ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129


    ตอนที่ ๑๑๒๙

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ไม่ฟัง ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักได้อย่างไรถ้าไม่ฟังคำของพระองค์

    อ.จักรกฤษณ์ มีการสอนเรื่อง ปล่อยวาง ท่านบอกว่า สมมติเราถือหินหนักๆ ก้อนหนึ่ง แบกเอาไว้ คำสอนก็คือเอาหินวางลง ปล่อยวาง

    ท่านอาจารย์ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เท่าที่ศึกษามาก็ไม่เคยเจอคำคำนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วไม่เข้าใจ หินคืออะไรก็ไม่บอก แล้วปล่อยอย่างไร วางอย่างไร

    อ.จักรกฤษณ์ แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ ถือหินหนักๆ ถือไว้นานๆ ก็เมื่อย

    ท่านอาจารย์ แล้วปล่อยหิน

    อ.จักรกฤษณ์ เอาวางลง

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่รู้อะไร

    ผู้ฟัง ก็หายเมื่อย

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็น? เเล้วได้ยิน?

    ผู้ฟัง ไม่อธิบายตรงนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ปล่อยวางความไม่รู้ และหินคืออะไรก็ไม่บอกด้วย ถือหินไว้ในมือ แล้วให้ปล่อยวางหิน แต่หินคืออะไร คำใดก็ตามที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ มีประโยชน์อะไร นอกจากทำให้หลงเข้าใจผิด

    อ.จักรกฤษณ์ อย่างที่ท่านอาจารย์ถามว่า หินคืออะไร หิน คือ ความทุกข์ที่เราแบกเอาไว้

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นทุกคนต้องไม่มีทุกข์ ปล่อยวางหมด จะเก็บทุกข์ไว้ทำไม แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะยังไม่รู้เลยว่า ทุกข์จริงๆ ซึ่งใครก็แก้ไม่ได้เพราะเป็นธรรม คืออะไร

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างจากคำของคนอื่นทั้งหมด เพราะเป็นคำที่เกิดจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริง คำอื่นเราเคยได้ฟังมาแล้วตั้งแต่เกิด ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะเกิดที่ไหน เรียนอะไร ศึกษามาอย่างไร ชาตินี้ ชาติไหนก็ตามแต่ ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นคำที่เรารู้จักแล้วทั้งนั้น หิน เราก็รู้จัก ถือหิน เราก็รู้จัก ปล่อยวางหิน เราก็รู้จัก แล้วสอนอะไร เข้าใจอะไร แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำใหม่ที่ต้องไตร่ตรอง เข้าใจเมื่อไร ภาษาบาลี ใช้คำว่า ปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น มีสองคำ ไม่รู้ คือ อวิชชา มืด เพราะสิ่งนั้นกำลังปรากฏก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เป็น โมหะ แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นปัญญาที่ทำให้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะให้ความถูกต้องได้เลย

    แม้แต่เกิด อะไรเกิด ทุกคำที่พระองค์ตรัสจะต้องสอนให้รู้ว่า คืออะไร ตาย อะไรตาย แม้แต่คิด อะไรคิด ทั้งหมด อะไรทั้งนั้น เพราะว่าไม่เคยรู้เลย แต่เมื่อรู้ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นความจริง คิดไม่ใช่เห็น แล้วเป็นอะไร ละเอียดมากที่ทรงเเสดง ๔๕ พรรษา

    ผู้ฟัง ปัญหาที่ทุกคนเจอบ่อยๆ คือ ความโกรธ หรือมีโทสะ เราจะมีวิธีอย่างไร หรือว่าใช้ปัญญาอย่างไรเพื่อจะทำให้ละคลายได้ ขอให้บรรเทาได้บ้าง

    ท่านอาจารย์ โกรธตลอดเวลาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นๆ หายๆ

    ท่านอาจารย์ เขาเกิดเอง เขาหายเอง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดเอง หายเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมจะไปทำให้เขาหาย

    ผู้ฟัง เป็นอนัตตา ไม่หาย

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่าโกรธเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้โกรธเกิดขึ้น ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจจะโกรธหรือ ถ้าได้ยินเสียงเพราะๆ โกรธหรือ ถ้าได้กลิ่นหอม โกรธหรือ ถ้ารสอร่อยมากๆ จริงๆ โกรธหรือ ยังไม่รู้เลยว่าทำไมโกรธถึงเกิดขึ้นมาได้ แล้วก็คิดว่าจะไปทำให้หายโกรธ แต่ความจริงไม่ได้โกรธตลอดเวลา และโกรธเกิดแล้วดับไปด้วยก็ไม่รู้ แต่หลงผิดคิดจะไปทำให้หายโกรธ ไม่ต้องทำ เพราะโกรธเกิดจากเหตุปัจจัย ใครก็ทำไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว และก็ดับแล้วด้วย จะไปดับกิเลส เขาดับแล้ว ไม่ต้องคิดที่จะไปดับ แต่ให้รู้ตามความจริงว่า ไม่มีใครเลยนอกจากธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งหลากหลายมาก

    แม้ว่าจะหลากหลายสักเท่าไหร่ กี่โลก กี่จักรวาลก็ตาม อาทิตย์ดวงดาวอะไรทั้งหมด สิ่งที่มีจริง จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เช่น แข็งเกิดเป็นแข็ง เก้าอี้ก็แข็ง โต๊ะ รถ อะไรๆ ก็แข็ง แข็งเป็นแข็ง เปลี่ยนแข็งให้เป็นอื่นไม่ได้ แล้วแต่ว่าแข็งนั้นจะอยู่ตรงไหน ดังนั้น สภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้เปลี่ยนแปลงจากความเป็นจริงได้เลย แต่ละหนึ่งจริงๆ และเกิดตามเหตุตามปัจจัยด้วย

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีจริง ทุกคนยอมรับไหมว่ามี เช่น แข็ง เสียง กลิ่น มี แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่มีจริงจึงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ประเภทหนึ่ง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำบาลี รูปธรรม (รู-ปะ-ทัม-มะ) แต่คนไทยพูดสั้นๆ ว่ารูปธรรม (รูบ-ปะ-ทัม) ตอนนี้ใครพูดเรื่องรูปธรรมเรารู้เเล้วว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่ว่าไม่รู้ เสียงเป็นรูปธรรม กลิ่นเป็นรูปธรรม รสเป็นรูปธรรม แข็งเป็นรูปธรรม

    แต่ถ้าไม่มีธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นและต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ เสียงมี เเต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏว่ามีเสียง กลิ่นก็ไม่ปรากฏว่ามี ถ้าไม่มีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้กลิ่นที่กำลังปรากฏ หลงเข้าใจว่าสภาพหรือ ธาตุที่เกิดขึ้นรู้นั้นเป็นเรา จึงบอกว่าเราได้กลิ่น แต่ที่จริงคือธาตุที่สามารถจะรู้กลิ่นเกิดขึ้น

    เมื่อธาตุนั้นเกิดขึ้นรู้กลิ่น ด้วยความไม่รู้จึงยึดถือธาตุรู้ทั้งหมดว่าเป็นเรา เป็นใจของเรา เป็นจิตของเรา เป็นความโกรธของเรา เป็นความโลภของเรา แต่ความจริงเป็นธรรม ซึ่งต่างจากสภาพที่ไม่รู้ โดยเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้

    เพราะฉะนั้น ธรรมหนึ่งที่ทุกอย่างที่มีจริงก็ต่างกันเป็นสอง คือ เป็นรูปธรรมหนึ่งประเภท เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร และอีกหนึ่งประเภทคือ ธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้เมื่อนั้น

    เดี๋ยวนี้กำลังเห็น คือ ธาตุรู้ รู้อะไร รู้ว่ากำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นั่นคือไม่ใช่เราเห็น เพราะฉะนั้น เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งหมด คือไม่ใช่ของใคร แล้วไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย ใครทำให้ดอกไม้เกิดขึ้น ทำเสียงสิ คุณจักรกฤษณ์

    อ.จักรกฤษณ์ พูด คือทำเสียงได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการกระทบกันของของแข็ง เสียงเกิดได้ไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตคิดถึงคำนั้น เสียงที่เป็นความหมายนั้นจะเกิดได้ไหม

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ แต่หลงคิดว่าเราพูด เราจำ เราชอบ เราไม่ชอบ ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เจ็บสักเท่าไหร่ หมดแล้ว จะให้เจ็บอย่างนั้นอีกก็ไม่ใช่เจ็บนั้นเเล้ว ไม่ใช่เจ็บเก่ากลับมา สุขสักเท่าไหร่ แม้คิดถึงก็ไม่เท่ากับขณะที่กำลังเป็นสุขนั้น ซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ใครจะไปดลบันดาล จะพยายามนึกสักเท่าไหร่ให้เหมือนก็ไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่าชีวิตก็เป็นอย่างนี้ คือ เกิดมาแล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง แล้วก็ไม่มีใครไปห้าม คิดต่อทันที เมื่อเห็นก็คิดแล้ว เมื่อได้ยินก็คิดแล้ว เมื่อได้กลิ่นก็คิดแล้ว เมื่อลิ้มรสก็คิดแล้ว คุณจักรกฤษณ์รับประทานอะไรตอนกลางวัน

    อ.จักรกฤษณ์ บะหมี่

    ท่านอาจารย์ คิดแล้ว ใช่ไหม จำรสได้ไหม

    อ. จักรกฤษณ์ จำได้

    ท่านอาจารย์ อร่อยไหม

    อ.จักรกฤษณ์ อร่อย

    ท่านอาจารย์ นึกออกไหม

    อ.จักรกฤษณ์ นึกออก

    ท่านอาจารย์ เหมือนกำลังรับประทานหรือเปล่า

    อ.จักรกฤษณ์ ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเหมือน เพราะฉะนั้น กำลังลิ้มจริงๆ คือ จิต ธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้รสแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย บะหมี่อยู่ไหน รสบะหมี่อยู่ไหน จิตที่ลิ้มรสอยู่ไหน ไม่มีอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

    ทุกอย่าง เกิดขึ้นเป็นไป เกิดแล้วต้องไปๆ ๆ ๆ ตลอด ไม่ย้อนกลับมาอีกเลย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่เป็นอย่างนี้แล้ว คิดถึงพรุ่งนี้ แต่กว่าจะถึงพรุ่งนี้ กี่ขณะจิต กี่วินาที

    เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อถึงพรุ่งนี้ ไม่มีวันนี้เหลือเลย ถึงปีหน้า ปีนี้ก็ไม่เหลือเลย ไม่มีอะไรเหลือสักอย่าง เพราะทุกอย่างเกิดดับไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นอนัตตา

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้ เวลาเจ็บเรารู้ไหมว่า ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เจ็บ ต้องมีกรรมที่ได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้มีสิ่งกระทบกาย ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว สิ่งที่ไม่น่าพอใจทั้งหมดที่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลที่ต้องเกิดจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    แม้ว่ากรรมนั้นจะผ่านไปแล้วนานเท่าไหร่ก็ตาม แรงของกรรมทำได้ เคยทำให้ใครตาบอด ชาติไหนก็ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชาตินี้เกิดอุบัติเหตุตาบอดได้ไหม ใครทำ กรรมชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ต้องมีเหตุที่ได้ทำไว้ กำลังได้ยินเสียง แล้วก็มีการไม่ได้ยิน หูดับ หูหนวก ไม่มีการได้ยินเสียงเลย ใครทำ

    ทุกอย่างมีเหตุมีผล ทุกอย่างที่เป็นผลเกิดจากเหตุ และเมื่อมีเหตุแล้ว ผลที่เกิดจากเหตุนั้นก็ต้องมี แต่ไม่รู้เลยตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วถูกบอกว่าให้ปล่อยเสีย วางเสีย แล้วเราจะเข้าใจอะไร

    เพราะฉะนั้น คำนั้นๆ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกันมาก เพราะเหตุว่าไม่ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำมีค่า เมื่อมีความเข้าใจแล้วไม่เปลี่ยน ยามทุกข์เราก็รู้ว่าไม่มีใครทำ แต่มีเหตุที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่มีการสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง การปล่อยวาง ก็มีโอกาสได้อ่านข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

    ขันธ์ พระองค์ตรัสว่าเป็นของที่หนัก ส่วนการยึดถือ ความติดข้อง ความยินดีพอใจในขันธ์ เป็นการถือเอา คือ ขันธ์ เป็นภาระ คือ ของหนัก การถือภาระ คือ ตัณหา ความติดข้องในขันธ์ แสดงว่า มีการที่ถือเอาด้วยความติดข้องยินดีพอใจอยู่ และที่กล่าวถึงการปล่อยวาง จะต้องรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่ถือ หรือเป็นของหนักคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ใครรู้จักขันธ์บ้าง คนที่เข้าใจแล้วก็เข้าใจได้ แต่คนที่ยังไม่รู้เลยว่า ขันธ์ คืออะไร บอกให้ปล่อยวางอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องให้เข้าใจทุกคำ พูดคำไหนต้องเข้าใจ

    ขันธ์ คืออะไร ยังไม่รู้ปล่อยวางไม่ได้แน่ และอะไรปล่อยวางก็ไม่รู้ ต้องรู้ทีละคำตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะพูดถึงการปล่อยวาง หรืออะไรก็ตามแต่ หรือแม้แต่คำว่าขันธ์ ต้องรู้ว่า ขันธ์ คืออะไร ถ้ายังไม่รู้แล้วบอกให้ปล่อยวางสักเท่าไหร่ แม้ว่าเป็นคำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องตามลำดับ ไม่ว่าจะฟังอะไรทั้งหมด ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แล้วบอกว่าฟังธรรม สนทนาธรรม ก็ไม่รู้ฟังอะไร แต่ว่าเมื่อฟังธรรมต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร จึงจะรู้ว่าเรากำลังฟังอะไร

    เรากำลังฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ใครไม่ให้เกิดได้ไหม เกิดแล้ว ใครไม่ให้ดับไปได้ไหม ดับแล้ว เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น ไม่มีเราเห็น ถ้าคิดไม่เกิดขึ้น ไม่มีเราคิด

    เพราะฉะนั้น ต้องให้เข้าใจตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะได้ยินคำว่า ขันธ์ หรือ ขันดะในภาษาบาลี ต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงแน่นอน เป็นคำแรกที่เราได้ยิน คือ ธรรม พระรัตนตรัย มี ๓ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ต้องเข้าใจทีละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นรัตนะอย่างไร และธรรม สิ่งที่มีจริง ธรรมไหนที่เป็นรัตนะ ธรรมที่ไม่ดี ความโกรธเป็นรัตนะไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นรัตนะก็มี เป็นรัตนะอย่างไร เพราะเหตุว่า เป็นรัตนะที่สามารถที่จะทำให้ไปสู่การที่จะดับทุกข์ โดยที่ต้องรู้ว่าทุกข์คืออะไร ทุกคำต้องเกี่ยวข้องกันหมดที่จะต้องเป็นความเข้าใจ ซึ่งถ้าใครก็ตามหยิบยกข้อความใดในพระไตรปิฎก แม้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จริง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจตามลำดับ จะเข้าใจผิด

    อ.วิขัย ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษามาบ้างก็รู้ว่าขันธ์ คือ สิ่งที่มีจริงที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่มีโอกาสได้ศึกษามา พระองค์ได้แสดงขันธ์ ไว้ ๕ ประการด้วยกัน คือ รูปขันธ์ ๑ เวทนาขันธ์ ๑ สัญญาขันธ์ ๑ สังขารขันธ์ ๑ และวิญญาณ ๑ นี่คือตามที่ได้ฟังมา แต่ว่าความที่จะเข้าใจในแต่ละหนึ่ง โดยความเป็นขันธ์ที่จะให้รู้ ให้เข้าใจตามความเป็นจริงที่จะละ ที่กล่าวว่าปล่อยวาง คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เรียกชื่อได้ครบเลย ขันธ์มีเท่าไหร่ จำนวนก็จำได้ครบ

    อ. จักรกฤษณ์ จำได้ ๕

    ท่านอาจารย์ แล้วยังพูดได้ทุกชื่อ แต่ละชื่อคืออะไร ถ้ายังไม่มีความเข้าใจจริงๆ พูดไม่ได้ เพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น เริ่มตั้งแต่ ธรรมหนึ่งต่างเป็นสอง นามธรรม กับ รูปธรรม เริ่มเข้าใจทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่เรียก สิ่งนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เรียกว่าแข็ง แข็งก็แข็ง จะใช้ภาษาอะไรก็ตามแต่ เป็นที่หมายรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น แข็งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากแข็ง เสียงมีจริงๆ ไม่เรียกเสียงก็ได้ เรียกอะไรก็ได้ แต่เสียงก็เป็นเสียง เปลี่ยนลักษณะของเสียงให้เป็นอื่นไม่ได้เลย นี่คือธรรมถึงที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้

    ด้วยเหตุนี้ ธรรมจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเป็นใหญ่ ปะระมะ บรม รวมกับคำว่า อัตถะ หมายความถึง ลักษณะของสิ่งที่มี เพราะสิ่งที่มีที่หลากหลายมาก เพราะลักษณะของสิ่งนั้นๆ ที่แสดงความต่างว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกัน จึงเป็นคำ ๓ คำรวมกันว่า ปะระมะ อัตถ ธรรม ที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่าปรมัตถธรรม หมายความว่า สิ่งที่มีซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อธิบายเพิ่มเติมให้รู้ว่าจริงๆ แล้วไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เป็นใหญ่จริงๆ เป็นปรมัตถธรรม

    เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมด ธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นปรมัตถธรรม คือ เข้าใจแม้แต่คำที่เราได้ยินว่าหมายความว่าอะไร แล้วทำไมธรรมเป็นปรมัตถธรรม ก็เพราะอย่างนี้เองจึงเป็นปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่าใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้ และ อภิธรรม ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ยังเป็นอภิธรรมด้วย

    ถ้ามีคนบอกว่าจะเรียนธรรม แต่เขาไม่เรียนพระอภิธรรม ถูกไหม เรียนอย่างไร เรียนธรรมเเล้วไม่เรียนอภิธรรม ก็ธรรมนั่นแหละเป็นอภิธรรม แล้วจะไม่เรียนอภิธรรมได้อย่างไร แต่เข้าใจหรือเปล่า เพราะไม่เข้าใจจึงกล่าวอย่างนี้ใช่ไหม บางคนถึงกับบอกว่า ตัดคัมภีร์อภิธรรมออกไปได้เลย มีแต่พระวินัยกับพระสูตร พูดได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม นำอะไรออกไปได้อย่างไร มีใครสามารถนำอะไรออกไปได้จากที่นี่ที่เกิดแล้ว

    การศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับ คนพูดมีความเข้าใจพอสมควรตามที่ได้ศึกษามา แต่คนฟังที่เริ่มฟัง คนพูดต้องเข้าใจว่าเราไม่ใช่พูดเพราะเราเข้าใจ แต่พูดเพราะคนที่ยังไม่เคยเข้าใจจะได้เข้าใจ ต้องคิดถึงประโยชน์ของคนที่ฟังว่า เพื่อเขาจะได้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจผิวเผิน แต่เข้าใจจริงๆ ธรรม คืออะไร สิ่งที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เพราะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นอภิธรรมเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    ดังนั้นไม่ว่าจะได้ยิน ๓ คำนี้ที่ไหนก็ไม่เปลี่ยน เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด แต่ว่าไม่เห็นละความเป็นเราเลย ใช่ไหม บอกว่าเป็นธรรม เกิดเอง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เเต่นั่งอยู่ที่นี่ก็ยังเป็นเราเห็น เป็นเราคิด เป็นเราชอบ เพราะความเข้าใจไม่มากพอที่จะรู้ความจริงว่า ความจริงต้องเป็นความจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดและดับไป ไม่มีอีกเลย เป็นเราได้อย่างไร หมดแล้ว ทุกอย่างเป็นอย่างนี้

    ด้วยเหตุนี้ จึงต้องกล่าวอีกคำหนึ่งว่า ขันธ (ขัน-ทะ) หรือ ขันดะ หมายความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดเเละดับไปเป็นขันธ์ทั้งหมด ออกเสียงตามภาษาไทยคือ ขันธ์ (ขัน) สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ นี่คือทดสอบความเข้าใจว่าที่ได้ฟังมามั่นคงแค่ไหน เป็นความเข้าใจที่ไม่เปลี่ยน ก็กำลังเห็น จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องเกิดด้วย ซึ่งเป็นความลึกซึ้งที่เราไม่รู้เลยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเกิด แต่โดยเหตุผลสิ่งนี้ต้องเกิด ไม่เกิดก็ไม่มี แล้วอยู่ไหน ก็อยู่ที่แข็งนี่เอง แข็งตรงไหน จับเเล้วแข็ง แต่ตามองเห็น

    เพราะฉะนั้น ไม่ได้เห็นแข็ง แต่เห็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งมีจริงที่อยู่กับแข็ง นี่คือภาษาไทย ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริง แล้วค่อยๆ รู้คำภาษาบาลี เพราะว่าเมื่อเข้าใจภาษาไทยเเล้ว เมื่อเห็นคำบาลีก็เข้าใจได้เลย ไม่ต้องไปพูดคำที่เขาไม่เข้าใจ คือ ถ้าเราเป็นคนไทยก็พูดภาษาไทย ถ้าเกิดที่แคว้นมคธก็พูดภาษามคธี ถ้าพูดภาษาอื่นก็ไม่รู้เรื่องกัน จึงมีข้อความว่า เข้าใจธรรมในภาษาของตน ของตน

    เมื่อเข้าใจแล้วเราก็รู้ว่าอีกภาษาหนึ่ง คือ ภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองนั้นคืออะไร สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม สิ่งนั้นเกิดขึ้นและดับไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นแต่ละขันธ์ เพราะเหตุว่า ธรรมเป็นแต่ละหนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ ธรรม ซึ่งไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม อีกคำหนึ่งก็คือ รูปธรรมนั้นเกิดดับ เพราะฉะนั้น รูปธรรมนั้นเป็นรูปขันธ์ เข้าใจแล้วใช่ไหม เอ่ยแต่ละชื่ออย่าเพิ่งไปรีบร้อนจำแล้วก็ลืม แล้วก็ไม่รู้ แต่ได้ยินคำไหนต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ไม่เปลี่ยน

    เพราะฉะนั้น ตอนนี้รู้จักรูปขันธ์เเล้ว ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ลองกระทบ ลองจับ แข็งไหม แข็งเกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นรูปขันธ์ เพราะว่าแข็งไม่รู้อะไร สภาพธรรมที่ไม่รู้ทั้งหมดเป็นรูปธรรม เสียงมีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้ว เป็นขันธ์ เสียงไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นรูปขันธ์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    4 มิ.ย. 2568