ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
ตอนที่ ๑๑๑๖
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แล้วก็พูดว่าไม่มีตัวตนมีแต่สภาพธรรมคือจิต เจตสิก รูป แล้วจิตไหนกำลังเห็น กำลังคิด กำลังอะไรต่างๆ ไม่รู้เลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นก็ถูกปิดบังไว้กลายเป็นเรา และสิ่งต่างๆ จนกว่าจะได้มีความเข้าใจขึ้น โลกก็ปรากฏกับปัญญาตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะเกิดขึ้น และก็ดับไป ถ้าไม่เกิด จะมีโลกไหม
อ.ธิดารัตน์ ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี พระอรหันต์ไม่เกิด สิ้นสุดโลก
ผู้ฟัง ถ้าไม่มีสภาพธรรมเกิดขึ้น ก็ไม่มีนิมิต ก็เพราะมีสภาพธรรมที่เกิดดับถึงมีนิมิต เพราะมีนิมิตจึงมีอุปาทาน กราบท่านอาจารย์ในความเข้าใจธรรมด้วย
ท่านอาจารย์ ติดข้องในอะไร
ผู้ฟัง ติดข้องในสิ่งที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ และไม่รู้ว่าดับไป ถ้าประจักษ์การเกิดดับขณะนั้นก็จะเข้าใจได้ ว่านิมิตทั้งหลายที่ปรากฏเป็นสัตว์บุคคลต่างๆ ก็เพราะนิมิตของธรรม รูปนิมิต เช่น ดอกไม้ต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้ เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตให้ติดข้อง
ผู้ฟัง เมื่อมีความไม่เข้าใจไม่รู้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ก็ยึดถือสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งต่างๆ ที่เที่ยง
ท่านอาจารย์ ลองคิดดู ถ้ามีปัญญาละเอียดขึ้น อยู่ในโลกของนิมิตทั้งนั้นเลย และนิมิตก็คือกลลวง เพราะว่าความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความจริงไม่ใช่ดอกไม้ ความจริงเป็นธาตุ เย็นร้อน อ่อนแข็ง สีกลิ่น รส เท่าที่ปรากฏให้เห็นได้ ใช่ไหม แต่เกิดดับเป็นนิมิต จำไว้ด้วย สัญญานิมิตก็จำไว้หมด เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของความลวง อยู่ในโลกของนายมายากลคือ จิตที่เกิดขึ้น และเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ลวงให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นลองคิดถึงความจริงกับมายาหรือนิมิต เราอยู่ในโลกไหนมานาน ยังไม่หลุดพ้นจากโลกนั้น ใช่ไหม จนกว่าจะรู้ความจริงว่า นี่คือนิมิต สิ่งที่เกิดดับต่างหากทำให้ปรากฏเป็นคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้มากมายเพราะความไม่รู้ และสะสมความติดข้องมานานแสนนาน แล้วจะให้ละความติดข้องได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องเพราะความรู้ เป็นไปตามอริยสัจจธรรม๔
อ.อรรณพ ที่กล่าวว่า การรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงละความยินดียินร้ายในโลกอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ อยากรู้อะไร
อ.อรรณพ อยากรู้เห็น
ท่านอาจารย์ อยากรู้เห็น นั่นแหละ ยังไม่ได้ละอภิชชา และโทมนัสในเห็น
อ.อรรณพ มีโลภะที่อยากรู้เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติผิด เพราะเหตุว่าไปอยากรู้ลมหายใจ ไปอยากรู้สิ่งนั้น ไปอยากรู้สิ่งนี้ แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าสติสัมปชัญญะคือ ละอภิชชา และโทมนัส โดยไม่ใช่เราด้วย ปัญญาต่างหากที่ละ ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นผิด กำลังติดข้องที่อยากจะรู้
อ.อรรณพ ถ้าอยากจะรู้ ความอยากก็เป็นกิเลสอกุศลตัวสำคัญ โลภะ
ท่านอาจารย์ ไม่อยากรู้อะไร
อ.อรรณพ ไม่อยากรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ ความจริงของอะไร
อ.อรรณพ ของเห็น
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วทุกคนไม่อยากรู้โกรธ ว่าเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นก็หายโกรธเพราะรู้ว่าเป็นธรรม
อ.อรรณพ ก็พึงพอใจที่จะโกรธ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยากรู้สิ่งนี้ หรือว่าไม่อยากรู้สิ่งนี้ นั่นก็คือกิเลสทั้งสองอย่าง จึงละทั้งอภิชชา และโทมนัส ขณะที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏอยากรู้รูปนั่ง ไม่อยากรู้เห็น
อ.อรรณพ มีสิ่งที่กำลังปรากฏอยากรู้ลมหายใจ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ แล้วก็ไม่อยากรู้อย่างอื่น เพราะอยากรู้ลมหายใจจึงไม่อยากรู้สิ่งอื่นที่กำลังปรากฏ มุ่งจ้องที่จะรู้แต่สิ่งนั้น ไม่อยากรู้สิ่งที่มีที่ปรากฏ
อ.อรรณพ นั่นก็คือเต็มไปด้วยอภิชชาคือ ความเพ่งอยากรู้มากๆ ในสิ่งที่เห็น
ท่านอาจารย์ ความต้องการ โลภะ และความไม่ต้องการ โทสะ ซึ่งอะไรก็ละไม่ได้นอกจากปัญญา เพราะขณะนั้นแสดงว่าไม่รู้ จึงเข้าใจว่าเป็นเราเลือก และอยากที่จะเป็นอย่างนั้น และไม่เป็นอย่างนั้น
อ.อรรณพ ก็เป็นหนึ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ศึกษาตามพระธรรมวินัย เผลอไปคิดเองหรือว่า เผลอไปเชื่อตามคนที่เขาบอก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะละกิเลส รีบร้อนไปละกันได้อย่างไรด้วยความไม่รู้อะไรเลย ไปสำนักปฏิบัติ ๕ วัน ๑๐ วัน เดือนหนึ่ง ไม่รู้อะไรเลย ไม่คิดถึงความไม่รู้ที่หนายิ่งกว่าผืนปฐพีของสากลจักรวาล ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ใช่เราเป็นธรรม และอาศัยการฟังธรรม ขณะใดที่เข้าใจขณะนั้น ปัญญาบารมีพร้อมทั้งบารมีอื่นๆ ซึ่งถ้ามีขึ้นก็เท่ากับว่ามีบารมีพอที่จะเข้าใจธรรมตามลำดับ ตามกำลังของบารมีนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ว่าเป็นเราไปหมดที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าผิด แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง คำพูดที่ว่าเราสามารถดับเหตุปัจจัยได้ เป็นคำพูดที่ถูกต้องไหม
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่ใช่คำ แต่ต้องเป็นความเข้าใจ ประโยคนั้นใครพูดก็ได้ แต่ว่าความเข้าใจถูกคืออะไร
ผู้ฟัง ถ้าเราไม่มีแล้ว แต่เหตุปัจจัยก็มีอยู่ แต่เหตุปัจจัยก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปทำอะไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เราทำอะไรหรือเปล่า แล้วเราจะไปทำอะไรหรือเปล่า เราไม่ต้องไปทำอะไร เข้าใจแค่ไหน อยู่ที่เข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่ติดตามประโยคนั้นไปแล้วพูดตามแต่ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจทุกคำ
ผู้ฟัง ต้องระลึกให้ได้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ระลึก ระลึกเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉะนั้นความเป็นเราค่อยๆ ลดลงเมื่อรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่มีขณะนี้เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่มีใครไปทำ ไม่ใช่มีใครไปปล่อย แต่ว่ามีปัจจัยก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ที่ต้องใช้คำว่าเราเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงใคร ธาตุไหน ธรรมไหน เพราะมากมายไปหมด มีเราไหม
ผู้ฟัง ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แล้วมีอะไร
ผู้ฟัง สภาวะธรรมที่เกิด ทีละหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครไปทำ
ผู้ฟัง แล้วดับไป
ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ลืม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องมั่นคง จึงจะเป็นสัจญาณถ้าไม่มีสัจญาณ ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิปัตติเกิดได้ เพราะว่าการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ความเข้าใจต้องตามลำดับขั้น ถ้าขั้นฟังแล้วเข้าใจ แต่ยังไม่รู้ตรงลักษณะหนึ่งลักษณะใด แล้วก็เข้าใจตรงนั้น อย่างแข็ง พูดว่าแข็งมี ไม่รู้ตรงแข็งเลย แต่รู้แข็งมี และแข็งไม่ใช่สภาพรู้ นี่เป็นปริยัติ ถ้าปริยัติยังไม่รอบรู้มั่นคง ก็ไม่มีปฏิปัตติ ปฏิปัตติเกิดไม่ได้เลย เมื่อปฏิปัตติไม่มี เกิดไม่ได้ ก็ไม่ถึงความเป็นปฏิเวธ รู้แจ้งสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ตรงตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่ไปทำศีลไม่ใช่ไปทำสมาธิ ไม่ใช่เป็นทำปัญญา แต่รู้ว่าคืออะไรจึงไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้รู้หรือไม่รู้
ผู้ฟัง รู้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้แล้วหรือ
ผู้ฟัง รู้แล้วดับไป
ท่านอาจารย์ นี่เป็นการสับสนบางคนเข้าใจว่านี่แหละคือปริยัติ แค่นี้คิดว่าเป็นปริยัติรู้แล้ว ความจริงยังไม่รู้ แค่ฟัง ถ้ารู้ ต้องรู้ตรงลักษณะที่เป็นธรรม เวลานี้เห็นยังไม่ได้เป็นธรรมเลย ต่อให้บอกหลายครั้งว่าเห็นไม่ใช่เรา เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แต่ลักษณะที่เป็นธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏเลย เพียงแต่ฟังแล้วเริ่มรู้ว่ามีธาตุรู้ แต่ลักษณะที่เป็นธาตุรู้ไม่ปรากฏ มีแต่เราเห็น มีแต่เราได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ จนกว่าปัญญาตามลำดับจะค่อยๆ เกิดขึ้นจากปริยัติ ฟังแค่นี้ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิเวธ ยังแค่ฟัง คิดมีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง คิดมี
ท่านอาจารย์ กำลังคิดใช่ไหม
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้เห็นเเต่ไม่ได้คิด
ท่านอาจารย์ เห็นแล้วไม่คิดมีไหม นี่ดอกอะไร ดอกไม้ ใช่ไหม คิดใช่ไหม หรือเห็น ที่ว่าเป็นดอกไม้ คิดหรือเห็น
ผู้ฟัง ต้องคิดถึงจะทราบ
ท่านอาจารย์ ใช่แน่นอน เพราะฉะนั้นคิดตลอดเวลาใช่ไหม นอกจากขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบสัมผัส เพียงหนึ่งขณะ เวลานี้สภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ รู้ไม่ได้เลย แค่รู้ว่าคิดไม่ใช่เห็น แต่ก่อนนั้นมีจิตเกิดดับระหว่างคิด กับเห็น ก็ไม่รู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงแสดงความจริงอย่างนี้ จะละความเป็นเราได้ไหม คร่าวๆ เพียงแค่บอกว่าไม่เป็นเรา เพราะฉะนั้น ทรงแสดงธรรมละเอียดยิ่ง ให้ปัญญาค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่าสักอย่างหนึ่งก็เป็นเราไม่ได้ เพราะทรงแสดงความจริงของสภาพธรรม แต่ละหนึ่งโดยละเอียดจนรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมจึงเป็นเรา เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่ใช่ธรรมแต่ละหนึ่ง ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แสดงว่าไม่ได้เข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะธรรมหนึ่งจะเป็นสองไม่ได้ เสียงจะเป็นกลิ่นไม่ได้ เสียงจะเป็นรสไม่ได้ เสียงต้องเป็นเสียง รสต้องเป็นรส เห็นต้องเป็นเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น ก็ต้องไม่ใช่เห็น ก็ต้องเป็นสิ่งที่เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏทางตา ค่อยๆ เข้าใจ นี่คือเบื้องต้นของการที่จะสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม โดยปฏิเวธประจักษ์แจ้ง แต่ต้องมีปฏิปัตติ ซึ่งจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าที่คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ หมายความว่าอะไร เขาบอกว่าปฏิบัติ แต่เราไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร เขาบอกว่าปฏิบัติคือไปนั่ง นั่งปฏิบัติอะไร รู้อะไร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นปัญญาทั้งหมด ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ต้องคืออะไร ต้องรู้ก่อน ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร
ผู้ฟัง มีความเห็นว่าไม่มีเรา ถูกต้องไหม
ท่านอาจารย์ เห็นอย่างไรที่ว่าไม่เป็นเรา ไม่ใช่พูดเฉยๆ ว่าเห็นไม่เป็นเรา แต่เห็นไม่เป็นเราเพราะอะไร ทำไมว่าเห็นไม่เป็นเรา ต้องละเอียด ต้องลึกซึ้ง กว่าจะค่อยๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องว่าเป็นเราไม่ได้แน่นอนเพราะอย่างนี้ เพราะอย่างนี้ เห็นเป็นอะไรถึงไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง เห็นเป็นสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เกิดและดับไปจึงไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้งเลย เป็นขั้นไหน
ผู้ฟัง แค่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง อดทนไหม และไม่ใช่เราประจักษ์แจ้งด้วย ธรรมต่างหากที่ค่อยๆ เจริญขึ้น จึงรู้มากขึ้นเข้าใจมากขึ้นในความไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ด้วยต้องเป็นปกติ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ก็คือว่าไม่ใช่การรู้จริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ ก็ต้องรู้เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ดับไปแล้วรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ยังไม่เกิดรู้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมเข้าใจเมื่อไหร่
ผู้ฟัง ณ.ปัจจุบันขณะนี้
ท่านอาจารย์ เข้าใจเห็นหรือยัง
ผู้ฟัง ยังมีเราอยู่บ้าง
ท่านอาจารย์ ขั้นฟัง เพราะฉะนั้นขั้นฟัง ฟังจนกระทั่งรอบรู้ ไม่มีความสงสัยเลยว่าเดี๋ยวนี้เองธรรมกำลังมี ไม่ใช่ต้องไปหาที่ไหนเลย ถ้าเข้าใจธรรมก็มีธรรมที่กำลังปรากฏให้เข้าใจ แต่เข้าใจขณะนี้ขั้นฟังพูดเรื่องสิ่งที่มีให้เข้าใจขั้นฟังว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ลักษณะที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นดับไป ที่กำลังได้ยินได้ฟังคำของใคร
ผู้ฟัง เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมดเป็นความจริงแต่ละคำ ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย คำของคนอื่นบอกให้ไปปฏิบัติธรรมใช่ไหม คนอื่นบอก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ใครไปปฏิบัติธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็คือว่าไม่รู้ใช่ไหมว่าบอกหรือเปล่า แต่ลองคิดดู มีหรือที่จะให้ใครทำอะไรได้โดยไม่รู้ไม่เข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่าสัตว์โลกมีความไม่รู้มากมายมหาศาล มีความติดข้อง และมีกิเลสอื่นๆ อีกมากมายมหาศาล ด้วยการยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมดเลย เราโกรธ เราดี เราเก่ง เราเสียใจ ธรรมทั้งหมด แต่เป็นเราทั้งหมดเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งซึ่งต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นจะไปปฏิบัติที่ไหน นั่นหรือเป็นคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมมีเดี๋ยวนี้ เข้าใจธรรมแต่ละคำก็ต้องเดี๋ยวนี้ พูดถึงเห็น กำลังมีเห็น รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เรื่องเห็น จึงพูดถึงความจริงของเห็นให้รู้ว่าเห็นเป็นธรรมไม่ใช่เราอย่างไร มากมายโดยนัยของอายตนะ โดยนัยของปฏิจสมุทปาทหรืออะไรทั้งหมด ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีหลากหลายนัย เพื่อให้เห็นจริงๆ ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดและดับไป ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นขั้นฟังไม่ใช่ปฏิปัตติ ไม่ใช่ปฏิเวธ ถ้าไม่รู้อะไรเลยแล้วไปปฏิบัติธรรมผิดหรือถูก
ผู้ฟัง ผิด
ท่านอาจารย์ ผิด จะถูกได้ไหม ผิดคือผิด ผิดจะกลับเป็นถูกไม่ได้ ตอนแรกก็รู้แล้วว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมใครรู้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีทางรู้เลย เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นห้อง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมตั้งแต่เกิด จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นนั่นเป็นนี่เป็นโน่นทั้งหมด แท้จริงคืออะไร ไม่พ้นจากจิตธาตุรู้ และเจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน และรูปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้ายังคงเป็นเรา ก็ไม่รู้ว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ถ้ายังคงเป็นโต๊ะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นรูป ไม่ใช่สภาพรู้ แต่มีเกิดขึ้น และเป็นสภาพที่หลากหลายด้วย เมื่อพูดถึงคำว่าโต๊ะ คิดถึงอะไร
ผู้ฟัง คิดถึงรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมหรือว่าเป็นรูปวงกลม
ท่านอาจารย์ สี่เหลี่ยมวงกลมนั้นรู้อะไรหรือเปล่า ไม่รู้ไม่ใช่สภาพรู้ แต่สภาพที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ พูดแล้ว ไม่เป็นเรา เปลี่ยนได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพูดแล้วว่าไม่เป็นเรา เพราะเข้าใจ แต่ประจักษ์แจ้งในสภาพที่ไม่ใช่เราหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหมว่าต้องตรง ไม่งั้นไปหลงเข้าใจผิดว่าไปปฏิบัติธรรม รู้แจ้งธรรม ซึ่งความจริงไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย แล้วจะไปประจักษ์แจ้งอะไร และคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไปทำแล้วจะเข้าใจอะไร
ผู้ฟัง กล่าวว่าการเกิดปัญญาจากการฟังสุตมยปัญญา
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ตั้งชื่อว่า ปัญญาเกิดจากการฟังเป็นสุตมยปัญญา เข้าใจอะไรต่างหาก เดี๋ยวนี้มีสติไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง ขณะที่รู้
ท่านอาจารย์ รู้อะไรจึงชื่อว่ามีสติ
ผู้ฟัง คือรู้ตัว
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ไม่พอ นี่เป็นการคิดเองจากคำเพียงคำเดียวที่ได้ฟังว่า สติ และก็ไปคิดเอง แต่ความจริงคิดเองไม่ได้เลย ไม่ตรง สติเดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง ปัจจุบัน
ท่านอาจารย์ ปัจจุบันคืออะไรที่มีสติเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าสติไม่เกิด จะรู้ลักษณะของสติไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ต่อเมื่อสติเกิด ปัญญาจึงสามารถที่จะเข้าใจว่านั่น คือลักษณะของสภาพธรรม จะใช้คำว่าสติ หรือไม่ใช้คำว่าสติ ก็เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้คำว่าสติ ภาษาไทยเอาภาษาบาลีมาใช้ ภาษาจีนก็อีกคำหนึ่ง แต่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสภาพธรรมทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล แต่ต้องชัดเจนว่าเมื่อไหร่เป็นกุศล เมื่อไหร่เป็นอกุศลเมื่อไหร่มีสติ และสติระดับไหนนี่คือปัญญา ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช้ปัญญา คือความคิดของคนที่ได้ฟังผิวเผินแล้วก็คิดแต่งต่อเติม
ผู้ฟัง ถึงบอกว่าปัญญามีปัญญา ๓
ท่านอาจารย์ ปัญญาขั้นแรกคืออะไร ต้องมีขั้นต้นก่อนใช่ไหม ถึงจะมีขั้นต่อไปได้ เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นต้นขั้นแรกคืออะไร
ผู้ฟัง สุตตะ
ท่านอาจารย์ สุตตะคืออะไร
ผู้ฟัง ขั้นต้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสุตตมยญาณ หมายความว่าปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่ปัญญา แต่ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง คือฟังแล้วไตร่ตรองเข้าใจ และรู้ว่าเป็นความจริง อะไรจริงอะไรไม่จริง อะไรถูกอะไรผิดนั่นเป็นหน้าที่ของปัญญา แต่ถ้ายังไปหลงเข้าใจผิดคิดว่าถูกนั่นไม่ใช่ปัญญา
ผู้ฟัง ก็อย่างที่เราฟังอภิธรรม กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพพยากตาธัมมา เพราะฉะนั้นไม่ใช่กุศลธรรม อกุศลธรรมนั้นก็เป็นธรรม ก็ลึกซึ้งไปอีกระดับหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เดียวก่อน พูดคำว่ากุศล อกุศล และกุศล อกุศลนั้นคืออะไร เห็นไหมมีแต่ชื่อกับความเข้าใจผิวเผินจำมาเลยแล้วพูดตาม กับการที่ว่ากุศล อกุศลคืออะไร ไม่ใช่ว่าไม่รู้แล้วก็ใช้คำ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่ากุสลาธรรมา ชัดเจนคืออะไร กุศล
ผู้ฟัง สิ่งที่เป็นความดี
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เป็นเราหรือเปล่า เพราะถ้าใช้คำว่าธรรมจะเป็นเราได้ไหม นี่คือความมั่นคงตั้งแต่คำแรกที่จะนำไปสู่การรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นธรรม เพราะฉะนั้นกุสลาธรรมา ธรรมที่เป็นกุศล ไม่ได้บอกว่าเราเป็นกุศล แต่ธรรมที่เป็นกุศลมีไหม มีใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครพูดตามแต่ไม่รู้จัก แต่ให้เข้าใจธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม กุศลธรรมก็คือธรรมฝ่ายดีที่นำประโยชน์มาให้ คือเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่เข้าใจคำของพระองค์แต่ละคำ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจคำของพระองค์เมื่อไหร่เมื่อนั้นเห็นคุณทันที นี่คือผู้ที่ทรงตรัสรู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นทุกคำเกิดจากการตรัสรู้ ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ กล่าวถึงสิ่งที่มีตรงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นให้คนอื่นได้รู้ด้วย นี่คือพระมหากรุณา มิฉะนั้นเราจะไม่ได้ยินคำว่ากุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา แต่ไม่ใช่สำหรับพูดตาม เมื่อได้ยินคำว่ากุสลาธัมมาต้องรู้ว่าคืออะไร ธรรมคืออะไรก่อน ทุกคำถ้าไม่รู้แล้วจะไปปฏิบัติอะไร แล้วจะไปประจักษ์แจ้งอะไร มีแต่ความไม่รู้ ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น แม้แต่คำเดียว ก็เวันไม่ได้ ธรรมคืออะไร ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักธรรม เดี๋ยวนี้มีธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ฟังแล้วก็ฟังอีกจนกว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม
ธรรมคืออะไร ประโยชน์อยู่ตรงนี้ ตรงที่ไม่ใช่เขาว่า ไม่ใช่ได้ยินมา ไม่ใช่พูดตาม แต่เมื่อได้ยินแล้วคืออะไร เข้าใจชัดเจน เพราะต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน ไม่มีจริงแต่รู้ได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้สิ่งที่ไม่มีจริงอย่างนั้นหรือ ก่อนอื่น ทุกคำเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบเพราะรู้ว่าแต่ละคำลึกซึ้ง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย ซึ่งใครก็ไม่รู้มาก่อน ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเผินไม่ได้เลย เริ่มต้นตั้งแต่ธรรมคืออะไร พูดตามไม่มีประโยชน์เลย แต่ทุกคำเริ่มรู้สึกตัวว่าเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจก็คือยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นการจำได้ไม่ใช่ที่พึ่ง ที่พึ่งทุกชาติ ในชาตินี้ด้วย และในชาติต่อๆ ไปด้วย แต่ถ้ายังไม่เข้าใจธรรม ชาติหน้าก็ไม่มีที่พึ่ง ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ได้ยินและก็พูดตามเป็นที่พึ่ง แต่จะพึ่งจริงๆ ต่อเมื่อเข้าใจ โดยความเข้าใจธรรม ชาตินี้ ขณะนี้เป็นที่พึ่งสำหรับชาติต่อไปด้วยที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง และก็มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นที่พึ่งก็คือความเข้าใจธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
