ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
ตอนที่ ๑๑๓๔
สนทนาธรรม ที่ แพริมน้ำธาราบุรี จ.กาญจนบุรี
วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ต้องตั้งต้นว่า คืออะไร แล้วเราถึงจะสามารถกล่าวถึงสิ่งนั้นต่อๆ ไปให้ละเอียดขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร ทั้งหมดเป็นโมฆะ พูดไปทั้งวันก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ก่อนอื่นต้อง คืออะไร ให้ชัดเจน
ผู้ฟัง ถ้าตอบแบบไม่ได้เรียนก็คือ คนเกิด สัตว์เกิด
ท่านอาจารย์ ใครๆ ก็รู้ใช่ไหม คนเกิด สัตว์เกิด มีใครบ้างไม่รู้
ผู้ฟัง ไม่มีใครไม่รู้ แต่ถ้าเรียนแล้วก็ทราบว่าไม่มีคน ไม่มีสัตว์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำตอบนี้ก็ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรยิ่งขึ้น เพราะว่าคนเกิด สัตว์เกิดก็เป็นธรรมดา มีใครบ้างไม่รู้ แต่ที่คนไม่รู้คืออะไร ไม่รู้ว่าอะไรเกิด ที่ว่าเป็นคนเกิดคืออะไร สัตว์เกิดคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีคำตอบว่าอะไร
การฟังธรรมต้องตามลำดับ ข้ามสักคำก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เกิด แต่ไม่รู้ว่าอะไร แต่ลองคิดดู แข็งมีจริงๆ ไหม เกิดหรือเปล่า แน่ใจไหม แข็งเกิดหรือเปล่า คือไม่ใช่ปัญญาของคนอื่นมาบอกเรา ต้องเป็นการไตร่ตรอง และเป็นการคิด นั่นเป็นจุดเริ่มของการที่จะเข้าใจความจริงว่า ไตร่ตรองแล้วความจริงเป็นอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้เลย เปลี่ยนความจริงได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มีแข็งไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แข็งเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิดแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรที่ว่าแข็งเกิด
ผู้ฟัง เพราะกระทบ
ท่านอาจารย์ เพราะกระทบสัมผัส ถ้าแข็งไม่เกิด จะมีแข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นที่กระทบสัมผัสแข็ง หมายความว่าแข็งเกิด แล้วสภาพที่รู้แข็งมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ รู้ กับ แข็ง ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่เกิดก็คือว่า แข็งก็เกิด สภาพรู้ก็เกิด ขณะที่กำลังรู้แข็ง เป็นเราหรือเปล่าที่รู้
ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ ไม่เป็น เป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นธรรม ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ธรรม หมายถึงทุกอย่างที่มีจริง ไม่เว้น อย่างไรๆ ก็ไม่เว้น จะอยู่บนฟ้า อยู่ใต้น้ำ อยู่บนดิน สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริง แล้วจะกล่าวว่าไม่ใช่ธรรมได้อย่างไร แต่ว่ามีลักษณะที่ต่างกัน เช่น แข็ง กับกำลังรู้ลักษณะที่แข็ง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ต่างกันไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น สวรรค์ พรหม นรก ที่ไหนก็ตามแต่ สภาพไม่รู้ที่เกิดขึ้นเป็นแข็ง ก็เป็นแข็งแค่นั้น แล้วเสียงรู้อะไรไหม
ผู้ฟัง เสียง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ แล้วกลิ่น
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้ เราใช้คำว่ารูปธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในภาษาบาลี รูปะกับธรรมะ เป็นรูปธรรม เมื่อใครพูดถึงรูปธรรม เรารู้เลยหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้
สภาพรู้ก็มี ถ้าไม่มีสภาพรู้ แข็งจะปรากฏได้อย่างไร เสียงจะปรากฏได้อย่างไร กลิ่นจะปรากฏได้อย่างไร ปรากฏต่อเมื่อมีธาตุที่รู้สิ่งนั้นเกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นจึงปรากฏว่ามี หลับตาคนอยู่ไหน ไม่มีเลยใช่ไหม แต่ลืมตามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ความจริงคือมีสิ่งที่ปรากฏ แล้วเห็นดับไปเลย เพราะเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น แต่ว่าธาตุรู้ก็มีต่อไป เกิดดับสืบต่อ ทำให้จำได้รู้ว่าสิ่งนั้นรูปร่างสัณฐานอย่างนั้นชื่ออะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน ด้วยเหตุนี้ธรรมที่มีก็หลากหลาย แต่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท สภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง
ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏ มีแข็ง
ท่านอาจารย์ มีแข็ง
ผู้ฟัง มีเสียง
ท่านอาจารย์ เสียง
ผู้ฟัง มีกลิ่น
ท่านอาจารย์ มีอะไรอีก
ผู้ฟัง เย็นร้อน รส
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ทั้งวันตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งที่ปรากฏก็แค่นี้เอง คือมีสิ่งที่กระทบตาปรากฏให้เห็นดับไปแล้ว มีเสียงกระทบหูปรากฏให้ได้ยินดับไปแล้ว มีกลิ่นกระทบจมูกดับไปแล้ว มีรสกระทบลิ้น รู้รสแล้วก็ดับไปแล้ว เย็นร้อนอ่อนแข็งตรงนี้ รู้ตรงไหนตรงนั้นเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเราแต่มีธาตุหรือธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ภาษาบาลีจะใช้คำว่าจิตตะหรือ จิตตัง วิญญาณ ก็ได้ โดยคำที่เรียกธาตุรู้มีหลายคำ คำว่าจิต เราพูดบ่อยๆ ในภาษาไทย ดอกไม้มีจิตไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม ถูกต้องไหม นกมีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มี เป็นนามธรรม สภาพรู้ทั้งหมดใช้คำว่านามธรรม นามกับธรรม เพราะฉะนั้นธรรมต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือรูปธรรม แข็งกี่ล้านปีมาแล้วก็ไม่รู้อะไรก็เป็นแข็ง เสียงก็เป็นเสียง เปลี่ยนไม่ได้เลย ลักษณะของสภาพธรรมเป็นอย่างไร ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น ต้องเป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นสภาพรู้เป็นจิต เกิดขึ้นไม่รู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ขณะแรกที่เกิดเลย มีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต ไม่ชื่อว่าคนเกิดใช่ไหม แต่เพราะมีจิต สภาพรู้ นามธรรมกับรูปเกิด ขณะนั้นก็บอกว่าคนเกิด สัตว์เกิด นกเกิด แมวเกิด แต่รูปเล็กมากขณะแรกที่เกิดยังไม่เป็นช้างเลย ยังไม่เป็นมดเลย แต่ต่อไปทำไมเป็นมดบ้าง เป็นช้างบ้าง ตอนเกิดไม่เห็นปรากฏเลย กรรมที่ได้ทำไว้ คนไทยได้ยินคำว่ากรรมบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่ากรรมอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร
เพราะฉะนั้น การเกิดไม่ใช่กรรม แต่เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ด้วยเหตุนี้เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเป็นนก เลือกเป็นคนไม่ได้เลย เป็นอะไรก็คือว่ามีกรรมที่ทำให้เป็นอย่างนั้น จะเกิดที่ไหน อย่างไร ประเทศไหน สวรรค์นรกอย่างไรก็เเล้วแต่กรรม แสดงให้เห็นว่าเราไม่เคยรู้เลยว่า ที่เราคิดกระทำดีชั่วทุกวันเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล ซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าจะให้ผลเกิดเมื่อไหร่ และเป็นอะไร หนอนตายแล้วเกิดเป็นคนได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าหนอนมาจากไหน จิตของเขาสะสมบุญกรรมอะไรไว้มากแค่ไหน เมื่อสิ้นสุดกรรมที่ทำให้เป็นหนอน กรรมอื่นก็ทำให้เกิดต่อไป หลังจากที่ตายแล้วเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมหนึ่งจะให้ผล เราจากโลกนี้ไปแล้ว เราจะเป็นปลาได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ก็ได้ใช่ไหม เป็นเทวดาได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ก็ได้ แล้วแต่กรรมซึ่งเป็นธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะฉะนั้นธรรมก็มีทั้งที่เป็นเหตุ และที่เป็นผล แต่ต้องแยกนามธรรมกับรูปธรรมก่อน มีเราไหม
ผู้ฟัง ถ้าเรียนแล้วก็ไม่มีแล้ว
ท่านอาจารย์ ไม่มี ถ้าตอบอย่างนี้แล้วหมายความว่า ต้องมั่นคงจนถึงที่สุด แต่ว่าเพราะปัญญาน้อยมากก็แค่ฟังก่อน แต่ทั้งๆ ที่ฟังยังไม่รู้เลยว่าแต่ละหนึ่งๆ เกิดดับ แล้วจะหมดความเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นเราไปเรื่อยๆ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น กว่าสภาพธรรมจะปรากฏจริงๆ ว่าเป็นลักษณะนั้น อย่างแข็งไม่ปะปนกับเสียง ไม่ปะปนกับอะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแค่แข็งเกิดแล้วดับ จะเป็นเราได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏชัดเจนขึ้น ยืนยันความถูกต้องว่าไม่มีเรา ก็เพราะปัญญาสามารถที่จะเริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้น เพราะเดี๋ยวนี้แข็งก็ปรากฏแต่ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แข็งก็เป็นนิ้วเราหรือเปล่า มองไม่เห็นเลยก็ยังจำได้ ถ้ากระทบหัวเข่า เข่าเราหรือเปล่า ทั้งๆ ที่แข็ง เดี๋ยวแข็งเป็นเข่า เดี่ยวแข็งเป็นนิ้ว เดี๋ยวแข็งเป็นอะไร แต่ความจริงแข็งเป็นแข็ง แล้วแข็งก็เกิดดับด้วย
เพราะฉะนั้น กว่าจะหมดความเป็นเราที่มีความติดข้อง มีความไม่รู้ มีความต้องการมากมายมหาศาล จนกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะค่อยๆ น้อยลง จนกระทั่งรู้ความจริง รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำสอนของพระองค์เลย ไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจความจริงที่สามารถจะละความไม่รู้ได้ จนกระทั่งละความชั่วความไม่ดีทั้งหมด จากมากจนกระทั่งเล็กน้อย จนไม่เหลือเลยดับหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์จากการเป็นปุถุชน ซึ่งเเต่ละคำเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าอย่างอื่น แต่ไม่ใช่ฟังผ่านๆ ต้องคิดไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจ เริ่มจำ และฟังต่อไปที่จะให้เข้าใจยิ่งขึ้น ธรรมเดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร
ผู้ฟัง มีเห็น
ท่านอาจารย์ นามธรรมกับรูปธรรม ๒ อย่าง ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจคิดนึก เพราะว่าจะต้องมีการคิดถึงสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใด จึงเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่มีการคิดก็แค่เห็น จะเป็นอะไรได้ เสียงเป็นภาษาหรือเป็นเสียง
ผู้ฟัง เป็นเสียง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะเหตุว่าเสียงเดียวกัน ทุกคนได้ยินเหมือนกันหมด แต่ว่าใครจะรู้ความหมายของเสียงนั้นก็แล้วแต่การจำ เราใช้คำภาษาไทย คนชาติอื่นได้ยินเสียง แต่ไม่รู้ว่าแต่ละเสียงนั้นหมายความว่าอะไร ถ้าเขาพูดภาษาจีนก็เป็นเสียง เราก็ได้ยินเสียงนั้นไม่ใช่ไม่ได้ยิน แต่เราไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร จนกว่าจะจำคุ้นเคยแล้วก็เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละหนึ่งไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าในสมัยใดๆ ทั้งสิ้น ธรรมเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ใช้คำว่าอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร บังคับเห็นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับได้ยิน ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับคิด ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ บังคับโกรธ ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นามธรรมมี ๒ อย่าง
อ.ธิดารัตน์ ที่ใช้คำว่านามธรรม หมายถึงสภาพที่เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด นามธรรมที่เกิดขึ้นแยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ เป็นจิตหนึ่ง แล้วก็เป็นเจตสิก ทั้งจิตและเจตสิกต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ต้องอาศัยกันเเละกันเกิดขึ้นด้วย แล้วก็มีสภาพที่ไม่รู้อะไรอีก เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นไหม
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ ชอบไหม
ผู้ฟัง ชอบ
ท่านอาจารย์ ชอบอะไร
ผู้ฟัง ชอบสีสวยๆ
ท่านอาจารย์ ชอบสีสวยๆ ถ้าไม่เห็นจะชอบไหม แต่ชอบในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ชอบได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ชอบ มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ไม่ชอบ มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ มีจริง แต่สภาพรู้ ธาตุรู้ที่เป็นจิตไม่ใช่ชอบหรือไม่ชอบ แต่จิตที่กำลังเกิดขึ้นทางตา เห็นเท่านั้น เรียกว่าอย่างที่สามารถจะปรากฎได้ ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยนัยประการต่างๆ โดยนัยของพระสูตรไม่ได้กล่าวถึงแต่ละ ๑ ขณะจิต แต่ว่าพูดถึงสิ่งที่สามารถจะรู้ได้ เห็นแล้วชอบไหม แสดงให้เห็นความต่างของชอบกับเห็น ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น เห็น หมายความถึงเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ว่า มีอะไรกำลังปรากฏทางตา ลืมตาขึ้นมาก็มีสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือเห็นสิ่งนั้น แต่ว่าชอบหรือไม่ชอบแล้วแต่ บางทีก็ชอบ บางทีก็ไม่ชอบ ไม่แน่นอน แต่เห็นต้องแน่นอน ดังนั้นเห็นเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าเมื่อมีธาตุรู้แล้ว ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ มีธาตุรู้ โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือเริ่มเป็นคนที่มีเหตุผล เข้าใจไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินต้องมีเสียง เพราะได้ยินเสียง เสียงเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็ได้ยินเสียงนั้น เฉพาะเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอื่น เป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งว่า เสียงนั้นเป็นอย่างไร เสียงคนเหมือนกันไหม เสียงคนแต่ละคน แต่ละเสียง ใช่ไหม
ผู้ฟัง แต่ละเสียง
ท่านอาจารย์ จำได้เลย เพียงแค่โทรศัพท์ก็ยังรู้เลย ไม่ต้องเห็นหน้าก็ยังจำเสียงได้ เสียงดนตรีก็หลากหลายมาก เพราะเหตุว่าธาตุรู้ที่เป็นเฉพาะธาตุรู้ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังรู้ ภาษาบาลีจะมีอีกคำหนึ่งว่าอารัมมณะ คนไทยใช้คำว่าอารมณ์ เราใช้คำภาษาบาลีแต่เราไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง แต่ว่าเข้าใจโดยคิดเองสืบๆ กันมา เช่น ถามว่าวันนี้อารมณ์ดีไหม ดี เพราะว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ขุ่นข้องหมองใจ ใช่ไหม มีดอกไม้สวยๆ มีคำที่ทำให้เราได้เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นอารมณ์ดี แต่อารมณ์จริงๆ ในทางธรรม หมายเฉพาะสิ่งที่ถูกจิตรู้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ซึ่งหลากหลายมาก ถ้าไม่หลากหลายเราจะจำได้ไหมว่าใครเป็นใคร รสก็หลากหลายมาก เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งในแต่ละหนึ่งๆ ๆ หลากหลายเพราะสภาพนั้นไม่เหมือนกัน จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ เมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ต้องมีอารมณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ขณะนั้นจิตกำลังรู้ ไม่ใช่สิ่งอื่น ได้ยินเป็นจิต ขณะนั้นเสียงเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าอารมณ์ในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีจะออกเสียงว่าอารัมมณะ หรืออาลัมพนะ แต่หมายความถึงเฉพาะเสียงที่กำลังปรากฏกับจิตที่ได้ยิน ดับแล้วหมดเลยทั้งเสียงทั้งได้ยิน อนิจจัง ทุกขัง ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเลย ไม่เหลือ แค่มีให้รู้นิดเดียวแล้วก็หมดไป แต่เพราะความไม่รู้ก็ติดข้องมากจึงแสวงหา จนกระทั่งบางคนก็เป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะความติดข้อง เพราะไม่รู้ความจริงว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ สีดำกับสีน้ำตาล เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ถ้าจิตไม่เห็น จะรู้ไหมว่านั่นดำ นี่น้ำตาล ถ้าไม่รู้แจ้งในดำ ในน้ำตาลก็ไม่รู้ว่าต่างกัน แต่จิตรู้แจ้งในสภาพธรรมนั้น จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าเพชรแท้ หรือเพชรเทียม หรือหยก บางคนก็ด้วยการสัมผัส บางคนก็ด้วยการเห็น
เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏแล้วดับ ไม่ทำกิจอะไรเลย นอกจากเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตเกิดดับสืบต่อไม่หายไปเลยสักขณะเดียว เพราะเหตุว่าธาตุนี้เป็นธาตุที่ทันทีที่จิตดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจิตนั้นจะเกิดขึ้นโดยมีกรรมเป็นปัจจัย หรือว่าอะไรก็มากมายเลย สภาพธรรมที่จะเกิดแต่ละหนึ่ง ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดเพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา อย่าหลงเข้าใจผิดยึดถือสิ่งที่ไม่ใช่เราว่าเป็นเรา เพราะจะนำมาซึ่งกิเลสอีกมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นก็เข้าใจแต่ละคำ ศึกษาธรรมทีละคำ ต่อไปนี้ได้ยินคำว่าอารมณ์ก็รู้เลยว่า ภาษาบาลีออกเสียงว่าอารัมมณะ บางแห่งก็เป็นอาลัมพนะ หมายความเฉพาะสิ่งที่จิตกำลังรู้ เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ตอนหลับมีจิตหรือเปล่า
ผู้ฟัง จิตมี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีอารมณ์หรือเปล่า เพราะจิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ มีไหม
ผู้ฟัง ตอนหลับจิตรู้ด้วยหรือ
ท่านอาจารย์ นี่คือกว่าที่เราจะเข้าใจ เราต้องเป็นผู้ที่ตรง ธรรมเปลี่ยนไม่ได้ เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ตรัสไว้ว่าอย่างไร คำที่ตรัสมาจากการที่ตรัสรู้ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ความจริงเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เเน่นอนใช่ไหม กำลังหลับมีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มีอารมณ์ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเมื่อมีจิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ แต่อารมณ์นั้นไม่ปรากฏ เพราะไม่ใช่เห็นไม่ได้อาศัยตา ไม่ใช่ได้ยินไม่ได้อาศัยหู ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ่นรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่คิดนึก แต่ต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้จนกว่าจะถึงแก่กรรม หมายความว่าสิ้นสุดกรรมที่ทำให้เป็นคนนี้เมื่อไหร่ ก็ต้องมีกรรมที่ทำให้ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับลง กรรมที่จะทำให้เกิดสืบต่อก็ทำให้เกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมอะไร แต่ต้องมั่นคง จิตเป็นธาตุรู้ เกิดเมื่อไหร่ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้แต่ไม่ปรากฏ เพราะว่าไม่ใช่การรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นโลกมีหลายโลกไหม
ผู้ฟัง มีหลายโลก
ท่านอาจารย์ หลายโลก โลกทางตาก็เป็นอย่างนี้ เเต่คนตาบอดไม่มีโลกนี้เลย ไม่รู้จักโลกนี้ ไม่รู้ว่าสีเขียวเป็นอย่างไร แดงเป็นอย่างไร คนเป็นอย่างไร นกอินทรีเป็นอย่างไร นกกระจอกเป็นอย่างไร ไม่รู้เลย คนหูหนวกก็ไม่ได้ยินเสียงเลย คนละโลกแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ขณะเป็นโลก ๑ โลก เราเริ่มเข้าใจคำว่าโลก หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับทั้งหมดเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น กำลังหลับสนิทมีโลกไหม ต้องมี ธรรมไม่เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนเราหลงทันที ไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ถูกต้องแล้ว
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจสำคัญที่สุดที่ฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่รีบร้อนจะฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย แต่แต่ละคำให้มีความเข้าใจที่มั่นคง เดี๋ยวนี้มีโลกไหม โลกไหน โลกได้ยิน สำหรับคนที่เสียงปรากฏ โลกทางตา เห็นกำลังปรากฏ นี่คือธรรมทั้งหมดเลย ไม่มีเราเลยสักขณะเดียว เพราะว่าเกิดด้วยเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ใช่จิต เป็นนามธรรม เพราะชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องเป็นธาตุรู้สิ่งนั้นแล้วชอบ หรือไม่ชอบก็ต้องรู้สิ่งนั้นแล้วก็ไม่ชอบ
ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเป็นนามธรรม ถ้าใช้คำว่านามธรรมหมายความว่า ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ห่างกันไกลมาก ต่างกันโดยประการทั้งปวง รูปมองไม่เห็น แต่สามารถที่จะรู้ได้ขณะที่กำลังมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ แต่ตัวรูปไม่รู้อะไร เช่น แข็ง สามารถจะมีจิตที่กำลังรู้แข็ง แต่รู้แข็งไม่ใช่แข็ง เพราะฉะนั้นรู้แข็งเป็นจิต เป็นนามธรรม และรูปเป็นรูปธรรมเพราะไม่รู้ แต่จิตเกิดเองตามลำพังไม่ได้ เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เรา กว่าจะถึงเหตุทั้งหมดที่ทรงแสดงเพื่อเกื้อกูลให้เห็นว่าไม่ใช่เรา ในขั้นการฟังต้องรอบรู้ ไม่ใช่ว่าไปสำนักปฏิบัติไม่รู้อะไรเลย ไปทำอะไร
พุทธคือความรู้ ความเห็นถูกต้อง ปัญญา เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกจึงจะเป็นความรู้เป็นปัญญาได้ ด้วยเหตุนี้ต้องมีการฟังพระธรรม ถ้าฟังคนอื่นจะรู้อย่างนี้ไหม ด้วยเหตุนี้เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ทรงพระมหากรุณา ๒๕๐๐ กว่าปี คำนั้นยังสามารถที่จะทำให้คนในยุคนี้ที่สะสมมา มีโอกาสได้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่มีในชีวิตซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแสดงเหตุผลแล้ว เกิดเองไม่ได้แน่ อยู่ดีๆ จะเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างไร แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น
เพราะฉะนั้น เหตุปัจจัยละเอียดมากเลย ทุกอย่างที่เกิดมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ยังรู้ไม่ได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่าอะไร ต้องรู้ตามลำดับขั้นว่าเป็นอะไรก่อน แล้วถึงจะค่อยๆ รู้ปัจจัยขึ้น ด้วยเหตุนี้จิตเป็นนามธรรม บางครั้งมีรูปเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น บางครั้งมีนามธรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ดังนั้นก็ต้องรู้ว่า จิตเป็นธาตุรู้ แต่ต้องมีธาตุรู้ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
