ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
ตอนที่ ๑๑๑๕
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่ก็ต้องอาศัยกาลเวลา ที่ต้องเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้นที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะเข้าใจแต่ละคำ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงของคำนั้นๆ ที่กล่าวถึงสภาพธรรม
อ.ธิดารัตน์ ยังมีอีกคำ คือ โลกในวินัยของพระอริยเจ้า
ท่านอาจารย์ ที่กล่าวถึง ในวินัยของพระอริยเจ้า ไม่ใช่โลกชาวบ้าน โลกชาวบ้านก็เป็นโลกน้ำท่วม ไฟไหม้ ใช่ไหม แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้าก็คือ ความจริงที่ถึงที่สุด
อ.ธิดารัตน์ โดยนัยของโลก ๖ มี ๓ แล้วมี ๖ ด้วย
ท่านอาจารย์ เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เกิดหรือเปล่า เกิดก็ต้องเป็นโลก เพราะฉะนั้นพื้นฐานความเข้าใจสำคัญที่สุด ถ้าเรามีความเข้าใจที่มั่นคงว่าโลกคืออะไร โลกคือสิ่งที่เกิด และดับ ก็จะตอบปัญหาเวลาที่พบคำว่าโลกในที่อื่นๆ ด้วย โลกนี้ โลกหน้า เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วไม่ว่าโลกไหนก็ต่อเมื่อมีการเกิดขึ้น และก็ดับไป
อ.อรรณพ ความเข้าใจของผู้ที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ท่านก็กล่าวถึงว่าเพราะตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโลกอย่างไร
ท่านอาจารย์ เหมือนที่เรากล่าวตอนต้นเลยใช่ไหม แต่ถ้ามีความเข้าใจแล้วพออ่านพระสูตรนี้เข้าใจทันที ว่าหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น ต้องมีการปรุงแต่ง ขณะนี้ข้อความตอนต้นมีคำว่าสฬายตนะ หมายความว่าอายตนะ ๖ ถ้าไม่เข้าใจคำว่าอายตนะ แล้วพูดถึงอายตนะก็ไม่มีประโยชน์ แต่ละคำก็คือคำในภาษาไทยอย่างหนึ่ง และคำภาษาบาลีอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีตา เห็นเดี๋ยวนี้มีได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ เห็นเดี๋ยวนี้มีได้ไหม ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น สิ่งต่างๆ ที่มีที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏได้ไหม และถ้าไม่มีสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้คือจิต และเจตสิตขณะนี้จะปรากฏโลกทางตา ให้รู้ว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง ลืมตาเมื่อไหร่ เห็นเมื่อไหร่ ก็มีโลกในปรากฏ โลกนี้ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่โลกเสียง ไม่ใช่โลกกลิ่น แต่เป็นโลกที่กำลังปรากฏในขณะที่กำลังเห็น
อายตนะหมายความถึง ธรรมที่ประชุมรวมกัน และคำว่าสังขารโลก ปรุงแต่งทำให้มีการเกิดขึ้น แม้แต่ แต่ละหนึ่ง สิ่งที่เราใช้คำว่าตา ก็จะต้องเกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่งด้วย ทั้งหมดไม่พ้นจากความลึกซึ้งของสภาพธรรม ซึ่งได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น เข้าใจเพิ่มขึ้น และก็มีความมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นอายตนะที่ประชุมร่วมกันทางตา ทั้งตา ทั้งสิ่งที่ปรากฏ ทั้งจิต ทั้งเจตสิก หนึ่งโลก ตาหนึ่ง หูหนึ่งจมูกหนึ่ง ลิ้นหนึ่ง กายหนึ่ง ใจหนึ่ง ครบ ๖ ไหม ขาดได้ไหม คนตาบอดก็ขาดใช่ไหม ไม่ใช่ว่าขาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็พูดถึงธรรม เราไม่ได้พูดว่าใครเป็นคนสร้าง หรือใครเป็นคนทำ แต่ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีปัญญาที่สามารถจะรู้แจ้งโลกในวินัยของพระอริย ขณะนั้นก็เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของเพียงสิ่งหนึ่งที่ปรากฏทีละทาง
อ.วิชัย เบื้องต้นก็ต้องทราบว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง เป็นสัจจะคือความจริง ดังนั้นสิ่งที่มีจริงค่อยๆ เปิดเผย จากการที่เราได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรองพิจารณาในคำจริงเหล่านั้น อย่างเช่น แม้แต่กล่าวเรื่องของโลกก็ไม่พ้นไปจากธรรมแน่นอน ขณะนี้จริงๆ เห็น กำลังเป็นธรรมอยู่ ได้ยินเป็นธรรมอยู่ ดังนั้นทั้งหมดจากการที่เราฟังก็ปรุงแต่งเป็นความเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ตามฐานะที่จะสามารถเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ เรากล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ก็หมายความว่ามีธรรมซึ่งเกิดขึ้น ต่างกันเป็น๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรเลย แต่เกิดขึ้น เป็นอ่อนบ้าง แข็งบ้าง เป็นเสียงบ้าง เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น และก็ดับไป แต่สภาพรู้หรือ ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต และเจตสิก ต้องเข้าใจว่าจิตนี้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ก็เกิดเองไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้นคือเจตสิก เพราะฉะนั้นเจตสิกก็เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม จิตก็เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม แต่จิตไม่ใช่เจตสิก จิตเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ น้อมไปสู่สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏที่จิตรู้ใช้คำว่า อารมณ์ หรืออารัมมณะ
จิตทุกขณะเป็นสภาพที่น้อมไปสู่สิ่งที่ปรากฏ โดยมีเจตสิกที่เกิดร่วมกันทำกิจหน้าที่ต่างๆ กัน เป็นความรู้สึกบ้าง เป็นความจำบ้างในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นความรู้สึกก็ใช้คำว่าเวทนาเจตสิก ถ้าเป็นความจำก็ใช้คำว่าสัญญาเจตสิก ก็ค่อยๆ รู้ว่าขณะนี้จิตเดี๋ยวนี้หรือ ขณะไหนก็ตามที่เกิดขึ้น ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง เจตสิกแต่ละหนึ่งๆ ก็เป็นหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกันบ้าง ในขณะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเกี่ยวข้องกับจิตโดยเป็นอารมณ์ แต่ว่าไม่มีเจตนาไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นกับรูปนั้น แต่สภาพของจิตมีทั้งเจตสิกที่จงใจ หรือว่าจำ ทั้งหมดในชีวิตวันหนึ่งๆ ถ้าไม่กล่าวถึงเห็น ไม่กล่าวถึงได้ยิน ไม่กล่าวถึงได้กลิ่น ไม่กล่าวถึงลิ้มรส ไม่กล่าวถึงรู้สิ่งที่กระทบกาย ทั้งหมดเป็นเจตสิก เช่น ขยัน ขี้เกียจ เบื่อ งง ทั้งหมดเลยเป็นนามธรรมซึ่งเป็นเจตสิก แม้แต่ในขณะนั้นก็พึ่งพาอาศัยกันเกิดขึ้น แต่จะเชื่อมโยงอย่างไร เพราะว่าจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ เเละดับไป แต่การดับไปของจิตนั้นเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก ถ้าจิตขณะแรกขณะนั้นยังไม่ดับไป ยังไม่หมดไป ยังไม่ปราศไปหมดสิ้น จิตขณะต่อไปก็เกิดไม่ได้
เวลากล่าวถึงจิตต่อไปนี้ ก็รวมเจตสิกด้วย เป็นจิตตุปบาท การอุบัติขึ้นของจิตซึ่งก็ต้องเป็นที่รู้ว่า จิตจะเกิดได้ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตขณะหนึ่งดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จากหนึ่งขณะดับไปแล้วก็จริง แต่เป็นปัจจัยให้อีกขณะหนึ่งเกิดขึ้น
เราชอบสิ่งที่เห็นใช่ไหม ถ้าจิตเห็นไม่เกิดก่อน จะชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไหม เข้ามาในนี้ชอบตั้งหลายอย่างใช่ไหม ชอบพวงมาลัย ชอบดอกไม้ ชอบอะไรก็แล้วแต่จะชอบ ถ้าไม่มีการเห็นจะชอบได้อย่างไร ดังนั้นชอบเกิดจากที่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นดับไปก็จริง เป็นปัจจัยให้เกิดการติดข้องหรือความพอใจ ซึ่งจะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ ถ้าชอบมากอยากได้ไหม แสวงหาไหม อยากได้จนรอไม่ได้ ต้องไปหามาจนได้ ลำบากไหมกว่าจะได้ บางทีก็หายากเหลือเกินก็ยังหาจนได้ ดังนั้นเมื่อได้มาแล้วจะไม่ชื่นชอบกับสิ่งที่ได้มาหรือ? ก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม
ถ้าเป็นในทางทุจริตเป็นอกุศลกรรม เป็นเหตุที่จะต้องทำให้จิตประเภทที่เป็นผลเกิดขึ้น โดยการเกิดไม่ดี และระหว่างที่ยังไม่ตายก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่ไม่น่าพอใจ เพราะผลของกรรมที่ไม่ดีเชื่อมโยงกันไว้ เพราะฉะนั้น กัมมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิด วิปากวัฏฏ์ เป็นปัจจัยให้มีการเกิดต่างๆ กันไป และเมื่อมีการเห็นการได้ยินซึ่งเป็นวิบากแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้เกิด กิเลสวัฏฏ์ จึงวนเวียนอยู่สืบเนื่องติดต่อกันไม่ขาดสาย
ผู้ฟัง ถึงจะเป็นโอกาสโลกที่เป็นประเทศนั้นประเทศนี้ ก็ยังไม่พ้นสังขารโลกอยู่ดีเพราะตรงนั้นเขาก็เกิดดับเหมือนกัน ก็ถึงมันจะระเบิดหายไปหมดมันก็แตกดับอยู่ดี
ท่านอาจารย์ ห่วงโลกไหม
ผู้ฟัง ห่วง
ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ยังไม่รู้จักโลกก็ห่วงโลก เพราะไม่รู้ว่าโลกแตกแล้ว ไม่ต้องไปคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงสงครามโลกครั้งที่๓ ที่โลกจะต้องแตก แต่ว่าความจริงโลกแตกแล้ว กำลังแตกอยู่ เพราะฉะนั้นห่วงโลกเพราะไม่รู้จักโลก แต่ถ้ารู้จักโลก ไม่ห่วง เพราะว่าไม่มีเรา สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ห่วงตรงไหน ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น และดับไป ห่วงตรงไหน ยังไม่เห็นมีใครห่วงเห็นเลย ใช่ไหมได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินก็ดับไป ไหนห่วงโลก? ก็โลกก็เป็นอย่างนี้เอง คือมีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังไม่รู้จักโลกจึงห่วงโลก แต่ถ้ารู้จักโลกแล้ว ห่วงได้อย่างไร เกิดแล้วก็ดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ขณะนี้ หรือขณะที่อยู่ในสงครามมีระเบิด ก็ตา หู จมูก ลิ้น กายเกิดดับอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
ผู้ฟัง ถ้ามีความเข้าใจว่าโลกก็กำลังเกิดดับทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นโลกที่กำลังเกิดดับอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปหนักอกหนักใจเรื่องสงครามโลก
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเกิดดับอยู่แล้วตลอดเวลา แตกอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฟัง ถ้าเราศึกษา และมีความเข้าใจธรรมที่โลกย่อลงมาแล้วเหลือ๖ โลก
ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเต็มไปด้วยความเดือดร้อน เพราะโลก เพราะเห็นบ้าง เพราะได้ยินบ้าง แต่ถ้ามีความเข้าใจเเล้วก็จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลดเปลื้องทุกข์ทั้งหมด ซึ่งทุกข์หนึ่งก็คือเกิดจากการห่วงโลก
อ.วิชัย พระสูตรหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลไม่โกรธตอบ บุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายคือแก่ตน และผู้อื่น ดูเหมือนกับบางครั้งเราคิดถึงสงครามภายนอก แต่ว่าสงครามภายในที่มีศัตรู ที่ยากที่จะเห็นจริงๆ
ท่านอาจารย์ แค่รู้ว่าไม่ใช่เราเบา สบายแล้วใช่ไหม จะไปโกรธเขาทำไม มีเขาที่ไหนให้เราโกรธ ในเมื่อเราก็ไม่มี
อ.วิชัย แต่ว่าบางครั้งก็แสดงข้าศึกคือ กิเลสมามากมายหลายทิศทาง
ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจธรรม
อ.วิชัย แม้การที่จะกลัวภัยต่างๆ ว่าจะเกิดอะไรก็เป็นความไม่รู้ เป็นอกุศลภายใน
ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อมีเราก็สารพัดอย่างที่จะห่วง ที่จะกลัว ที่จะอยากได้ แต่ว่าเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราเป็นธรรม แม้แต่ความอยากได้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมแล้วก็หมดไป ให้ทราบว่าทุกอย่างหมดไม่เหลือ ขณะนี้เดี๋ยวนี้เองสิ่งที่กำลังปรากฏเกิดเเล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกไม่เหลือเลยถ้าเข้าใจในความไม่เหลือ แล้วก็จะรู้ว่าไปติดข้องในสิ่งที่ไม่มีมานานแสนนาน จนกว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ลองคิดดูว่าไม่มีแล้วยังติดข้อง เพราะหลงเข้าใจว่ายังมี
อ.วิชัย ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงโทษของอกุศลธรรมว่าเป็นข้าศึก เป็นผู้ที่ประทุษร้ายเป็นผู้ที่เบียดเบียนจิตใจ เป็นผู้ที่นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหลาย แต่ว่าไม่ได้เห็นอกุศลโดยความเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะแม้ข้าศึกก็เกิดดับ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง คิดว่ามีข้าศึกถาวร แต่ความจริงขณะนั้นข้าศึกนั้นก็เกิดดับ
ผู้ฟัง การฟังพระธรรมคำสอนเเล้วไม่เชื่อมโยงมาเป็นชีวิตประจำวัน ว่าเป็นธรรม เป็นธาตุ ที่ไม่ใช่เรา ตรงนี้ดูเหมือนปัญญาที่จะฟังให้เข้าใจตรงนี้ เกิดขึ้นยาก
ท่านอาจารย์ แต่คงไม่ต้องเป็นเราที่จะเชื่อมโยง ฟังธรรมและเข้าใจอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย จะเชื่อมโยงก็เป็นเราอีกแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็อยู่ที่ว่าฟังธรรมแล้วเข้าใจว่าเป็นธรรม ถ้าไม่มีกรรมในอดีตจะมีเราชาตินี้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ แล้วชาตินี้ที่เราทำกรรมไว้มากมาย จะไม่มีชาติหน้าต่อไปหรือ?
ผู้ฟัง ก็ต้องมีชาติหน้า
ท่านอาจารย์ ก็จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง
ผู้ฟัง ฟังและศึกษาตั้งต้นความเห็นถูกว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละทาง แต่ละลักษณะ ไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคล
ท่านอาจารย์ จนกว่าลักษณะนั้นจะปรากฏกับปัญญาที่เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรม จนกว่าลักษณะที่เป็นธรรมนั้นปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ก่อนที่จะ จนกว่า คือต้องอบรมให้เข้าใจจริงๆ ก็คือฟังไว้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ อบรม ใช่ไหม ไม่มีใครทำอะไรเลย นอกจากการฟังแต่ละขณะปรุงแต่งให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปคิดจะรู้อะไรให้มากมายเลย เพราะเหตุว่านั่นคือเรา แต่ว่าการเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้แม้ในขั้นการฟังว่าไม่ใช่เรา ก็ยังเตือนให้รู้ว่าธรรมอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ไม่เคยขาดหายไปเลย ไม่ต้องไปขวนขวายคิดปรุงแต่งทำอะไรทั้งสิ้น มีแล้วไม่รู้
ฟังธรรมเพื่อรู้สิ่งที่มีที่เกิดแล้ว ซึ่งตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย เกิดมาในโลกนี้ใครไปทำให้เกิด มีใครไหมที่จะมาทำให้เป็นคนนี้ในโลกนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นใคร เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้แล้ว รู้ได้ไหมว่าจะเป็นใคร เป็นอะไรที่ไหน ไม่มีทางเลย แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ในสังสารวัฏฏ์คือไม่ใช่เฉพาะชาตินี้เดี๋ยวนี้ แต่แม้ในสิ่งที่ได้กระทำมาแล้วก่อนๆ ในสังสารวัฏฏ์ ที่สามารถจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดก็สามารถปรุงแต่งให้เกิดได้ แต่ขณะเกิดไม่รู้เลยว่ากรรมไหน และกรรมนั้นยังประมวลมาซึ่งกรรมทั้งหลายในสังสารวัฏฏ์ ที่สามารถจะทำให้เกิดผลในชาตินั้น จนกว่าจะสิ้นสุด และก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่ ก็มีการจำกัดโดยกรรมหนึ่งประมวลมาอีก และก็กรรมทั้งหลายที่ได้กระทำแล้วก็มีโอกาสที่จะให้ผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าการให้ผลของกรรมคือ ขณะที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม ตลอดทั้งทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นี่คือธรรม
ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจมากขึ้นก็จะละคลายว่าเป็นเรา ไม่ใช่เรา ได้มากขึ้นตามความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้กับความเป็นเราหนาเท่าไหน
ผู้ฟัง มากจนไม่ทราบว่าจะมากอย่างไร
ท่านอาจารย์ พื้นปฐพีเดียวพอไหม หรือในสากลจักรวาล เพราะฉะนั้นต้องหมด คิดดู แล้วจะหมดได้อย่างไร ถ้าไม่มีคำจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่มีหนทางที่จะเข้าใจ ความเข้าใจเกิดขึ้นทำหน้าที่ของความเข้าใจถูก ค่อยๆ ละความไม่รู้ทีละน้อย จนกระทั่งแม้เดี๋ยวนี้เองแค่คิดก็เป็นธรรม มิฉะนั้นก็ไม่หมดความเป็นเรา จึงต้องเป็นคนที่ตรง ปัญญาต้องขจัดความไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราจนไม่เหลือเลย อริยสัจจธรรม โดยประการที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็สามารถที่จะรู้ปัญญาขณะนั้นว่าได้ดับกิเลสขั้นไหน
ผู้ฟัง เคยคิดว่าเป็นเราเห็น เราได้ยิน แต่เมื่อฟังแล้วว่าจริงๆ ไม่ใช่ เห็นเป็นเห็น ไม่มีนกเห็น ไม่มีปลาเห็น ไม่มีคนเห็น เข้าใจตรงนี้ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะเข้าใจเห็น รู้เห็นที่เป็นเห็นจริงๆ
ท่านอาจารย์ โดยความเป็นอนัตตาว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง ซึ่งลืมความเป็นอนัตตาไม่ได้
ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ธรรมเท่าไหร่หมดแล้ว จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ รูปเท่าไหร่ ไม่รู้เลย ถูกปกปิดไว้ในความมืดสนิท เป็นเราเป็นสิ่งต่างๆ ทั้งหมดใช่ไหม การที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้มืดสนิท เมื่อไหร่จะมีแสงสว่างที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ไหนจิต กำลังเห็นเเต่ไม่เห็นปรากฏความเป็นจิตเลย ก็เห็นเหมือนเดิม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอะไรที่จะทำให้รู้ว่า เห็นเป็นธาตุรู้ ต้องอาศัยการฟังอีกนานเท่าไหร่ไม่ต้องคำนึงถึงเลย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีเหตุ ผลก็เกิดไม่ได้ แล้วถ้าเหตุไม่สมควรแก่ผล ผลก็เกิดไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่เราจะไปทำไปขวนขวาย แต่ความเข้าใจมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นปัญญากำลังทำหน้าที่ คือทำกิจที่จะเข้าใจถูกต้อง ละความไม่รู้ อดทนไหม หรือจะไม่อดทน อดทนก็ไม่ใช่เรา ไม่อดทนก็ไม่ใช่เรา ไม่อดทนมีทางที่จะเข้าใจขึ้นไหม แต่ว่ารู้ว่ายากอย่างนี้ ฟังไปเรื่อยๆ ขณะที่ฟังอดทน ไม่ต้องไปมีตัวเราทำความอดทนอะไรอีกเลย ชั่วขณะที่กำลังฟังนี่เองก็อดทนเเล้ว วิริยะเพียรแล้วเพื่อออกจากกามคือ การติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฎฐัพพะ บารมีทั้งหลายเกิดในขณะที่กำลังเข้าใจธรรม ใครจะรู้ว่าจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่สำหรับแต่ละคน เวลาที่มีค่าที่สุดจะหาอีกได้ไหมในสังสารวัฎฏ์ ที่จะมีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจธรรมของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด อะไรจะมาแลก อะไรจะมาทำให้เกิดปัญญา ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต้องเป็นเพราะการที่เห็นประโยชน์ยิ่ง ยอมสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์ที่สามารถที่จะทำให้ได้เข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นสิ่งอื่นไม่มีค่าเท่า ยังมองไม่เห็นเลยว่าอะไรจะมีค่าเท่า จะเป็นความสะดวกสบาย หรือจะเป็นอาหารอร่อย หรือจะเป็นอะไรทั้งหมดก็เล็กน้อยเหลือเกิน ชั่วขณะ แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ได้เข้าใจธรรม แล้วถ้ามีผู้ที่ได้เข้าใจธรรมเพิ่มมากขึ้นก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
อ.วิชัย มีข้อความในสังยุตตนิกาย สคาถวรรคว่า แต่ไหนแต่ไรมา ยังไม่มีใครบรรลุถึงที่สุดโลกด้วยการเดินทาง และเพราะที่ยังไม่บรรลุถึงที่สุดโลกไม่ได้จึงไม่พ้นไปจากทุกข์ เหตุนั้นแล คนมีปัญญาดีรู้แจ้งโลกถึงที่สุดโลกได้ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว รู้ที่สุดโลกแล้ว เป็นผู้สงบแล้ว จึงไม่หวังโลกนี้ และโลกอื่น หนทางที่จะให้เป็นผู้ที่มีปัญญาดี แล้วก็รู้แจ้งโลกแล้วถึงที่สุดแห่งโลก คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ใช่ไหมจึงติดข้อง ดังนั้นจะค่อยๆ ละความติดข้องเมื่อรู้ ไม่ใช่เราไปทำอะไรเลย ปัญญาละความติดข้องเพราะปัญญารู้ จะจากโลกนี้ไปแน่ๆ เลยเเต่ลืมเสมอ ถ้าไม่ลืมก็คือชั่วขณะเดี๋ยวนี้อาจจะตายก็ได้ ใช่ไหม แล้วตายโดยไม่รู้ ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังคำ ได้ไตร่ตรอง ได้เกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้นปัญญาต่างหากที่เห็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์คือขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา คุณธิดารัตน์อยากจะไปถึงที่สุดโลกไหม
อ.ธิดารัตน์ ตอนนี้ก็กำลังศึกษาหนทางที่จะไปถึงอยู่ แต่หนทางนี้ยาวไกล
ท่านอาจารย์ แม้ในพระสูตรก็กล่าวถึงบุคคลที่ต้องการที่จะไปให้ถึงที่สุดของโลก ไปนานเท่าไหร่ไม่มีทางสิ้นสุด แสดงให้เห็นความกว้างใหญ่ไม่มีที่สุดของอนันตรจักรวาลมากมาย เพราะฉะนั้นโลกเดี๋ยวนี้เอง ถ้ารู้ ก็เหมือนกันหมดไม่ว่าที่ไหน ที่สุดของโลกอยู่ที่นี่
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์หมายถึงว่าการรู้แจ้งโลก หรือว่าสภาพธรรมที่เกิดดับขณะนี้ที่จะนำไปถึงที่สุดโลกจริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักโลก ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย โลกก็ไม่มี และเมื่อเกิดแล้วก็ไม่ได้ตั้งอยู่เลย แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เกิดดับ แล้วเราพูดว่าไม่มีตัวตน มีแต่สภาพธรรมคือจิต เจตสิก รูป แล้วจิตไหนกำลังเห็น กำลังคิด กำลังอะไรต่างๆ ไม่รู้เลยสักนิดเดียว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
