ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121


    ตอนที่ ๑๑๒๑

    สนทนาธรรม ที่ เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท

    วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ด้วยความห่วงใย ด้วยความเมตตา ด้วยความกรุณา ด้วยความหวังดี ไม่ใช่สัมผัปปลาปะ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีผู้ที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ตรัสถามถึงสุขทุกข์ของเขา มีความเป็นอยู่อย่างไร พอเป็นไปได้ไหม อย่างนี้ไม่ใช่สัมผัปปลาปะ ไม่ใช่ว่าเราจะใช้คำง่ายๆ สัมผัปปลาปะหมดเลย แต่ต้องรู้ว่าขณะนั้นจะไม่มีใครรู้เลย นอกจากตนเอง

    เพราะว่าพระธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อให้ทำ ไม่ใช่เพื่อให้อยากหมดกิเลส แต่ให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะละกิเลสใดๆ ได้เลยทั้งสิ้นถ้าเป็นเรา แต่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ ความรู้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริงที่ลึกซึ้ง เราจะพูดหรือว่าจะถามให้ตอบ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าพระธรรมทุกคำเพื่อเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ การสนทนาธรรมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้เราได้เข้าใจคำซึ่งเราอาจจะเผิน แต่ว่าตามความเป็นจริง คือเพื่อผู้ฟัง ใครก็ได้ วิทยากรก็ฟังเหมือนกัน ใครก็ตามที่ฟัง และพิจารณาไตร่ตรองก็จะได้ประโยชน์ว่าสิ่งใดถูก เป็นความเข้าใจของบุคคลนั้นเอง จึงจะเป็นประโยชน์ แต่ว่าถ้าฟังและความรู้ของวิทยากรมีมาก คนฟังได้ยินแต่คำซึ่งไม่เข้าใจ ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องชัดเจน แม้แต่คำว่า สัมผัปปลาปะวาจา คำพูดซึ่งไม่มีประโยชน์ ขณะนั้นก็ต้องรู้ว่าเกิดจากจิตอะไร

    ผู้ฟัง สมมติเราได้ข่าวมาเเล้วเราก็ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรเลย ส่งต่อทันที

    ท่านอาจารย์ เเล้วอย่างไรถึงจะค่อยๆ ลดบาปกรรมอย่างนั้นลงไปได้ ไม่ใช่ว่าเราไปเพียงมองเห็น แต่รู้ว่าโลกเป็นอย่างนี้ ความไม่รู้เป็นอย่างนี้ อกุศลทั้งหลายเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น หนทางที่จะละคลาย มีไหม ถ้ามี ก็คือว่า ชีวิตนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดคือ ได้มีโอกาสที่จะได้รู้หนทาง ที่จะทำให้ธาตุทั้งหลายที่สะสมมา ที่ปรุงแต่งให้แต่ละขณะเกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับไปอีกเลย ค่อยๆ เป็นไปในทางที่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ แทนที่เราจะไปกังวล

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจธรรมจริงๆ ที่เกิดจากการได้ฟังพระธรรม ก็จะรู้ว่าพระองค์แสดงธรรมที่เป็นฝ่ายดีงามก็มี ธรรมที่เป็นอกุศลธรรมก็มี ดังนั้นขณะที่มีการกล่าว หรือการที่ปรารถนาดีก็ต้องเป็นจิตที่ดีงามที่จะกล่าว

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น แต่ถ้าเราไปถามแล้วเขาตอบมา ก็จบ ก็ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่หวังดีเป็นกัลยาณมิตร ที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่ตอบเพียงให้เขาฟังว่าใช่ ไม่ใช่ ถูกหรือผิด เพราะเขาไม่ได้เข้าใจอะไร เขาเพียงแค่ฟัง แล้วเขาก็ถามอีก ถูกไหม ผิดไหม ใช่ไหม จริงไหม แต่ถ้าเป็นความเข้าใจของตนเอง ให้สิ่งที่ดีที่สุดในฐานะของความเป็นมิตร คือ ให้ความคิด ความเข้าใจของบุคคลนั้น จากการไตร่ตรองจากคำที่สนทนากัน อย่างนั้นก็จะเป็นประโยชน์มากกว่า

    ผู้ฟัง คุณพัฒน์นรี พูดถึงว่าสภาพธรรมปรากฏ ถ้าปรากฏ หมายถึงว่า จะต้องมีสภาพรู้สภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนั้นจึงปรากฏกับสภาพรู้ คือ จิต ขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้อนุเคราะห์ให้ความเข้าใจเรื่องคำว่า ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะเหตุว่า เหมือนปรากฏ อย่าลืมว่า ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เกิด ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลานี้เราคิดรวมหมดเลยทุกอย่าง เหมือนกับว่า ไม่ได้เกิดดับเลย แต่ถ้าแยกเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ แต่ละหนึ่ง ก่อนหนึ่งนั้นจะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ถูกไหม

    ผู้ฟัง ก่อนหนึ่งจะเกิดขึ้น ก็มีสิ่งที่เกิดก่อนหนึ่งอันนั้น

    ท่านอาจารย์ ยัง ยังไม่ไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย ไตร่ตรองทีละคำ ก่อนสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งนั้น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีสิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่เหนือกว่านั้นที่ใครไม่รู้ ก็คือว่า แม้นอนหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ขณะนั้นสภาพธรรมเกิดดับโดยไม่ปรากฏ

    ผู้ฟัง มีอารมณ์ของจิต ที่เป็นภวังค์ กำลังปรากฏกับจิตที่เป็นภวังค์

    ท่านอาจารย์ เราจะไม่พูดถึงชื่อต่างๆ ซึ่งคนที่ไม่เคยฟังเลยไม่สามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราพูดให้เข้าใจ ให้ไตร่ตรอง ถึงความลึกซึ้งของธรรมว่าที่เราคิด เราคิดเผินมาก คิดตามที่เราอยากจะคิด แต่ว่าตามความเป็นจริงไม่ตรง ไม่เป็นจริงอย่างที่คิดเลย เพราะนั่นคิดเอาเอง หรือว่า คิดเอง แต่ถ้าพิจารณาไตร่ตรองคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องต่างจากการที่บุคคลหนึ่ง บุคคลใดพยายามคิด เพราะว่าจะไม่เป็นความจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราคิดถึงขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏใช่ไหม เป็นใครอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติมีไหมขณะนั้น

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใช่ไหม มีเมื่อคิด ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องค่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า แม้ในขณะที่หลับสนิทไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ก็มีจิตธาตุรู้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความหลากหลายของธาตุรู้ นานาประการ ให้รู้ว่าแม้ขณะนั้นก็มีจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดจริงๆ ดับจริงๆ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพราะคำของพระองค์ทุกคำเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้น ขณะที่นอนหลับสนิท ก็มีธาตุรู้ สภาพรู้ เพราะว่าถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตจะไม่มีธาตุรู้ หรือ สภาพรู้ แต่เวลาที่มีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ สิ่งนั้นมีชีวิต แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ในขณะนั้นเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าเป็นธาตุรู้ แต่ไม่ได้ปรากฏเลยว่ารู้อะไร ถ้าคนนั้นตาบอดไม่มีทางที่จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้เลย นอนหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย แล้วถ้าคนนั้นตาบอด จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างคนตาดีที่กำลังเห็นสิ่งต่างๆ ถูกต้องไหม

    ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจธรรมว่า เป็นธรรมจริงๆ ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ยังไม่ต้องไปถึงไหน เพียงแต่ให้มีความเข้าใจที่มั่นคง เป็นอนัตตา จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ตามลำดับขั้น มากกว่านี้อีกมากนัก แต่ว่าต้องตั้งต้น จากความเข้าใจจริงๆ เพื่อที่จะขจัดละความไม่รู้ ซึ่งมีมากมาย แล้วก็ไปคิดเองบ้าง อะไรบ้าง ซึ่งไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น แม้ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถูกต้องใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่ได้เป็นธรรมเลย เป็นเรา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรม แค่นี้ นานไหมที่จะต้องค่อยๆ ฟังคำต้น คำแรก ที่จะก้าวไปสู่ความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม จนกระทั่งประจักษ์แจ้งว่า ทุกคำที่ตรัสเป็นความจริงว่าขณะนี้ธรรมเกิดดับ แต่ละหนึ่งๆ ด้วย ไม่ใช่ทีละหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วไปเกิดดับ แต่ต้องทีละหนึ่งเกิด ทีละหนึ่งดับ กำลังนอนหลับสนิทเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็น ขณะนั้นรู้ได้ไหม รู้อะไรได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่รู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ต่างกับขณะที่เห็น และถ้าไม่มีตา ไม่มีจักขุปสาท รูปที่ตัวจะมีรูปหนึ่ง เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนี้มีอะไรบ้างในห้องนี้ ที่รู้ว่าห้องนี้มีอะไร นั่นเป็นจิต และยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร คือต้องเห็นก่อน

    จิตเห็น เป็นประเภทหนึ่งดับ เร็วแสนเร็ว สืบต่อโดยที่ถ้าไม่กล่าวโดยนัยที่ละเอียดที่เป็นอภิธรรมคือ คิดถึงสิ่งที่ปรากฏ จึงจำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นี่คือการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วที่สุด สุดที่จะประมาณได้ซึ่งชาวโลกไม่รู้ และไม่สามารถที่จะละคลายความเป็นเรา จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ใช่มุ่งหน้าที่จะละกิเลส โดยไม่รู้อะไรเลย และไปทำสิ่งซึ่งไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    แต่ทุกคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงเฉพาะสิ่งหนึ่งที่กำลังเกิดดับ เมื่อนั้นก็จะรู้ว่าคำของพระองค์เป็นความจริง การฟังธรรมต้องแทงตลอดไปถึงจนกระทั่งขณะที่ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยก็ไม่มีโลก แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ใครจะไปบังคับไม่ให้มีธาตุทั้งหลายไม่ได้ ธาตุทั้งหลายแต่ละหนึ่งๆ ก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ปะปนกัน และก็อาศัยกันและกันเกิดขึ้นด้วย

    เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ แค่ได้ยินคำนี้ ยังไม่ได้ยินคำต่อไปเลย ธาตุรู้เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัย ให้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วแม้แต่แค่ธาตุรู้ ไม่ว่าธาตุรู้ประเภทไหนก็ตาม จะตื่นหรือจะหลับอย่างไรก็ตาม หรือจะเกิด หรือจะตาย ก็เป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย กว่าจะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา

    ผู้ฟัง ขณะที่หลับสนิท ธาตุรู้นั้น ก็ไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้นธาตุรู้ในขณะหลับสนิท ต้องรู้ธรรมอะไรอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ นี่คือ ให้รู้ว่า ธาตุรู้ คืออะไร ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ธาตุรู้ คืออะไร ไม่ใช่เจาะจงไปรู้ธาตุรู้นี้ ธาตุรู้นั้น แต่ให้เข้าใจความหมายของคำว่า ธาตุรู้ ธาตุรู้ยากที่จะเข้าใจ พูดกันทุกวัน แต่ตัวธาตุรู้ก็ไม่ได้ปรากฏในความเป็นธาตุรู้ จนกว่าความเข้าใจจะค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น

    ปริยัติ หมายความว่า รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง ขั้นฟังจำได้ จิตมีกี่ประเภท เจตสิกมีเท่าไหร่ รูปมีเท่าไหร่ นั่นคือขั้นฟัง แต่ว่าความเข้าใจอยู่ที่ไหน ที่เราสนทนากันก็เพื่อที่จะให้ถึงความเข้าใจในแต่ละคำจริงๆ แม้แต่คำว่า ธาตุรู้ เริ่มจากการที่หลับสนิท มีธาตุรู้ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แต่ว่า ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกใดๆ เลยทั้งสิ้น โลกไม่ปรากฏ ทั้งๆ ที่จิตมี เกิดดับ สืบต่อ เป็นธาตุรู้ แสดงให้เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย หลับสนิทก็มี แต่ไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้ประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ประเภทเห็น ไม่ใช่เป็นประเภทได้ยิน ไม่ใช่เป็นขณะที่คิด เพราะฉะนั้นธาตุรู้ คือ อย่างนั้นเอง ยังไม่ปรากฏใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่ปรากฏธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ แต่ให้รู้ว่า ธาตุรู้ต้องรู้ เวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เช่น เห็น มีสิ่งที่ถูกเห็น ไม่ใช่เห็นเปล่าๆ โดยไม่มีอะไรให้เห็น เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวคำว่าเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ธาตุรู้อยู่ไหนเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ธาตุรู้ยังไม่ปรากฏ แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏกับธาตุรู้ คือจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องมีธาตุรู้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต้องมีธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จักธาตุรู้ ยากไหม

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ อาศัยการฟังแล้ว ฟังอีก จนกว่าจะรู้ว่าธาตุรู้ไม่ใช่เรา ทุกอย่างไม่ใช่เรา แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น แต่มีจริงให้เห็น เมื่อเห็น ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในขณะนี้ได้เลยทั้งสิ้น ใครจะไปบันดาลให้ปรากฏก็ไม่ได้ แต่ทันทีที่เห็นเกิด สิ่งนี้ปรากฏว่ามีจริงๆ แต่เป็นอีกธาตุหนึ่ง แสดงความเป็นธรรมทั้งหมดเลย ทุกคำเป็นธรรม เป็นอีกธาตุหนึ่ง ซึ่งกระทบตา ต้องมีตา ซึ่งเป็นอีกธาตุหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ก็เป็นอีกธาตุหนึ่ง แต่ละหนึ่งธรรมที่มีจริงๆ เป็นแต่ละธาตุ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่จะละคลายความเป็นเรา ไม่ใช่ไปคิดเอาเอง ไปนั่งทำอะไร แต่อาศัยการฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้น ยังคงเป็นสภาพธรรมที่ปิดสนิท แต่ว่ามีการได้ยินได้ฟัง

    เริ่มมีแสง แต่ยังไม่ได้ส่องไปถึงสิ่งที่มีจริง เพราะว่าเป็นเพียงขั้นฟังให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริง คืออะไร อยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีหรือไม่ ไม่ใช่ไปหาที่อื่น ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไรให้เกิดขึ้นแต่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ดังนั้นการฟังธรรม จึงต้องละเอียดแล้วก็ลึกซึ้ง เพื่อค่อยๆ เข้าใจความไม่ใช่เรา จนกว่าจะไม่ใช่เรา

    อ.วิชัย ที่กล่าวถึงว่า ธาตุรู้เป็นสภาพที่มืดคือ ต่างกับสิ่งที่ปรากฏคือความสว่าง

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ธาตุรู้ ไม่ใช่เสียง ธาตุรู้ไม่ใช่กลิ่น

    อ.วิชัย ก็ไม่ใช่กลิ่น

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะใดที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ปรากฏกับธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ สิ่งนั้นปรากฏไม่ได้เลย

    อ.วิขัย ธาตุรู้ปรากฏ โดยความเป็นธาตุรู้ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะเริ่มเข้าใจ ที่เข้าใจคือต้องเริ่มเข้าใจ จนกระทั่งขณะนั้นปัญญาถึงระดับที่ประจักษ์ลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะธาตุรู้ไม่ใช่แสงสว่าง ธาตุรู้ไม่ใช่กลิ่น ธาตุรู้ไม่ใช่รส แต่เป็นสภาพที่รู้

    อ.วิขัย ตามปกติขณะนี้เลย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.วิขัย เพราะว่าธาตุรู้ก็กำลังเกิด ตามเหตุตามปัจจัยโดยปกติ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีธาตุรู้เลย ก็คือ?

    อ.วิชัย สิ่งต่างๆ ก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ จากโลกนี้ไปแล้วก็ได้ หรือว่าเป็นอีกจิตหนึ่ง ที่เป็นขณะที่หลับสนิท

    อ.วิขัย ดังนั้นความมั่นคงที่จะรู้โดยความเป็นธรรมว่า เป็นแต่ละหนึ่งๆ หมายความว่า ปัญญาที่ค่อยๆ ฟัง จนไตร่ตรองเป็นความเข้าใจมั่นคงขึ้นในแต่ละอย่าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ฟังเผิน เพราะส่วนใหญ่เผินมากเลย ฟังแล้วเหมือนรู้หมดเลย แต่ไม่รู้เลยว่านั่นฟัง แล้วใครฟัง เราฟัง ธาตุรู้เป็นเราหมดเลย เราเห็น เราได้ยิน เราคิด เราจำ เราสุข เราทุกข์ แต่ความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แล้วมีโอกาสจะได้ฟังไหม ถ้าไม่ได้สะสมบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ไม่มีโอกาสที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่กราบไหว้ แต่ไม่รู้คุณ ความลึกซึ้งของแต่ละคำ แม้แต่คำว่าธรรม หลากหลายมากแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะเมื่อไหร่จะละคลายความเป็นเรา ต้องไม่ใช่ระดับขั้นฟัง ต้องถึงอีกระดับหนึ่ง ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะตรงลักษณะที่มีเดี๋ยวนั้น เพราะว่าขณะนั้นเกิดดับ ยังไม่ประจักษ์แจ้ง จนกว่าจะถึงอีกระดับหนึ่ง ขั้นปฏิเวธ

    ประมาทไม่ได้เลย เรื่องปัญญา ไม่คิดว่าง่ายๆ แค่ฟัง ทำแล้ว นั่นคือผิดเลย เพราะฉะนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม แม้แต่คำว่า ธาตุรู้ ชินหูมากเลย แต่ไม่ได้รู้จัก เพราะยังไม่ประจักษ์ในสภาพที่เป็นธาตุรู้

    ผู้ฟัง ปัญญาจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ กับ สภาพรู้ในสิ่งที่ปรากฏ ก็คนละขณะ

    ท่านอาจารย์ การเกิดดับของสภาพธรรมรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงมีคำว่า นิมิต (นิ-มิด-ตะ) ปรากฏ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับสืบต่อ แต่ว่าแม้อย่างนั้น ปัญญาก็จะต้องเข้าใจตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง อย่างเช่น ตา สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา พร้อมกับสภาพรู้ เพราะว่าถ้าไม่มีสภาพรู้ สิ่งที่ปรากฏก็ไม่สามารถจะปรากฏทางตาได้

    ท่านอาจารย์ ที่กล่าวถึงว่า ต้องมีตาที่เกิดและยังไม่ดับ และสิ่งที่กระทบตาก็ต้องเกิดและยังไม่ดับ และจิตที่เกิดขึ้นรู้ ขณะนั้นก็รู้สิ่งที่ยังไม่ดับ ใช้คำว่า อายตนะ ที่ประชุม

    เวลาที่เราได้ยินคำไหน แล้วรู้สึกว่าไปเป็นเรื่องที่เราเรียนเป็นหมวดหมู่ แต่หารู้ไม่ว่า แท้ที่จริงคำนั้นก็แสดงความจริงเดี๋ยวนี้ ว่าขาดไม่ได้เลย แต่ว่าสภาพธรรม คือ ธาตุรู้ เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ รู้ทีละหนึ่งอย่าง จะรู้สองอย่างไม่ได้ แล้วแต่ประเภทของธรรมนั้นๆ

    ด้วยเหตุนี้ ขณะที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏกับจิตเห็น แต่ว่าไม่ได้ปรากฏกับปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาจะรู้สภาพรู้ ต้องไม่มีสิ่งอื่นเลยนอกจากธาตุรู้ กับ ปัญญาที่กำลังเข้าใจ รู้ในสภาพนั้น

    ผู้ฟัง เพราะขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องมีธาตุรู้เเน่นอน ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏไม่ได้ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ปรากฏกับธาตุรู้ซึ่งรวมกัน เพราะฉะนั้นการที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจว่าที่เป็นธาตุรู้จริงๆ ที่ไม่มีรูปอย่างอื่นปะปน เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ใครรู้บ้าง จิต เจตสิก รูปกำลังเกิดดับไม่มีใครเลย ทั้งๆ ที่เราก็บอกว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม คือ จิต เจตสิก รูป แต่นั่งอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าจิต เจตสิก รูปเท่านั้น ที่เกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นคน ปรากฏเป็นเสียง ปรากฏเป็นคำภาษาต่างๆ ปรากฏเป็นเรื่องราวต่างๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งหมดนี้ คือ จิต เจตสิก และรูป

    ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมที่จะปรากฏกับปัญญา ต้องปรากฏทีละหนึ่ง แล้วแต่ว่าขณะนั้นปัญญารู้ในความเป็นธรรมอะไร เช่น ขณะนี้ทางตา ถ้าจะรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เสียงเป็นภาษาอะไร

    ผู้ฟัง ไม่มี ก็เป็นเสียง

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นภาษาอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่กระทบหู แล้วคิด แต่ละคน ถ้าคนที่จำเสียงนั้นได้ภาษานั้น ก็คิด แต่ถ้าคนที่ไม่ได้จำ ไม่ได้รู้ภาษานั้น ก็ไม่ได้คิดอย่างคนที่รู้ภาษานั้น เพราะฉะนั้น เสียงเป็นเสียง เสียงเป็นภาษาไม่ได้เลย แต่ความคิด ความจำจากเสียงทำให้เป็นภาษาต่างๆ แสดงให้เห็นว่า เราอยู่ในโลกของความไม่รู้มากมาย กว่าจะเพียงหนึ่งปรากฏ โดยที่อย่างอื่นไม่ปรากฏเลย เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมที่ปรากฏมากมาย เพราะเหตุว่า เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ทั้งๆ ที่เร็วสุดที่จะประมาณได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหนทางว่ารู้ได้ แต่ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ พิจารณา แล้วก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง การที่ค่อยๆ เข้าใจว่า ธรรมทุกอย่างเกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เรา ที่เราคิดแบบนี้บางครั้งเหมือนกับว่า เป็นตัวตนของเราที่ไปคิดพิจารณา ขณะที่สภาพธรรมปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าเผินมาก เหมือนเรารู้เลย พูดไปตามอย่างที่เราคิดว่าเรารู้ แต่ไม่ได้รู้อะไร ถ้าพระสัมมาสัมพุทธจ้าไม่ทรงแสดง จะละคลายความเป็นเราไหม ได้แต่ชื่อ เเต่ต้องรู้ทุกคำ ละเอียดขึ้น เพื่อที่จะถึงภาวะความเป็นสภาพธรรมนั้น ซึ่งไม่ใช่เรา โดยที่เลือกไม่ได้เลยว่าจะรู้สภาวธรรมไหน

    ทั้งหมดเป็นเรื่องของการละคลาย โดยการไตร่ตรองทุกคำละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้น ขั้นการฟังก็ต้องละเอียดด้วย เพราะบางคนก็พูดถึงขันธ์ ๕ เหมือนเข้าใจเลย แต่ว่าแต่ละหนึ่งขันธ์ คืออะไร ถ้าเราสามารถที่จะมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั่นเองที่กำลังขัดเกลา ค่อยๆ ปรุงแต่งให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    20 พ.ค. 2568