ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
ตอนที่ ๑๑๐๘
สนทนาธรรม ที่ บ้านไม้ขาว
วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ สั้นบ้าง เหลี่ยมบ้าง ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ปรากฏทางตาใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ พร้อมกับลักษณะที่แข็ง ก็เลยเข้าใจว่าสิ่งที่แข็งอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้เป็นโต๊ะ เเต่นี่ไม่ใช่โต๊ะแล้ว เป็นยา เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นแต่ละหนึ่ง ถ้าไม่มารวมกันจะไม่มีการปรากฏว่าเป็นดอกไม้หรือ เป็นพวงมาลัย แค่ดอกไม้ดอกเดียว แตกย่อยให้ละเอียดยิบ เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่น อะไรก็ตามที่เราคิดว่าหนา แท่น ทึบ เที่ยง ความจริงมีอากาศธาตุแทรกอย่างละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกย่อยทำลายได้ ทำลายภูเขาให้แตกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่น่าจะได้
ท่านอาจารย์ ไม่น่าจะได้จริงหรือ? เมืองทั้งเมืองยังราบไปเลยด้วยลูกระเบิดลูกเดียว สิ่งที่เราคิดว่าทำลายไม่ได้
ผู้ฟัง ดิฉันคิดว่าตัวดิฉันไปทำลายได้ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ พูดถึงสิ่งนั้นจะถูกทำลายได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ได้ เราจะต้องเข้าใจอย่างละเอียดยิบว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่าเที่ยง มั่นคง ใหญ่ แน่น เช่น ไมโครโฟนนี้ทำลายไม่ได้หรอก ลองดู ทำไมจะทำลายไม่ได้ เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พอทุกอย่างแตกย่อยออกไปหมด เหลือสิ่งที่เล็กที่สุด มองไม่เห็น แต่ก็มี เราเห็นโต๊ะ เราเห็นฝุ่นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเรียกว่าฝุ่น
ผู้ฟัง ก็ถูกจำ
ท่านอาจารย์ จำ ได้อย่างไร ถ้าไม่เห็น ที่โต๊ะมีฝุ่นไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เพราะเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเล็กที่สุด ต้องมีรูป สิ่งที่รวมกัน และไม่รู้อะไร เริ่มเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง คำแรก แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายมากไม่ใช่มีอย่างเดียว จึงมีธรรมประเภทต่างๆ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ค่อยๆ เป็นคนที่มีเหตุผล มีความเข้าใจเป็นปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเผิน วันนี้มาฟังธรรมแต่ไม่รู้หรอกเขาพูดเรื่องอะไร แต่ฟังธรรมต้องรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้จักธรรมเลย เพราะธรรมเป็นความจริงถึงที่สุด เช่น เเข็ง จะเปลี่ยนเเข็งให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นได้อย่างเดียวคือแข็ง เล็กเท่าไหร่ก็แข็งใช่ไหม แข็งเป็นแข็ง ไม่ว่าจะใหญ่เท่าไหร่ หรือเล็กเท่าไหร่ ก็มีลักษณะที่แข็ง แล้วเย็น?
ผู้ฟัง เย็นก็คือเย็น
ท่านอาจารย์ เย็นก็คือเย็น แล้วหวาน?
ผู้ฟัง หวานก็คือหวาน
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนเป็นเค็มไม่ได้
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เสียงเปลี่ยนเป็นร้อนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างแต่ละหนึ่ง ใช่ไหม มีจริงๆ ใช่ไหม เป็นธรรมทั้งหมด เริ่มเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างทั้งหมดที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นแต่ละหนึ่งธรรมไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคน มีธรรมไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีอะไรบ้าง
ผู้ฟัง มีหู มีตา มีแขน คือมาประกอบกัน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอ่อนหรือแข็งเลย จะมีตัวไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบคิ้ว กระทบตา กระทบ หู จมูก ลิ้น กาย ก็คือแข็ง เริ่มเข้าใจว่าที่ว่าเป็นเรา แท้ที่จริงก็คือแข็ง ใช่ไหม แข็งที่โต๊ะเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็นเรา แต่เป็นแข็ง แข็งต้องเป็นแข็ง ดอกไม้แข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่แข็ง
ท่านอาจารย์ อ่อนไหม
ผู้ฟัง อ่อน
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเป็นดอกไม้
ผู้ฟัง เป็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นประเภทใหญ่ๆ ไม่ว่าจะโลกไหน โลกนี้ สวรรค์ พรหมโลก เทวโลก จักรวาล ดาวนพเคราะห์ พระจันทร์ อะไรทั้งหมด ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งหลากหลายมาก แต่ก็ต้องมีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ถ้าไม่เกิดมีไหม โลกนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นมีไหม มีโลกไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี ถ้าคนไม่เกิด จะมีคนไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถ้าสิ่งที่อ่อนหรือแข็งไม่เกิด จะมีลักษณะที่อ่อนหรือแข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี สิ่งที่มี คือสิ่งที่เกิดขึ้น มีลักษณะซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เป็นธรรมทั้งหมดแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคน คือสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีสีสันวัณณะที่มองแล้วเป็นส่วนต่างๆ คิ้วก็ไม่ใช่ตา ไม่ใช่จมูก ไม่ใช่ฟัน คิ้วแข็งไหม ถ้าไม่ไตร่ตรองจะเป็นความเข้าใจหรือ ถ้าให้บอกมาเลยว่าธรรมคืออะไร แล้วเราจะรู้หรือ? ถ้าเราไม่คิด คิ้วแข็งไหม
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ แข็งก็ต้องแข็ง ตาแข็งไหม
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ จมูก ปาก ฟัน ก็แข็ง แต่ส่วนผสมสัดส่วนของความอ่อนแข็งต่างกันหลากหลาย ทำให้ปรากฏเป็นสีสันต่างๆ แม้แต่ตาก็ยังเป็นดำกับขาวเลย เพราะส่วนที่จะทำให้เป็นสีขาวเป็นสีขาว ส่วนที่จะทำให้เป็นสีดำก็เป็นสีดำ แต่ก็มีอ่อนหรือแข็งเป็นพื้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังวันเดียวพอไหม
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าธรรมมีตลอดเวลา ทั้งหมดเป็นธรรม แต่กว่าจะเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่งได้ ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง ธรรมหลากหลายมากก็จริง แต่ต่างกันโดยประเภทใหญ่ๆ ก็คือธรรมประเภทหนึ่ง เกิดมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น หวานเกิด เป็นหวานได้อย่างเดียว แข็งเกิดเป็นแข็ง แข็งก็ไม่รู้อะไร ใครจะไปทุบ ไปตี ไปเตะ ไปต่อย ไปฟัน แข็งก็ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะแข็งเป็นแค่แข็ง เป็นแข็ง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดเป็นแต่ละหนึ่งหลากหลาย เช่นเป็นแข็งบ้าง เป็นหวานบ้าง เป็นเสียงบ้าง ทั้งหมด โดยฐานะที่ไม่ใช่สภาพรู้ ทั้งหมดเป็นรูปธรรม ภาษาบาลีจะใช้คำว่า รูปะ ออกเสียงทุกคำ รู-ปะ-ธัม-มะ แต่คนไทยก็ตัดสั้นเลย รูปะก็เป็นรูป ธัมมะก็เป็นธรรม ก็เลยรวมเรียกว่ารูปธรรม บางคนก็บอกเเค่ รูป รูปก็เป็นธรรม แต่ธรรมหลากหลาย ธรรมที่ไม่ใช่รูปก็มี เพราะฉะนั้นหลากหลายประเภทใหญ่ๆ คือธรรมประเภทหนึ่ง ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่เกิดแต่ไม่รู้เป็นรูปธรรม แต่มีธรรมอีกอย่างหนึ่ง เกิดแล้วรู้ ไม่รู้ไม่ได้เลย เห็นรู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ว่าเรามองเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นคือรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ได้ไปรู้อื่นเลย รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้คือรู้ หลากหลายมากเลย สีเขียว สีแดง สีฟ้า เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเห็น มีจริงๆ เกิดขึ้นต้องเห็น เห็น เกิดขึ้นได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เห็นต้องเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เห็นจะเป็นอื่นไม่ได้เลย นี่คือธรรมหนึ่ง ขณะนี้เห็นไหม
ผู้ฟ้ง เห็น
ท่านอาจารย์ เกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ เเล้วดับ เเต่ไม่รู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา" ฟังไว้ ยังไม่ปรากฏ แต่เข้าใจได้ว่าไม่ได้เห็นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่เห็น ขณะที่คิดไม่ใช่เห็น ขณะที่กำลังรับประทานอาหาร มีรสปรากฏไม่ใช่เห็น เห็นรสได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย ต้องลิ้มรส
ผู้ฟัง ต้องลิ้มรส
ท่านอาจารย์ ลิ้นมีจริงๆ ไม่ใช่ตา ลิ้นมีจริงๆ ไม่ใช่หู ลิ้นเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะมีจริง ทุกอย่างที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตนๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่เรียกว่าลิ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ทำไมต้องเรียก มีก็มีสิ จะเปลี่ยนชื่อก็ได้ ภาษาไทยเราเรียกว่าลิ้น ภาษาบาลีเรียกว่าชิวหา เพราะฉะนั้นไม่มีชื่อ แต่ต้องอาศัยชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร แต่ตัวจริงของเขาคือมีธรรม แต่อาศัยชื่อเรียกธรรมแต่ละหนึ่ง ให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร แต่ธรรมเป็นสภาพที่ปกปิด คนจึงคิดว่ามีลิ้น แต่ไม่รู้ว่ามีรูปที่สามารถกระทบกับรส แต่รูปลิ้น ตัวลิ้นไม่รู้อะไร แต่ธาตุรู้เกิดขึ้น ลิ้มรสที่กระทบลิ้น เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ
การมาฟังธรรมวันนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่ได้มีความเข้าใจเป็นพื้นฐานตั้งแต่ต้นอย่างมั่นคง ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และใช้คำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง หลากหลายมาก ก็รวมเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดว่าสิ่งนั้นเกิด แล้วก็ดับด้วย สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว เป็นของใคร
ผู้ฟัง ก็เป็นของเรา
ท่านอาจารย์ เราอยู่ไหน มีแต่สิ่งที่เกิดแล้ว ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แล้วเราอยู่ไหน เราอยู่ตรงไหน ขณะที่ลิ้มรสเป็นเรารู้รสใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้รส จะมีเรารู้รสไหม
ผู้ฟัง ไม่มีเเล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่าธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยลิ้นกับรส เมื่อกระทบกันก็ทำให้เกิดธาตุรู้รส ลิ้นไม่ใช่ธาตุรู้รส รสไม่ใช่ธาตุรู้รส เเละรสก็ไม่ใช่ลิ้น แต่ถ้าไม่มีรสกับลิ้น จิตที่ลิ้มรส รู้รสก็เกิดไม่ได้เลย เกิดแล้วก็ดับไปด้วย เราอยู่ไหน
ผู้ฟัง เราก็ดับไปด้วย
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา
ผู้ฟัง ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ แต่มีธาตุที่เกิดขึ้นลิ้มรส กำลังรู้รส เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น กำลังรับประทานอาหาร ธาตุรู้ชนิดนี้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบลิ้น เปรี้ยวหรือหวาน หรือเค็ม หรือจืด ทั้งหมดเป็นธาตุรู้ หวานรู้ว่าหวานหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นรูปธรรม ธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปธรรม หวานมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ธรรมต้องไตร่ตรอง ต้องคิด เข้าใจเมื่อไหร่เป็นปัญญาเมื่อนั้น ก่อนฟังไม่มี ใช่ไหม แต่ฟังแล้วมีปัญญาคือความเห็นถูกต้องเกิดขึ้น เพราะอาศัยการฟังพระธรรม ต้องรู้ด้วยว่าแม้ปัญญาก็เกิดเองไม่ได้ ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการไตร่ตรอง ไม่คิดเลยก็ตอบผิดๆ ถูกๆ ไป
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ปัญญาต้องเกิดจากการไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟัง จนกระทั่งเข้าใจเมื่อไหร่ก็เป็นปัญญาเมื่อนั้น ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า แค่นี้ยังต้องคิดเลย แล้วดีกว่าตอบโดยไม่คิดใช่ไหม เพราะว่าตอบโดยไม่คิดคือไม่เข้าใจ แต่ถ้าคิดแล้วเข้าใจ หรือไม่เข้าใจก็ตามที่ตอบมา ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่เป็นเพราะอะไร ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ตอบง่ายๆ เพราะจำได้ แต่ไม่เป็นเราเพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะเกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลย ไปหามาอีกก็ไม่ได้ ในสังสารวัฏฏ์มีสิ่งที่เกิดหนึ่ง แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่ง ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น จริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ จริง เเล้วก็ต้องเข้าใจมากกว่านี้อีก
ผู้ฟัง ใช่ ต้องเข้าใจอีกมากเลย
ท่านอาจารย์ นี่คือได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าไม่เข้าใจเลยเเล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธรู้อะไร ทำไมว่าเป็นชาวพุทธ ไม่รู้อะไรแล้วเป็นชาวพุทธได้อย่างไร พุทธคือรู้ เป็นปัญญา ด้วยเหตุนี้ต้องละเอียดมาก แต่ละคำต้องเป็นการไตร่ตรองแล้วเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วจะลืมไหม
ผู้ฟัง ไม่ลืม ถ้าเข้าใจแล้ว
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ คิดเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ชอบเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ โกรธเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง โกรธเกิดหรือเปล่า ณ ตอนนี้หรือ?
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ถามว่าตอนไหนเลย ถามว่าโกรธเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิดจะมีโกรธหรือ เพราะฉะนั้นที่เกิดเป็นโกรธ ก็ต้องเพราะเกิดขึ้นเป็นโกรธ ไม่เป็นอย่างอื่น โกรธดับหรือเปล่า
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ เป็นเราโกรธหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา หลงเข้าใจว่าธรรมเป็นเรา นานแสนนานเกินอสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่แค่วัน แค่เดือน แค่ปี ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด คือใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย ตอนนี้เข้าใจธรรมแล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง เข้าใจขึ้นบ้าง
ท่านอาจารย์ ธรรมหลากหลายมากเลย ธรรมประเภทที่ไม่รู้เป็นรูปธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้เป็นรูปธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ใช้อีกคำหนึ่งว่า นามธรรม สภาพรู้ เมื่อมีสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ รู้โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ ใช่ไหม นี่คือความถูกต้อง คือเหตุผล เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่ตัวรู้ ไม่ใช่สภาพรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่า อารัมมณะ ภาษาไทยใช้คำว่า อารมณ์ ตัดหมดเลย จากอารัมมณะให้เหลือเพียงอารมณ์ วันนี้อารมณ์ดีไหม
ผู้ฟัง ดีมาก
ท่านอาจารย์ ดีมาก อารมณ์คืออะไร
ผู้ฟัง คือความรู้สึก
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่
ผู้ฟัง ไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ต้องฟังละเอียด มั่นคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถึงที่สุด เมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่จิตที่รู้ ใช่ไหม สิ่งที่ถูกจิตรู้ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ แต่ต้องทีละหนึ่ง เพราะจิตเกิดขึ้นหนึ่ง รู้หนึ่ง จิตเห็นรู้อะไร เฉพาะจิตเห็น นี่คือธรรม คือชาวพุทธ จะเป็นชาวพุทธต่อเมื่อเข้าใจธรรม จิตเห็น เห็นอะไร หลับตาเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ลืมตาเห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นอาจารย์ เห็นรถ เห็นเพื่อน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้
ท่านอาจารย์ แต่ความจริง เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มีจริงๆ กำลังปรากฏว่าสิ่งนี้มีจริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้มี สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่แข็ง
ท่านอาจารย์ ไม่แข็ง หวานไหม
ผู้ฟัง ไม่หวาน
ท่านอาจารย์ มีกลิ่นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะเป็นสิ่งหนึ่ง จะเป็นอื่นไม่ได้ จะเป็นกลิ่นไม่ได้ จะเป็นรสไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อเห็นเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดสิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก่อนที่จะรู้ว่าเห็นอะไร ต้องแยกละเอียดยิบ
ผู้ฟัง ละเอียดมาก
ท่านอาจารย์ จึงจะไม่มีเรา เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ถ้าคนถามว่าทำไมไม่มีเรา ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง หนึ่งนั้นเป็นเราหรือ เห็นเป็นเราหรือ ก็เห็นเกิดแล้วดับไปจะเป็นเราได้อย่างไร มีใครเป็นเจ้าของเห็นบ้างไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีใครเป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง มีรูปร่างกายไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นของเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่มารวมกันเมื่อไหร่ ก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา หรือเป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ หรือเป็นคน หรือเป็นสุนัข หรือเป็นภูเขา ทั้งหมดก็คือ ธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งรวมกัน ถ้าแต่ละหนึ่งแยกออกไปอย่างดอกไม้หนึ่งดอก แยกให้ละเอียดยิบ ยังคงเหลือความเป็นดอกไม้ไหม ที่ว่าเป็นคน แยกให้ละเอียดยิบ ตรงไหนเป็นคน เนื้อเป็นเนื้อ กระดูกเป็นกระดูก ฟันเป็นฟัน แข็งเป็นแข็ง เท่านั้นเอง นี่คือธรรม เพราะฉะนั้นมีอีกคำหนึ่งที่จะให้เข้าใจธรรมก็คือ ปรมัตถธรรม
ผู้ฟัง ปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ มาจาก ๓ คำ ปรม (ปะ-ระ-มะ) คำหนึ่ง อรรถ (อัด-ถะ) คำหนึ่ง และธรรม อีกคำหนึ่ง เมื่อทุกอย่างเป็นธรรม แสดงว่ามีจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะลักษณะของธรรมนั้นต้องเป็นธรรมนั้น ทรงไว้ซึ่งลักษณะสภาพที่เป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างเค็มเป็นแข็งไม่ได้ เป็นเสียงไม่ได้ เค็มต้องเป็นเค็ม เป็นปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่มีจริง ลักษณะคืออรรถ ที่เราสามารถจะกล่าวถึงคือเค็ม เมื่อพูดถึงเค็มเราก็รู้ว่าหมายความถึงรสอะไร แล้วใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเค็มก็เป็น ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งทรงลักษณะสภาพของตน ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ มีจริงหรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นั่นคือความหมายของปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ธรรมที่ไม่เป็นปรมัตถธรรมมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม ที่ไม่เป็นธรรมมีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นปรมัตถธรรม ลึกซึ้งไหม
ผู้ฟัง ลึกซึ้งมาก อาจารย์
ท่านอาจารย์ รู้ง่ายไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ง่ายเลย
ท่านอาจารย์ มีอีกคำหนึ่ง " อภิธรรม" ละเอียดยิ่ง ลึกซึ้งยิ่ง เคยได้ยินคำว่า "อภิธรรม" ไหม
ผู้ฟัง เคยได้ยิน แต่ไม่รู้ความหมายอะไรเลย
ท่านอาจารย์ นี่คือชาวพุทธที่ไม่ได้ฟังธรรมแล้วจะรู้ได้อย่างไร ถ้าเป็นชาวพุทธต้องเข้าใจ เคยได้ยินคำว่าอภิธรรมเมื่อไหร่ เคยไปงานศพไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ มีสวดศพไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ สวดอะไร
ผู้ฟัง เขาก็สวดเป็นบาลีกัน
ท่านอาจารย์ เขาจะเขียนไว้เลยว่าสวดอภิธรรม เพราะว่าเขาไม่ได้รู้จักธรรม ไม่รู้จักอภิธรรม แต่เขาพูดแต่ว่าสวดพระอภิธรรม ลองไปถามคนที่สวดพระอภิธรรมว่าสวดอะไร เขาก็ตอบได้เเค่ว่าสวดอภิธรรม อภิธรรมคืออะไรก็ตอบไม่ได้ นั่นไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธก็คือผู้ที่ได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มเห็นพระปัญญาของพระองค์ เริ่มมีความนับถือในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครได้ยินได้ฟังคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเลย พระคุณสูงสุดที่เปรียบไม่ได้เลย เป็นรัตนะที่เหนือรัตนะใดๆ ทั้งจักรวาล กี่โลกก็ไม่สามารถทำให้คนที่ไม่รู้ ได้รู้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องได้ เป็นมรดกที่ล้ำค่า รับไหม
ผู้ฟัง รับ
ท่านอาจารย์ รับก็คือศึกษาต่อไป ฟังต่อไป เข้าใจต่อไป
ผู้ฟัง เรียนถามว่าใส่บาตร โดยเลือกพระภิกษุที่เห็นว่าน่าเลื่อมใส ตั้งใจว่าการถวายอาหารนั้นขอน้อมถวายแด่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลอย่างนี้จะถูกต้องไหม
อ.กุลวิไล เราไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่า ญาติคนนั้นเกิดเป็นบุคคลใด แต่ถ้าเราทำความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ข้อสำคัญคือถ้ากุศลจิตเกิดเมื่อไหร่ก็สามารถจะอุทิศให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ กราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างต้องเข้าใจ แม้แต่ บุญ ต้องเป็นความดี ถ้าไม่ได้ทำความดี ทำความไม่ดี คนอื่นดีใจ ยินดีด้วยไหมที่เขาทำความไม่ดี เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อได้กระทำความดีแล้วคนอื่นรู้เมื่อไหร่เขาก็พลอยยินดีด้วยถ้าเกิดกุศลจิต แต่บางคนเขาไม่ยินดีก็ได้ ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าคนใดก็ตามที่ทำความดีแล้วคนอื่นจะพลอยยินดีด้วย แม้แต่ญาติพี่น้อง ถ้าได้ทราบว่าเรามาฟังธรรมสนทนาธรรม คนที่ยินดีด้วยก็มี คนที่ไม่ยินดีก็มี แล้วจะไปให้เขายินดีก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมก็คือ ต้องรู้ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าเขา ไม่ว่าญาติ หรือไม่ว่าใครทั้งหมด ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมว่า เรื่องของสิ่งที่ไม่ดีอุทิศให้ใครก็ไม่ได้ เขาก็ไม่รับ หรือเขาจะยินดีนั่นคือเรื่องของเขาที่ชอบความไม่ดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น ด้วยเหตุนี้บุญมีหลายอย่าง ความดีมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ ที่เราใช้คำว่า ทาน หรือทานะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140