ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
ตอนที่ ๑๑๑๑
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี
วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ หรือว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเป็นการประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง ซึ่งเป็นวิปัสสนา เพียงแค่ฟังก็ไม่รู้แล้วว่าวิปัสสนาคืออะไร และก็ยังมีสำนักปฏิบัติวิปัสสนาด้วย ก็ไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธจ้า ชาวพุทธต้องเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่มีปัญญา มีปัญญาของตนเองเป็นที่พึ่ง อาศัยปัญญาของคนอื่นได้ไหม ขอยืมมาหน่อยหนึ่ง ขอนิดหนึ่งได้ไหม ไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระปัญญาเท่าไหร่ ไปทูลขอพระองค์มาสักหน่อยได้ไหม ไม่มีทางเลย แต่คำของพระองค์จะทำให้เกิดการเข้าใจ ซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละคนที่ได้ฟัง นั่นคือคุณที่ไม่สามารถที่จะมีอะไรเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ เริ่มที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละคำ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ลุ่มลึกตามลำดับ ดังนั้นการฟังต้องเข้าใจไตร่ตรองทีละคำ จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง เดี๋ยวนี้ใครมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง
สี เป็นคนไม่ได้ เพียงปรากฏเมื่อกระทบตา สีสันวัณณะต่างๆ กระทบตาแล้วจิตเห็นเกิดขึ้น สีสันต่างๆ เหล่านี้จึงปรากฏได้ มิฉะนั้นแล้วอย่างไรๆ สีสันต่างๆ ขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้ เพียงแค่หลับตาก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นเห็น ไม่ใช่ คิด ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลงเข้าใจว่ามีทุกอย่างเป็นเรา แต่ความจริงทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งอย่างซึ่งไม่ใช่เรา นี่คือความเข้าใจธรรม ถ้ายังไม่มั่นคง วิปัสสนามาแต่ไหน? ปฏิบัติอะไร? ไม่มีทางที่จะให้เกิดปัญญาเลย เพราะเหตุว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องเริ่มจากการฟังซึ่งเป็นปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ฟังแล้วเเค่จำว่าทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จำไว้อย่างนั้นแล้วจะมีประโยชน์อะไร ก็แค่จำ แต่เดี๋ยวนี้เห็นเป็นธรรมไม่ใช่เรา ถูกหรือผิด
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เพราะว่าปัญญาแค่นี้ไม่มีทางเลย จากปริยัติมั่นคงว่าเดี๋ยวนี้เองสภาพธรรมที่มีต้องเกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นแล้วก็ดับไป เห็นเกิดและดับ ได้ยินไม่ใช่เห็น คนละขณะ
ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต หรือใช้คำว่าวิญญาณ มโน มนัส ก็ได้ พวกนี้เกิดขึ้นรู้ทีละหนึ่ง ธาตุรู้ หรือจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วรู้เพียงหนึ่ง เพราะจิตเป็นธาตุรู้เมื่อเกิดขึ้นหนึ่งก็รู้เพียงหนึ่งที่กำลังปรากฏ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เดี๋ยวนี้เห็นดอกไม้กี่ดอก คนกี่คน แค่ลืมตามีหมดเลย สภาพธรรมเกิดดับเร็วเท่าไหร่ สุดที่จะประมาณได้กว่าจะเป็นแต่ละหนึ่งดอก แล้วยังมีใบ มีก้าน มีเเจกัน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีแก้วน้ำ มีทุกสิ่งทุกอย่างหลากหลาย ให้รู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่เดี๋ยวนี้ที่มีความไม่รู้ เเต่ไม่รู้อย่างนี้ หลงเข้าใจผิดอย่างนี้มานานแล้ว
เพราะฉะนั้นกว่าจะมีผู้ที่เปิดเผยความจริงซึ่งถูกปิดบังไว้สนิทแน่นมาก ทับถมซ้อนทวีคูณขึ้นทุกชาติยากที่จะเปิดออกให้เห็นว่าความจริงไม่มีเราเลย แต่มีธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้น ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ธาตุรู้สิ่งที่ร่างปรากฏทางตา เห็น ธาตุรู้กลิ่น กลิ่นปรากฏเมื่อไหร่ ต้องมีธาตุรู้ที่กำลังรู้กลิ่นนั้น มิฉะนั้นกลิ่นนั้นก็ปรากฏไม่ได้ นี่คือธรรมซึ่งฟังเพื่อให้เบื่อหรือเปล่า อยากเบื่อไหม ถ้าอยากเบื่อก็เป็นอกุศล ถูกลวงรอบด้านเลย ไม่ให้รู้ความจริงเพราะแสนที่จะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องอาศัยการฟังและเข้าใจ
ใครจะเป็นสำนักไหนอย่างไรๆ ก็ตามแต่ ถ้าไม่กล่าวถึงธรรม แล้วก็เป็นสำนักปฏิบัติด้วยก็ต้องผิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจซึ่งเป็นปริยัติ รอบรู้จริงๆ มั่นคงจนกระทั่งเป็นสัจจญาณ ญาณ (ยาน-นะ) คือความรู้ สัจจะคือความจริงที่มั่นคง ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้อย่างมั่นคง ปฏิปัตติซึ่งเป็นสติสัมปชัญญะเป็นสติปัฏฐานที่เกิดขึ้นรู้เฉพาะตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ เหมือนแสงสว่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำที่ค่อยๆ นำทางมาสู่สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีสำนักปฏิบัติ แต่ว่ามีการฟังธรรมจนกระทั่งเข้าใจตามลำดับ เมื่อมีความเข้าใจตามลำดับเมื่อไหร่ สติสัมปชัญญะที่เกิดพร้อมปัญญาที่ได้เข้าใจแล้วอย่างมั่นคง ทำให้สามารถรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมด้วยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่มีตัวตนไปเจาะจง ไปนั่งเลือกลมหายใจหรืออะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเห็นความเป็นอนัตตาตั้งแต่ต้น ตลอดหนทางนี้ไปสู่ความไม่ใช่ตัวตน ไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา
ผู้ฟัง มีผู้ที่ฝากคำถามมาคือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความหมายของบุญ ว่าเป็นสิ่งที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก เป็นที่ซ่อนเร้น เป็นที่พำนัก เป็นที่พึ่งอาศัย เพราะสามารถให้คติที่สูงได้ ตรงนี้แค่คำว่าบุญในความคิดของผมเอง ผมก็ยังไม่รู้จักดีเลยว่าคืออะไร
อ.คำปั่น ความหมายของบุญ หมายถึงสภาพ ธรรมที่ดีงาม ที่ชำระจิตให้สะอาดปราศจากอกุศล ก็ต้องเป็นคุณความดีที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ข้อความที่คุณจรัญได้กล่าวถึงนี้จะมีปรากฏอย่างเช่น ในปฐมชนสูตร เป็นต้น จะมีคำอธิบายไว้ว่าความหมายของบุญ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่งอาศัยที่ทำให้ผู้นั้นไม่ตกไปในภูมิที่ต่ำ เพราะว่าบุญเป็นธรรมที่ดีงาม เป็นการสะสมเหตุที่ดี เมื่อผู้นั้นละจากโลกนั้นไป ความสำคัญของบุญจะอุปการะผู้นั้นไม่ให้ตกไปในภพภูมิที่ต่ำ เป็นที่พึ่งอาศัยในภายหน้านี้ก็แน่นอน เพราะว่าคุณความดีก็สะสมอยู่ในจิต ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเลยสำหรับบุญ เพราะว่าเป็นธรรมที่ดีงาม และถ้าเป็นบุญสูงสุดก็คือ สามารถที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ทำให้ผู้นั้นไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์ เป็นผู้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง
ท่านอาจารย์ ไม่ลืมว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าคำไหนต้องเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย มิฉะนั้นเราก็ฟังเรื่องของเราทำบุญ ก็ยังไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีใครเลย แต่มีธรรมจากการที่ทรงตรัสรู้ ทุกคำต้องเป็นไปตามที่ได้ทรงตรัสรู้เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจตามด้วย เพราะฉะนั้นบุญต้องมีแน่นอน เพราะว่าเราก็ใช้คำนี้ แต่ไม่ใช่เพียงแต่คำ แต่ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นบุญคือ สภาพธรรมที่ชำระจิต เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงเรื่องจิต จะใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ ธาตุรู้ก็ได้ เป็นใหญ่เป็นประธาน ขณะเห็นเป็นจิต ใช่ไหม เพราะจิตเป็นสภาพรู้มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ขณะที่ได้ยินเป็นจิต ใช่ไหม
ผู้ฟัง ได้ยินก็รู้
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นการรู้แจ้งเสียงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายที่เป็นธาตุรู้ที่จะเกิดได้ก็ต้องเข้าใจต่อไปอีกทีละเล็กทีละน้อยๆ ว่าสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิด เกิดเองไม่ได้ หลากหลายกันเพราะอะไร ตามปัจจัยที่ทำให้เกิดหลากหลาย แต่ละหนึ่งจึงไม่ซ้ำกันหรือเหมือนกันเลย
จิตจะเกิดเองไม่ได้ต้องมีสภาพนามธรรมคือธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นก็มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต เกิดพร้อมกับจิต ต้องรู้ด้วย เพราะเป็นสภาพรู้เหมือนจิตแต่ไม่ใช่จิต แล้วก็ดับพร้อมจิตด้วย ตอนนี้เราจะมีคำใหม่อีกคำหนึ่ง คือมีธาตุรู้คือจิต ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ในภาษาไทยใช้คำว่าอารมณ์ แต่ความหมายในภาษาบาลีที่ใช้คือ อารัมณะ หรืออาลัมพนะ มีจิตไม่มีอารมณ์ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ อารมณ์ปรากฏโดยไม่มีจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องคู่กัน เมื่อมีธาตุรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และธาตุรู้มี๒ อย่าง เป็นใหญ่เป็นประธานจริงๆ ในการรู้แจ้งนั่นคือจิต แต่สภาพธรรมที่รักบ้างชังบ้าง รู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ทั้งหมดในชีวิตประจำวัน นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก นอกนั้นเป็นเจตสิก คนนี้ขยัน จริงไหม ก็ขยัน จะบอกว่าไม่ขยันก็ไม่ได้ ใช่ไหม แต่เป็นคนนี้? หรือว่าเป็นธรรมที่ขยัน เริ่มแตกสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นหนึ่ง เป็นคนเป็นสัตว์รวมกันออกเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นขยันเป็นเจตสิก เกิดกับจิตขณะใด จิตนั้นก็มีวิริยะความพากเพียรเกิดขึ้น แต่อย่าคิดว่าปัญญาของเราแค่นี้จะไปรู้จริงและรู้ทั่ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพของจิต และเจตสิกอย่างละเอียดยิ่งทุกขณะ แม้เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ดังนั้นการที่จะละความไม่รู้ จึงไม่ใช่คิดเอง แต่อาศัยความเข้าใจการฟังเพื่อทำตามลำดับ ขณะนี้มีธรรมซึ่งเป็นจิต เป็นเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน เเละดับพร้อมกันด้วย เป็นอนัตตาทั้งหมด ต้องไม่ลืมเป็นอนัตตา ส่วนสิ่งที่มีจริงเกิดจริงแต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม ไม่รู้แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร เมื่อเกิดมาไม่รู้ก็ต้องไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เช่น แข็งจะรู้อะไร กลิ่นจะรู้อะไร เสียงจะรู้อะไร สภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายคือจิต เจตสิก รูป เป็นอนัตตา ใช่ไหม เริ่มรู้เเล้วว่าที่เคยเป็นเราก็คือต้องมีจิตพร้อมเจตสิก และรูป มดเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ มดมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แล้วธรรมอะไรที่เป็นมด
ผู้ฟัง คือบอกว่ามด ก็เป็นลักษณะที่ปรากฏให้รู้
ท่านอาจารย์ ที่ว่าเป็นมด เป็นอะไร เป็นธรรม บอกว่าเป็นธรรม อะไรๆ ก็ไม่พ้นจากธรรมเลย แต่ที่ว่าเป็นมด ธรรมอะไรเป็นมด
ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงมดต้องมีจิต เจตสิก
ท่านอาจารย์ ไม่มีมด
ผู้ฟัง ไม่มีมด
ท่านอาจารย์ ไม่มีมด ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้นจิต เจตสิกเป็นสภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรได้ ช้างเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรมคือจิต เจตสิก รูป ก็ไม่มีช้าง ซึ่งรูปต่างกัน แต่สภาพธรรมไม่ต่าง ช้างแข็งไหม มดแข็งไหม ยุงแข็งไหม จับต้องได้ไหม ก็เป็นรูปแต่ละรูป ในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ว่าชาติไหนภพไหนก็ตาม มีสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่ปรากฏเพียง๗ รูป รูปมีมากกว่านี้ แต่ที่ปรากฏก็คือทางตา ซึ่งกำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เห็น แต่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตา เห็นก็เป็นธรรมเป็นอนัตตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นธรรมเป็นอนัตตา เป็นเราเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง จริงๆ ไม่มีเราเห็น
ท่านอาจารย์ แต่กว่าจะรู้จริง คิดดู แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ทรงแสดงธรรมให้คนซึ่งสะสมความไม่รู้มาแสนนานเท่าไหร่ กว่าจะรู้ได้ก็ต้องฟังด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้น จิตเป็นจิต จิตเป็นเจตสิกได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เจตสิกเป็นรูปได้ไหม รูปเป็นจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกทั้งหมดมี๕๒ ประเภท แล้วแต่ว่าจิตนั้นมีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย สภาพที่เราบอกว่าดี เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็น จิต เจตสิก
ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นเจตสิก เพราะจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง รู้อย่างเดียว มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้จิตก็รู้ มีสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้จิตก็รู้ สภาพธรรมอื่นในชีวิตประจำวันที่จะรู้ได้คือ เมื่อไหร่ที่ไม่ใช่ เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่คิดนึกรู้เรื่องที่กำลังคิด ทั้งหมดเป็นเจตสิก โกรธมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะมีเราตรงไหน แต่เมื่อไม่รู้ทั้งจิต เจตสิก รูป เป็นเราหมดเลย เพราะฉะนั้นความจริงต้องเป็นความจริง ศึกษาธรรมทีละคำ และต้องเข้าใจความหมายด้วย แม้เพียงคำเดียวคือ บาป เจตสิกดีก็มี ไม่ดีก็มี ไม่ใช่ทั้งดีและไม่ดีก็มี สามารถที่จะเกิดได้ทั้งกับธรรมซึ่งเป็นเจตสิกที่ดี และธรรมซึ่งเป็นเจตสิกที่ไม่ดี และทั้งหมดต้องเกิดกับจิต แยกกระจายออกไปแล้วก็คือ ไม่มีเรา แต่เพราะความรวดเร็วซึ่งเกิดดับสืบต่อยากที่จะรู้ได้ก็เป็นเราไปทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้เห็นก็เป็นเราเห็น แต่ความจริงเห็นเป็นจิต มีเจตสิกเกิดกับจิตเห็น๗ ประเภท พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นคนอื่นจะรู้อย่างนี้ไหม และเจตสิก๗ ประเภทเป็นปัจจัยให้เกิดจิตเห็น โดยฐานะของปัจจัยต่างๆ กัน พระปัญญาคุณที่จะทำให้กว่าเราจะรู้ได้ว่าไม่มีเรา ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่ให้เบื่อ แต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เราจนกว่าจะถึงที่สุด คือประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังเกิดดับตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเจตสิกทั้งหมดมี๕๒ ซึ่งมีเจตสิกที่เกิดกับจิตได้ทุกประเภทไม่ดีไม่ชั่ว โดยเจตสิกที่ไม่ดีจะเกิดกับเจตสิกที่ดีร่วมกันไม่ได้เลย ปรองดองกันไม่ได้ จะเอาดีและชั่วมาปรองดองกันได้หรือ พยายามไปเพียรไปหาทางไป คนที่ไม่รู้ความจริงก็เสียเงินเสียทองมากมาย คิดว่าจะปรองดองกันได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเหตุว่า อกุศลต้องเกิดกับอกุศลเท่านั้น เกิดกับธรรมฝ่ายดีไม่ได้เลย และธรรมฝ่ายดีก็ต้องเกิดกับธรรมฝ่ายดีด้วยกัน จะไปเกิดกับธรรมฝ่ายไม่ดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม จิตที่มีธรรมที่ไม่ดีที่เราใช้คำว่าอกุศล ไม่ดีไม่งาม ให้ผลเป็นทุกข์ เกิดขึ้น ขณะนั้นจิตก็เป็นอกุศล แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ชอบดอกไม้ไหม
ผู้ฟัง ชอบ
ท่านอาจารย์ เป็นกุศลหรือ อกุศล
ผู้ฟัง เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เป็นอกุศล แต่ไม่เคยรู้ก็ชอบไปหมดเลย หารู้ไม่ว่าเพิ่มอกุศลทุกวัน ทั้งทางตาเห็น ทางหูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายกระทบสัมผัส ใจคิดนึก เต็มไปด้วยอกุศล นี่คือบาป เพราะฉะนั้นบุญตรงกันข้าม ชำระบาป ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากบาป ซึ่งเจตสิกฝ่ายดีเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้อกุศลเจตสิก คือสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดีลดน้อยลงไปได้ ไม่มีใครทำ แต่ว่าสภาพธรรมทั้งหมดต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย สัตว์โลกจะรู้ไหมว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล แต่ปัญญาเป็นสภาพที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญารู้ว่าสิ่งที่ไม่ดี ปัญญาจะเลือกทำสิ่งที่ไม่ดีหรือ? เพราะฉะนั้นทั้งหมดดีขึ้น ถูกต้องขึ้น ชำระจิตให้บริสุทธิ์ขึ้น ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความหมายของบุญว่า
ท่านอาจารย์ ใครกล่าว? พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าว กำลังฟังคำของใคร ต้องฟังด้วยความเคารพที่จะเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่คิดเอง เชิญอ่านต่อไป
ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความหมายของบุญว่า เป็นที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก
ท่านอาจารย์ ตายแล้วไปโลกอื่นไม่ใช่โลกนี้ ถึงจะเกิดที่โลกนี้ก็เป็นโลกของสัตว์อื่น ไม่ใช่คนนี้แล้วโลกก็มีทั้งเทวโลก มนุษย์โลก พรหมโลก อบายภูมิต่างๆ ไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่ว่าเหตุมี ผลต้องมีตามเหตุหรือไม่ ถ้าเป็นคนที่ตรง ใครก็ตามที่สะสมบาปไว้มากๆ ไปไหน หนักอึ้งเลยก็จมสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้นบุญเป็นธรรมที่ต้านทาน ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่ว่าเป็นธรรม แล้วใครจะอยากไปนรก มีสักคนหนึ่งไหม ใครบ้างไหมอยากไปนรก ใครบ้างไหมอยากเป็นเปรต ใครบ้างไหมอยากเป็นสัตว์เดรัจฉาน ใครบ้างไหมอยากเป็นอสูรกาย คำนี้ไม่ค่อยได้ยิน แต่จะได้ยินคำว่าผีบ่อย ก็หมายความถึงกำเนิดที่ไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์เป็นสุขคติภูมิ ภูมิที่ดีสามารถที่จะเกิดกุศล และฟังธรรมมีปัญญาเจริญอบรมในธรรมฝ่ายดีได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออบายภูมิก็ไม่มีโอกาสอย่างมนุษย์เลย ภพภูมิก็ต่างกันเพราะเกิดด้วยจิตที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จึงไม่มีเหตุที่จะนำไปสู่การที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจ
ไม่อยากไปนรก ไม่อยากไปอบายภูมิ แต่มีอกุศลทุกวัน เป็นอย่างไร อกุศลแต่ละเล็ก แต่ละน้อย ยังไม่ถึงกระทำกรรมใช่ไหม ชอบแต่ยังไม่ลัก ยังไม่ขโมย ยังไม่ทุจริต ยังไม่ฉ้อโกง เเต่สะสมเป็นอุปนิสสย หรืออุปนิสัยที่มีกำลัง เห็นทันทีชอบทันที เร็วอะไรปานนั้น ได้ยินเสียงก็ชอบเลย ติดข้องพอใจเลย เนื่องจากอกุศลทั้งหลายเร็วมากมีกำลัง เพราะว่าสะสมมามากก็ย่อมเกิดบ่อยเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ คิดดีๆ จะใช้คำนี้บ่อยๆ คิดดีๆ ทุกวันเป็นอย่างนี้ เป็นอกุศลแล้วไม่อยากไปอบายภูมิ ใครพาไปที่อื่นได้ ไม่มีทางเลย นอกจาก บุญ ต้านทานไม่ให้ไปสู่ปรโลกที่เป็นอบายภูมิ
ทุกคำต้องชัดเจน ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าทิ้งคำนี้เมื่อไหร่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เป็นเราหมด สอนให้ดีสอนให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใครก็สอนได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เห็นถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความหมายของแต่ละคำ พระมหากรุณาแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจ ได้สำนึก ได้รู้ความจริงว่าจากโลกนี้แล้วไปไหนไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมต้องไปสู่อบายภูมิ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140