ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128


    ตอนที่ ๑๑๒๘

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ แต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ เห็นอย่างเดียวกัน คิดไม่เหมือนกันตามการสะสม ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น คิดไม่เหมือนกัน เห็นอย่างเดียวกัน แต่คิดไม่เหมือนกัน รู้ใจคนอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีทางที่จะรู้ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เพราะอะไร ยังไม่รู้เลยว่าใจคืออะไร นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เว้นเลยสักคำ ที่จะทำให้เริ่มรู้ว่าเราไม่รู้แน่ๆ เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใหม่จริงๆ เเต่ละคำเกินวิสัยที่จะคิดเอง คิดไม่ออกแน่ๆ ยากที่จะคิดต่อไปด้วย นอกจากฟังต่อไป พิจารณาต่อไป เข้าใจต่อไปว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า เท่านั้นเอง จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง แค่เห็นก็ยังไม่ได้เกิดดับ เห็นยังอยู่ ในความละเอียดของเห็น แม้แต่คำว่าเห็น มีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง กำลังเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามต่อไปอีกก็อาจจะยิ่งงง เพราะว่าไม่เคยรู้เลย เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นคน เห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นกล้อง

    ท่านอาจารย์ ผิด ตอบอย่างนี้ผิด เพียงหลับตาคนอยู่ไหน เมื่อลืมตาบอกเห็นคน แต่เมื่อหลับตา คนที่เห็นอยู่ไหน เพราะฉะนั้นไม่ได้เห็นคน เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ต้องกระทบตา กระทบหูไม่ได้ กระทบแขนไม่ได้ ต้องกระทบตา สิ่งนั้นกระทบตาแน่นอน ต้องมีตา ตาอยู่ตรงไหนกระทบตรงนั้น ตาไม่ได้อยู่ข้างหลัง สิ่งที่อยู่ข้างหลังมีอะไรบ้าง ใครรู้ใครเห็นบ้าง บอกว่ามีคน จำได้ แต่เขาลุกไปแล้วก็ได้

    เห็นต้องเป็นเห็น โดยเห็นสิ่งที่สามารถกระทบตาเท่านั้น เสียงเห็นไม่ได้เลย เสียงกระทบตาไม่ได้ กลิ่นกระทบตาไม่ได้ เพราะฉะนั้น เห็นเพียงสิ่งที่กระทบตา ถ้าไม่กระทบ อยู่ข้างนอกห้องไม่กระทบเลย ใครไปเห็นบ้าง ไม่ได้มากระทบตาจะเห็นได้อย่างไร

    แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กระทบตา แต่ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งเเล้ว มีจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้น เห็นเกิดเพราะมีสิ่งที่กระทบตา เป็นปัจจัยหนึ่ง ปัจจัยหมายความถึง ธรรม สิ่งที่มีจริงที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิด เกิดเองไม่ได้ ใครจะไปคิดทำอะไรให้เกิดไม่ได้เลย ต้องมีปัจจัย สิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้อาศัยตา และอาศัยสิ่งที่กระทบตา สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือว่า อาศัยกรรม การกระทำที่เป็นกุศล หรือ อกุศล ดีหรือชั่วที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้ ถ้าสิ่งที่กระทบตาเป็นสิ่งที่น่าพอใจ กรรมดี คือ กุศลกรรมที่ทำไว้ทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ทีละหนึ่งๆ ค่อยๆ ละเอียดขึ้น

    ผู้ฟัง เริ่มละเอียดขึ้นมากแล้ว เพียงแต่เห็นอย่างเดียวเราก็เข้าใจไม่ตรงกัน แต่เดิมที่คิดว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรถูก แล้วอะไรจริง ความจริงต้องจริง ไม่ว่าใครทั้งนั้น ชาติไหน ภาษาไหน จะรู้หรือไม่รู้ นก หนู ปู ปลา เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็นเหมือนกันเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น ถ้าไม่มีรูปร่างนก ไม่มีรูปร่างปู ไม่มีรูปร่างปลา เราบอกไม่ได้เลยว่าอะไรเห็น แต่เพราะรูปร่างทำให้บอกว่า นกเห็น คนเห็น จิ้งจกเห็น แมวเห็น แต่เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่จิ้งจก เห็นไม่ใช่นก แล้วเห็นเป็นคนหรือเปล่าที่เห็น

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นในความหมายนี้คือ ไม่ใช่คนเห็น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เป็นธรรม ต้องไม่ลืมว่า ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่าง แต่ละหนึ่ง ไม่เว้นเลย และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของแต่ละหนึ่ง โดยละเอียดอย่างยิ่ง ไม่มีใครสามารถคาดคะเน หรือจะคิดเดาเองได้เลย ต้องอาศัยฟัง สาวกเป็นผู้ฟัง และก็มีความเข้าใจขึ้นแล้วรู้ว่าอะไรเป็นธรรม ใครกำลังพูดธรรม ใครกำลังคิดเองเรื่องธรรม แต่ว่าธรรมสามารถที่จะเข้าใจได้เมื่อฟังแล้วก็ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น เห็นเป็นคุณจักรกฤษณ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เเล้ว

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นเห็น ถูกไหม เห็นเกิดและดับด้วย และสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าไม่คิดถึงรูปร่างสีสันต่างๆ จะไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ แต่เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏมีลักษณะที่หลากหลายมาก สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีฟ้า มากน้อยต่างกัน ขนาดต่างกัน ยาวสั้นต่างกัน ก็ปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ จำได้ว่า นั่นต้นไม้ นี่ใบไม้ นั่นดอกไม้ นี่คน นั่นโต๊ะ นั่นเก้าอี้ คือธรรม

    สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ ๆ ถ้าฟังแล้วขั้นต้นเข้าใจ ต่อไปจะเข้าใจขึ้นๆ ๆ ว่าคือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และคนอื่นรู้อย่างนี้หรือเปล่า ไม่มีทางเลย สอนแต่เรื่องวิชาต่างๆ มากมายหลายอย่าง แต่ทุกอย่างเป็นธรรม วิชาไหนบ้างที่ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง วิชาต่างๆ เป็นวิชาที่เราคิดขึ้นมาตามแต่ละเรื่อง แต่ละทฤษฎี แต่ละประเภท ก็ไม่ได้อธิบายความเป็นจริงเลย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เขาจะสามารถกล่าวความจริงของแต่ละหนึ่งที่มีในขณะนี้ อย่างถึงที่สุดได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ว่าเห็นเมื่อกี้ดับแล้ว หมดแล้ว เห็นใหม่แล้ว ถ้ามีใครสักคนเดินเข้ามาก็เห็นใหม่แล้ว คนที่นั่งอยู่ออกไปก็เห็นใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เดิม ไม่ใช่ของเก่ากลับมา แต่ละหนึ่ง หนึ่งเท่านั้นในสังสารวัฏฏ์ ขณะเกิดเป็นหนึ่งขณะ ไม่ใช่ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน ต้องมีการเกิดขึ้นก่อน แล้วจากการที่เกิดขึ้นแล้วก็จะต้องสืบต่อมา โดยปัจจัยที่อาศัยกันและกันทำให้ชีวิตดำรงอยู่ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายจากโลกนี้ไป ไม่มีใครยับยั้งได้เลย

    ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย แต่ก่อนตายก็ต้องมีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไปเรื่อยๆ จะตายวันไหนก็ไม่รู้ หวังอะไรไว้เมื่อถึงขณะที่สิ้นชีวิตจากโลกนี้ไป ฝันหวังค้างไม่จบ ยังไม่ถึงเวลาที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นตามหวัง ก็หมดสิ้นไม่สามารถจะหวังต่อไปได้

    นี่ก็คือความจริงซึ่งเป็นชีวิต แล้วไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ทุกคนอยากสุขแน่นอน แล้วสุขหรือเปล่า บางครั้งก็ทุกข์ ทุกคนอยากเห็นสิ่งที่น่าพอใจ สวยๆ งามๆ แต่บางครั้งต้องเห็นสิ่งที่ไม่นาดู ซึ่งบังคับไม่ได้เลย แม้แต่กลิ่น ก็มีทั้งกลิ่นหอมที่น่าติดข้อง และกลิ่นเหม็น ไม่มีใครอยากได้กลิ่นเหม็น แต่ว่าทำไมขณะนั้นเหม็นกำลังปรากฏ เพราะธาตุรู้กำลังรู้ คือ กำลังได้กลิ่นที่เหม็น โดยกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าในอดีตเราได้เคยทำอะไรไว้ แต่ว่าขณะนี้สามารถที่จะรู้ผลของกรรมที่ได้ทำไว้

    ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกทั้งหมดเลย สัตว์โลก สิ่งที่มีชีวิต เป็นที่ดูบุญและบาป และ ผลของบุญและบาป เราก็เลยไปถึงคน สัตว์ต่างๆ แล้ว แต่ความจริงแตกย่อยออกไปก็คือ ธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด มีอะไรอีกไหมที่เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ กล้อง เราไม่ได้เห็นหรือ ความจริงในสิ่งเหล่านี้คืออะไร

    ท่านอาจารย์ ความจริงก็คิดว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ ทาง กำลังเห็นต้องอาศัยตา กำลังได้ยินต้องอาศัยหู เวลาได้กลิ่นต่างๆ ก็ต้องอาศัยจมูก เวลาลิ้มรสต่างๆ เพิ่งผ่านการรับประทานอาหารมา รสต่างๆ ไม่ใช่เรา แต่ธาตุชนิดหนึ่ง ธาตุรู้ ที่เราใช้คำว่า จิต เกิดขึ้นลิ้มรสที่กระทบลิ้น ถ้ารสไม่กระทบลิ้น จิตที่รู้รสเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ลิ้นไม่ได้รู้รส รสหวาน รสเค็มก็ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ที่ว่าเป็นเรากำลังรู้ว่ารสอะไร ที่ว่าเป็นเรา นั่นคือ สภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทุกขณะ

    ขณะที่กำลังลิ้มรส ไม่ใช่ขณะที่เห็น แต่ต่อกันเร็วมากสุดที่จะประมาณได้ เหมือนเราดูภาพยนตร์ ถ้าหยุดไว้ทีละรูปก็จะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยใช่ไหม แต่ที่เห็นเป็นคนเดิน พูด ทั้งหมดก็คือว่า มีการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเดี๋ยวนี้ ที่ว่าชีวิตเป็นเหมือนละคร จะเปรียบละคร เปรียบหนัง เปรียบอะไรก็ได้ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ แต่ต้องมีธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งยากที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นโดยปัจจัยต่างๆ ที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้เลย ก่อนเกิด คิดหรือเปล่าว่าจะเกิดในโลกนี้เป็นคนนี้

    เลือกเกิดหรือเปล่า เลือกได้ไหม ไม่มีทางเลย เกิดแล้วจะไม่ให้เห็นอย่างนี้ ได้ยินอย่างนั้นได้ไหม ก็เลือกไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นทั้งหมด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เริ่มไตร่ตรองคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเเต่ละคำว่าเป็นความจริง

    อัตตา หมายความว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดรวมๆ กันเเล้ว เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นงู เป็นกบ อะไรก็แล้วแต่ เป็นอัตตา เเต่ละหนึ่งๆ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เเต่ละหนึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

    ดอกไม้หนึ่งดอก เอาไปแยกกระจัดกระจายอย่างละเอียดยิบ เหลือดอกไม้ไหม ไม่เหลือเลย เป็นแต่ละหนึ่งๆ คนเราก็เหมือนกัน ถ้าแยกออกเพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่แขนจะขาด ขาจะขาด ผมหรืออะไรทั้งหมด ทุกส่วนถูกตัดออกไปได้หมด เพราะอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วไหนเป็นเรา ผมที่ตัดแล้วเป็นเราหรือเปล่า เล็บที่ตัดแล้วเป็นของเราหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แต่เวลารวมกันแล้วก็เป็นหนึ่ง คือ เป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ หรือเป็นอะไรก็ได้ แต่ความจริงคือสิ่งที่มีจริงที่รวมกัน ทำให้เราหลงเข้าใจว่าสิ่งนั้นเที่ยงยั่งยืน เช่น เก้าอี้ตัวนี้ โต๊ะตัวนี้ ก็ดูเหมือนอยู่ไปตลอด แต่ความจริงผู้ที่ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ถึงขณะที่หนึ่งปรากฏ และหนึ่งดับไป

    ผู้ฟัง มีความละเอียดเป็นอย่างยิ่งซึ่งยากที่จะทราบได้ เว้นแต่เราจะเข้าใจความเป็นจริงว่า สิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างๆ คืออะไร ถึงจะเริ่มที่จะเห็นความแตกต่างในสิ่งที่เกิดขึ้น ในความเป็นอัตตาที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายสักครู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ได้ยินอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจอย่างนี้มีประโยชน์ไหม หรือว่าไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะเราไม่เคยรู้ความจริงอย่างนี้มาก่อน ฟังแล้วจริง และก็จริงขึ้นอีก จริงขึ้นอีกๆ ๆ ถึงที่สุด ก็รู้ได้เลยว่าเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะรู้เองได้ ต้องอาศัยพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นเราก็กราบไหว้ แต่ว่าไม่รู้พระคุณ

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เข้าใจว่ามีคุณจักรกฤษณ์มาตั้งนาน ใช่ไหม แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ ตาก็มี หูก็มี คิดก็มี จำก็มี ชอบก็มี เกิดและดับอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นคน สัตว์ ดอกไม้ ต้นไม้ ได้หมดเลย

    ผู้ฟัง ส่วนใหญ่ทุกท่านที่มาฟังแล้วก็มีครอบครัว มีบุตร มีธิดา แล้วบุตรธิดาคืออะไร

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่เห็น จะมีบุตรธิดาไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี แต่เข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นจำได้ รูปร่าง หน้าตา สีสันทั้งหมด ก็รู้ว่าเป็นบุตรของเรา แต่ลองไปเปลี่ยนโฉม เดี๋ยวนี้เปลี่ยนกันง่ายมาก ไปเปลี่ยนโฉมกลับมาจะเป็นบุตรของเราไหม ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ใช่แล้ว ใช่ไหม แค่เห็น

    ผู้ฟัง ขอความละเอียดลึกซึ้งของคำว่า ปล่อยวาง

    ท่านอาจารย์ ฟังดูดี เหมือนกับว่าถือไว้นานจนหนัก จนกระทั่งต้องปล่อยวางเสียที แต่ก็ไม่ทราบว่าปล่อยวางอะไร ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไร ต้องเข้าใจว่าอะไร ถ้าจะปล่อยวาง ก็ต้องมีสิ่งที่จะต้องถูกปล่อยวาง เพราะฉะนั้นจะปล่อยวางอะไร

    ผู้ฟัง คือผมไปเจออาจารย์หลายท่านบอกว่าให้ปล่อยวาง เรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าเราปล่อยวางก็หมายความว่า ชีวิตเรานี้ไม่ต้องพัฒนาเเล้วหรือ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ต้องรู้ก่อนว่า ปล่อยวางอะไร ถ้ามีใครบอกให้เราปล่อยวาง เราก็ต้องถามว่า ปล่อยวางอะไร ยังไม่รู้เลยว่าจะให้วางอะไร จะให้ปล่อยอะไร ก็ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้เพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง พระที่เคยสอนไว้บอกว่า ให้ปล่อยวาง ไม่ต้องคิดถึงทรัพย์สินเงินทอง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอนาคต ก็เลยมีคำถามว่า ถ้าเราปล่อยวางแล้ว เราจะไม่มีการพัฒนาเชียวหรือ

    ท่านอาจารย์ ยังคงไม่ถึงตรงนั้น เพียงแต่ว่าปล่อยวางได้ไหม ยังไม่ใช่ว่าปล่อยวางแล้วเราจะทำอะไร แต่แค่ปล่อยวาง ปล่อยวางได้ไหม ถ้าบอกว่าให้ปล่อยวางทรัพย์สิน ปล่อยวางได้ไหม ยังไม่รู้เลย

    ผู้ฟัง ปล่อยวางว่าไม่ต้องไปคิดอะไร เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ชีวิต อนาคตต่างๆ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย มีแต่เขาให้ปล่อยวาง เราก็จะปล่อยวางให้หมด ซึ่งไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือ ปล่อยวางอะไร แล้วทำไมจึงต้องปล่อยวาง แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไร ไม่ใช่ใครๆ ก็ปล่อยวางได้ บอกให้ปล่อยวาง ก็ปล่อยวางได้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ต้องให้เข้าใจก่อนว่า ปล่อยวางอะไร

    เวลานี้ เราเห็นหรือเปล่า เราได้ยินหรือเปล่า เราคิดนึกหรือเปล่า หรือคนอื่น หรือเราที่กำลังเห็น เราที่กำลังได้ยิน ทั้งๆ ที่ได้ยินก็ดับไปแล้ว ก็ยังอุตส่าห์เป็นเราได้ยิน เเล้วจะปล่อยวางอะไร

    เพราะฉะนั้น ทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้เราฟังเผินๆ แล้วรีบปฏิบัติตาม ซึ่งทำไม่ได้เพราะไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าปล่อยอะไร วางอะไร แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไร ต้องเป็นความเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง

    คำใดที่ไม่ทำให้เกิดความเห็น ความเข้าใจที่ถูกต้องก็ทิ้งไป เพราะว่าฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าฟังคำไหนเเล้วเริ่มเข้าใจขึ้น เราก็ฟังต่อไป เพราะฉะนั้น ปล่อยวางในที่นี้ยังไม่รู้เลยว่าปล่อยวางอะไร ต้องรู้ก่อนว่าจะปล่อยวางอะไร และจะปล่อยวางได้ไหม เเล้วจะปล่อยวางอย่างไร

    ผู้ฟัง ได้ยินได้ฟังมาตลอด ก็บอกว่าให้ปล่อยวาง

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนใครเเค่ว่าให้ปล่อยวาง ง่ายเกินไป เป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะไม่รู้ ทั้งหมดต้องเป็นความรู้ที่เริ่มรู้ว่าเราไม่รู้อะไร ปล่อยวางความไม่รู้ด้วยความรู้ เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ที่กำลังมีด้วย

    ผู้ฟัง คิดว่า คำว่าปล่อยวาง คือ ทุกอย่างไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นก็อย่าไปยึดติด ถ้าเราคิด ถ้าเราเป็นทุกข์ ก็ปล่อยมันไว้

    ท่านอาจารย์ หมดแล้ว ยังไม่ต้องไปคิดทำอะไรเลย คิดเกิดและดับทันที ทุกอย่างแค่เกิดปรากฏ สั้นมากแล้วก็หมดไป สืบต่อเร็วมาก

    ผู้ฟัง แต่ปัจจุบัน คือ มนุษย์เราคิด เเล้วก็คิดต่อไปเรื่อยๆ ที่ทำให้เรานอนไม่หลับ หรือเป็นทุกข์เพราะเราติดยึดกับสิ่งที่เราได้คิด ได้เห็น ได้สัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เรา หรือ ธรรม ถ้าไม่มีธรรม จะมีเราไหม ถ้าไม่มีเห็น จะมีเราเห็นไหม ถ้าได้ยิน จะมีเราได้ยินไหม แต่เพราะมีเห็น แต่ไม่รู้ความจริงว่า เห็นเกิดเพราะมีตา มีสิ่งที่เป็นปัจจัยทำให้เห็นเกิด ยับยั้งไม่ให้เห็นไม่ได้เลย เห็นเกิดแล้ว เเละเห็นก็ดับแล้วด้วย ไม่ต้องไปปล่อยวางอะไร แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดได้เเละก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกคำประมาทไม่ได้เลย ต้องถึงที่สุด ปล่อยอะไร วางอะไร ต้องบอกชัดเจน

    ผู้ฟัง เดี๋ยวก็กลายเป็นยึดติด คือมุ่งมั่นเกินไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ ไม่ คือเป็นการที่รู้ว่าไม่รู้อะไรมากแค่ไหน ก่อนฟังพระพุทธเจ้าเหมือนรู้ รู้ไปหมดเลย ละไปหมดเลย ได้ยินเขาบอกอะไรก็ทำได้หมดเลย

    แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ให้ใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น ให้ฟังให้เข้าใจ เพราะว่าความเข้าใจให้กันไม่ได้ แต่มีคำพูดที่ทำให้คนนั้นไตร่ตรอง แล้วก็เป็นความเข้าใจของตนเอง เริ่มเกิดปัญญา มีอะไรที่ประเสริฐกว่าปัญญา เพราะปัญญาสามารถที่จะดับกิเลส ดับความไม่รู้ ดับความเห็นผิด ดับความโกรธ ดับความติดข้อง ดับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดี แต่ถ้าไม่ใช่เป็นปัญญา เป็นตัวตนไปพากเพียรทำสักเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ

    ผู้ฟัง คำว่าปล่อยวาง ก็ยังไม่ได้เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พุทธ คือ เข้าใจ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ตรงนี้น่าสนใจว่าจะปล่อยวาง ก็ปล่อยวางความไม่รู้เสียก่อน อย่างนี้ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ลืมอีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครลืมธรรม ก็คือไม่ได้เข้าใจธรรม ต้องมั่นคง สิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำนี้ลืมไม่ได้เลย ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้

    ผู้ฟัง คำว่าไม่ใช่เรา ก็มีความละเอียดที่จะต้องเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก

    ท่านอาจารย์ นี่คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอย่างยิ่ง เพราะตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ไม่ใช่ผิวเผิน และไม่ได้บอกให้ใครทำอะไรเลย แต่ว่าให้เข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง มีผู้ถามว่า เราจะเริ่มต้นอย่างไรในการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ จะไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเริ่มต้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เริ่มไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ได้เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เริ่มก็คือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าไม่ตรัสสักคำ ใครจะเข้าใจอะไรได้ นิ่งเงียบเลย ไม่พูดไม่จา ใครจะเข้าใจอะไร แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว พระปัญญาทั้งหมดที่บำเพ็ญมาที่จะถึงการรู้สิ่งทั้งปวงอย่างยิ่ง เป็นปัจจัยที่ทำให้เปล่งวาจาด้วยพระมหากรุณาให้คนอื่นเข้าใจ เพราะถ้าพระองค์ไม่ตรัส เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะคิดเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ฟังมีค่ายิ่งกว่าอย่างอื่น ถ้าเป็นคำเชิญชวนก็อาจจะบอกว่า ไม่ฟังเเล้วจะเสียดาย แต่ไม่ใช่เชิญชวนอย่างนั้นเลย ไม่ฟัง ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง กล่าวว่า ไม่ฟังแล้วจะเสียดาย รู้สึกว่า ต้องไปฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า เชิญชวน ทำให้คนรู้สึกว่าต้องฟังเเล้ว ถ้าไม่ฟังแล้วจะเสียดายที่ไม่ได้ฟัง แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ฟัง ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักได้อย่างไรถ้าไม่ฟังคำของพระองค์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    4 มิ.ย. 2568