัติ แสดง เปิดเผย แต่งตั้งธรรม แล้วกระทำให้ตื้นโดยละเอียด โดยประการต่างๆ แต่ผู้นั้นไม่สนใจ แล้วเราจะทำอะไรผู้นั้นได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ ขณะที่กำลังคิดถึงคนอื่น ลองพิจารณาว่าความเข้าใจธรรมมีไหม ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดที่กำลังคิดถึงคนอื่น เรื่องอื่นทั้งหมด ขณะนั้นความเข้าใจธรรมมีไหม เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ประโยชน์อยู่ที่ไหน ประโยชน์ไม่ใช่อยู่ที่เราจะไปทำอะไรเขาได้ แต่ประโยชน์อยู่ที่ขณะนั้นปัญญาสามารถรู้ความจริงหรือไม่ว่า ขณะนั้นคืออะไร ต่างกันแล้วใช่ไหม แล้วเรายังจะไปหวังให้เขารู้ความจริงด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่า แล้วเราจะทำอะไรเขาได้

    เพราะว่าทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว ทรงแสดงไว้แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละบุคคล ซึ่งสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ หรือไม่เห็นประโยชน์ คิดที่จะขัดเกลา คิดที่จะเข้าใจขึ้นหรือเปล่า ใครจะทำอะไรเขาได้

    เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่ของเราที่จะไปทำอะไรใครได้เลยทั้งสิ้น หน้าที่ก็คือว่า ได้เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนั้นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุดเมื่อเข้าใจแล้ว ปัญญานำไปในสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่นี้คือ กุศลธรรมทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นเพราะปัญญา ความเพียร ความอดทน ทั้งหมดก็เพราะปัญญา

    ถ้าไม่มีปัญญา จะเห็นคุณค่าไหมว่ายากเหลือเกินกว่าใครจะรู้ว่า ขณะนี้เห็นกำลังเกิดดับ แต่ผู้มีปัญญาเห็นว่า ยากเหลือเกินนั่นเอง อดทน อบรม เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว และทรงบัญญัติไว้ครบถ้วน

    ใครจะไปทำอะไรเขาได้ นอกจากผู้นั้นมีความเข้าใจถูกต้องขณะนั้นว่า ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็เห็นว่า สิ่งนั้นคนอื่นควรรู้ด้วย ควรเข้าใจด้วย ทำทุกอย่างที่จะทำได้ แต่เราจะทำอะไรเขาได้ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องวิตกกังวล จะต้องให้คนโน้นไปรู้ ให้คนนี้ทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากปัญญานำไปในกิจทั้งปวง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ คำของพระองค์เป็นคำจริง คำจริงควรเปิดเผย ไม่ใช่หวั่นเกรง กลัวว่าเปิดเผยได้หรือ เดี๋ยวคนอื่นจะคิดอย่างนั้น เดี๋ยวคนนั้นจะคิดอย่างนี้ นั่นไม่ถูกต้องเลย

    เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ทำไมไม่ให้สิ่งที่เป็นความจริง ที่เป็นความถูกต้องที่สุด นั่นคือ ความหวังดีที่สุด ให้สิ่งที่เป็นความจริงความถูกต้องแล้วเขาโกรธ ไม่เห็นเป็นไร ก็นั่นเขา จะไปให้เขาไม่โกรธได้อย่างไร เขาโกรธก็เขาโกรธ ธาตุโกรธเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างนั้น

    เราไม่มีหน้าที่อะไรเลยที่จะต้องไปห่วงกังวลว่า คนนั้นจะต้องรู้อย่างนี้ คนนี้จะต้องรู้อย่างนั้น แต่หวังดีให้ทุกคนสามารถที่จะสะสม ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขาสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ รู้คุณค่ามากน้อยแค่ไหน และจะสามารถเข้าใจเพิ่มเติมได้แค่ไหน แต่ความหวังดีก็เป็นความหวังดี ซึ่งไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย ความหวังดีเป็นความหวังดี เพราะปัญญานำไปในกิจทั้งปวงซึ่งจะเป็นประโยชน์

    เพราะฉะนั้น เราไม่เดือดร้อน แต่กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ปิฎก เท่าที่เราสามารถจะเข้าใจ แล้วช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจได้

    ผู้ฟัง คำว่า สมัยหนึ่ง ในพระไตรปิฎกมีความหมายว่าอย่างไร

    อ.คำปั่น สมัยหนึ่ง ณ ตรงนั้น คือ เป็นกาลสมบัติ เป็นความถึงพร้อมในกาลเวลาที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก และผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาที่จะได้ฟังในคำจริงแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับผู้นั้น เหมือนอย่างที่ท่านพระอานนท์ ท่านได้ฟังได้ศึกษาแล้วก็ได้ทรงจำในคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ซึ่งก็เป็นกาลสมบัติจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ในคำนี้ มีคำอธิบายไว้มากมายทีเดียว อย่างเช่น ในขุททกนิกาย อิติวุตตก ก็จะมีคำอธิบายด้วยว่า เอกังสะมะยัง คือ สมัยหนึ่ง สมัยหนึ่งคือสมัยไหน คือสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพระชนม์อยู่แล้วก็ทรงประทับอยู่ ณ ตรงนั้น เพื่อที่จะได้ทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังที่สะสมเหตุที่ดีมาที่จะได้รองรับพระธรรม ซึ่งเป็นคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ผู้ฟัง คำว่า สมัยหนึ่ง ณ ขณะนี้ คือ เป็นสมัยหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีหนึ่งขณะๆ ๆ จะมีสมัยหนึ่งหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ สมัยหนึ่ง คือ หนึ่งขณะ เกิดดับสืบต่อ อภิสมัย มีอีกคำหนึ่งเเล้ว ความหมายคืออะไร

    อ.คำปั่น สมัยที่ยิ่งใหญ่ ท่านอธิบายว่าอภิสมัยในที่นั้น คือ มีความหมายเท่ากับการบรรลุธรรม เรียกว่า ธรรมาภิสมัย เวลาได้อ่านในพระไตรปิฎกจะมีในช่วงท้าย ในกาลจบพระธรรมเทศนา จะมีสัตว์โลกประมาณเท่าไรที่ได้บรรลุธรรมก็จะมีข้อความนี้ เป็นอภิสมัย เป็นสมัยที่ยิ่งสำหรับบุคคลเหล่านั้น เพราะว่าเป็นสมัยที่ท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงความเป็นพระอรหันต์

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่หลายสมัยใช่ไหม หนึ่งขณะที่โลกุตตรมรรคจิตเกิดขึ้น ดับกิเลส หนึ่งสมัย แต่ละหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ โสตาปัตติมรรคจิตเกิด หนึ่งขณะดับไป ไม่เกิดซ้ำ เพราะว่ากิเลสที่ดับเเล้ว ดับแล้ว สกทาคามิมรรคจิตเกิดหนึ่งขณะ ดับกิเลสต่อไป จนกระทั่งถึงอนาคามิมรรค อรหัตตมรรค อภิสมัยจริงๆ

    ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมเลยจะไม่มี อภิสมัย จะไม่มีการรู้แจ้งสภาพธรรมเลย แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยๆ ปัญญานำไปไหน ก็นำไปสู่อภิสมัย สมัยที่สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอย่างที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านได้ถึงอภิสมัยแล้ว

    เพราะฉะนั้น กำลังฟัง เราเข้าใจจริงๆ ว่าอภิสมัยมีแน่นอน แต่ไม่ใช่เรา ต้องเป็นปัญญาที่ได้เข้าใจธรรม ละคลายกิเลส ซึ่งปิดบังความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็เกิดดับ ทำไมไม่รู้ อวิชชา สภาพธรรม หรือ ธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงๆ ไม่รู้ ใครไม่รู้จักอวิชชาบ้าง มีก็ไม่รู้ เห็นเกิดดับก็ไม่รู้ นั่นคือ อวิชชา

    แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นความจริง แต่ว่าถูกปิดบังด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธาตุที่ตรงกันข้ามกับความไม่รู้ คือ ปัญญา ตรงกันข้ามกับอวิชชา ปัญญาเกิดเมื่อไหร่ อวิชชาก็ค่อยๆ ละคลายไปเมื่อนั้น

    อ.คำปั่น ในความละเอียดของอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้ธรรมตรงตามความเป็นจริง อย่างเช่น ในพระสูตรสูตรหนึ่ง คือ โมหสูตร ขุททกนิกาย อิติวุตตก พระองค์ทรงแสดงชัดเจนว่า ไม่มีธรรมอย่างอื่นเลยที่เมื่อสัตว์โลกมีแล้ว จะทำให้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับอวิชชา หรือโมหะเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นที่เข้าใจว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับโมหะ หรือว่าดับอวิชชาได้ ก็ยังต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่พระอริยบุคคลที่ท่านละอวิชชาได้ ท่านก็ไม่ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์อีก เพราะว่าท่านไม่มีเหตุ คือ ไม่มีอวิชชาแล้ว

    ท่านอาจารย์ ใครบูชาพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ไม่น่าถามเลยใช่ไหม แต่ถาม ใครบูชาพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ไหว้แค่นั้นหรือ กราบแค่นั้นหรือ พอหรือไม่กับพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือ เคารพด้วยการประพฤติปฏิบัติตามเมื่อเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เราเลย แต่รู้ว่าธรรมมีสองฝ่าย ความดีและความชั่ว ไม่มีใครสรรเสริญความชั่วเลย แต่ความดีแม้น้อยนิดก็มีคนที่กล่าวถึง เรื่องเล็กเรื่องน้อยที่ปรากฏเป็นคุณความดีที่ทำกันในชีวิตประจำวัน ก็เป็นที่กล่าวถึงด้วยความชื่นชมยินดี ยิ่งเป็นคุณความดีมากๆ ยิ่งเห็นความดีมากๆ ทั่วทั้งประเทศก็ชื่นชมยินดีกล่าวถึงคุณความดีนั้น และยิ่งเป็นพระธรรม และเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยิ่งกว่านั้นสักแค่ไหน

    ทางที่จะเคารพบูชาจริงๆ คือ เป็นผู้ที่ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ว่าง่าย แต่ไม่ใช่ว่าเป็นคน เชื่อง่าย แต่ว่า ว่าง่าย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสความจริงว่าอย่างไร บุคคลผู้นั้นก็เห็นประโยชน์ และรู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรประพฤติ ปฏิบัติตาม ตามกำลังของการสะสม

    ไม่มีใครอยากมีกิเลสมากๆ เป็นคนเลวมากๆ แต่ก็มีตามการสะสม เป็นธรรมซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เห็นความเป็นอนัตตา ไม่ว่าธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ต้องไม่ดีเมื่อนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใครคนไหน ทำไมเขาไม่ดี เราเห็น แล้วเราไม่ดี เห็นบ้างไหม วันนี้ไม่ได้ฟังธรรมดีไหม โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แต่ความไม่ดีของคนอื่นเห็นชัดเลยใช่ไหม แต่ว่าประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    เพราะเหตุว่า ขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งกำลังคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น ซึ่งการที่เราสามารถที่จะเข้าใจความจริงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา จะคิดอะไรก็เพราะมีเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นที่จะเป็นอย่างนั้น คิดอย่างนั้น และคิดแล้วด้วย เกิดแล้วด้วย ไม่มีใครไปทำด้วย แต่ตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ตั้งแต่ตื่นมาไม่มีใครทำอะไรเลยสักอย่าง เป็นธรรมทั้งหมด คือ จิต เจตสิก และรูป แต่ก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม

    การบูชาสูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจธรรม ไม่ใช่หวังดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะใดๆ เลย แต่ว่าหวังที่จะให้สัตว์โลกได้พ้นจากความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ การบูชาสูงสุดให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีกว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ทุกครั้งที่ได้เข้าใจธรรม เป็นเหตุที่จะให้ประพฤติปฏิบัติตาม เป็นการบูชาที่สูงสุด เพราะฉะนั้น ถามว่าใครบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ไม่น่าจะถาม แต่ก็ถาม เพื่อว่าคนนั้นจะได้รู้ตามความเป็นจริงว่า ปัญญาสามารถที่จะเจริญขึ้นได้ยิ่งกว่านี้ มิฉะนั้นเเล้วกิเลสก็ดับไม่ได้

    อ.กุลวิไล บูชาตามกำลังความเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ ซึ่งสามารถจะมากขึ้นได้เมื่อเข้าใจขึ้น เพราะไม่ใช่เรา แต่ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง

    อ.คำปั่น ในการที่จะเป็นผู้ที่น้อมประพฤติตามธรรม ในขณะที่ยังมากไปด้วยอกุศล คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้ากิเลสยังมากๆ และก็จะให้น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตามธรรมมากๆ ได้ไหม ทั้งหมดต้องเป็นเหตุและเป็นผล หนทางเดียวก็คือว่า ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจขึ้น ปัญญาจะมีได้โดยการฟังพระธรรมและเข้าใจด้วย ไม่ใช่ฟังเฉยๆ ไตร่ตรองทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่งให้ถูกต้อง ขณะนั้นก็จะนำไปสู่การที่สามารถที่จะบูชาด้วยการประพฤติถูกต้องยิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง คำที่กล่าวว่า เห็น เป็นภัยในสังสารวัฏฏ์ เห็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดดับเป็นภัย ไม่ใช่เฉพาะเห็น แต่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ทุกอย่างที่เกิดดับเป็นภัย

    ผู้ฟัง เห็นเป็นภัยขณะนี้ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ เกิดเห็นทำไม ไม่เห็นดีกว่าไหม เพราะว่าก่อนเห็นไม่เคยชอบ หรือไม่ชอบในสิ่งที่ถูกเห็น แต่เพราะเห็นจึงชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสิ่งนั้นก็ดับไป เป็นภัยไหมที่ทำให้เห็นแล้วชอบ

    ผู้ฟัง และคำว่าแรงกรรม

    ท่านอาจารย์ ชาติก่อนอยู่ที่ไหน เป็นใคร

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ บนสวรรค์ก็ได้ นรกก็ได้ แต่กรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้ว ถึงเวลาที่จะให้เกิดที่นี่ มาได้อย่างไร ไม่ต้องใช้พาหนะใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่กำลังของเจตนาที่ตั้งใจจงใจที่จะเป็นดี หรือ ชั่วในขณะนั้นให้ผล คือ ให้เกิด ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ให้เกิดในภพภูมิที่ดี และเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสดี สัมผัสดี ทั้งหมดเป็นผลของกุศลกรรม

    นัยตรงกันข้ามก็เกิดไม่ดี สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ดี เสียง กลิ่น รส สัมผัสไม่ดีทั้งหมด มาได้อย่างไร วันนี้ก็แข็งแรงดี พรุ่งนี้เป็นโรคร้าย มาได้อย่างไรใครทำ อาหารชนิดไหนใครเอามาให้ หรืออะไรก็ตาม แต่ให้เห็นว่า ขณะใดก็ตามที่รู้สิ่งที่กระทบกายเป็นทุกข์ เป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ ไม่ใช่เขาฆ่าเรา เขาทุบตีเรา เพราะว่ากายนี้ใครทำ เขาไม่ได้ทำให้เกิดกายนี้เลย แต่กรรมทำให้กายนี้เกิดขึ้นรับผล คือ มีสิ่งที่มากระทบกาย แล้วจิตซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้วก็รับรู้สิ่งที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเรื่องเหตุและผล

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    21 พ.ค. 2568