ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
ตอนที่ ๑๐๙๘
สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งที่มีประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าเราได้มีโอกาสร่วมกันศึกษาพระธรรม เพื่อที่จะได้ดำรงรักษาพระศาสนา ยากแสนยากที่จะได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทุกคนก็มีความอดทน มีความเพียรที่จะค่อยๆ เข้าใจพระธรรม และดำรงรักษาความถูกต้องไว้เพื่อไม่ให้สูญหาย ก่อนอื่น ก็ต้องเป็นการที่จะระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีแต่ละคำซึ่งได้ยินได้ฟังสืบทอดกันมาจนถึง ณ วันนี้ ถ้าไม่มีการได้ฟังเลย ใครก็คิดไม่ถึง
เพราะเหตุว่าเราพูดคำที่เราไม่รู้จัก ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะงงว่าเป็นไปได้หรือที่ใครจะพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย แต่เมื่อเข้าใจธรรมแล้วรู้เลยว่าไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจแต่ละคำที่เราพูดเลย ไม่ว่าเป็นคำอะไรทั้งสิ้น เช่น ธรรม พูดกันบ่อย แล้วหลายคนก็อาจจะคิดว่า ธรรมต้องเป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนดี สอนให้เราทำอย่างนั้น สอนให้เราทำอย่างนี้ ซึ่งความจริงถ้าเป็นเพียงเท่านั้นใครก็สอนได้ แต่สิ่งที่ใครก็สอนไม่ได้ พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ความจริงซึ่งมีอยู่ในโลกตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละคำเป็นคำที่ลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการที่เราจะไปคิดเอง พยายามที่จะอ่านตำราอื่นซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเข้าใจคำของพระองค์
ด้วยความเคารพสูงสุดในการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำของพระองค์ประมาทไม่ได้ ไม่ว่าใครจะได้ยินได้ฟังกี่ครั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า แต่ละคำ มีการที่จะเข้าใจขึ้นอีกๆ ๆ จนถึงที่สุด ตรงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วทุกคำ เช่น ธรรมขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ว่ามีจริงๆ เราไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่สิ่งที่มีในขณะนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่รู้ว่าความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้คืออะไร แค่ประโยคเดียว ธรรมคือสิ่งที่มีจริง กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้ว ๔๕ พรรษา ถ้าจะให้คิดก็คงจะคิดกันไปคนละทางสองทาง แต่ถ้าบอกว่าเห็นเดี๋ยวนี้มีจริง พูดคำว่าเห็นมานาน แต่รู้จักเห็นไหม ว่าขณะนี้ เห็นมีแน่นอน เมื่อเห็นเกิดขึ้น ถ้าเห็นไม่เกิด ก็ไม่มีเห็น และเห็นจะเกิดเองไม่ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏหมายความว่าสิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฎได้อย่างไร ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ฟัง ว่าความจริงก็คือชีวิตประจำวันทั้งหมดซึ่งถูกปกปิดไว้ ด้วยการที่ไม่มีใครเปิดเผยให้รู้ความจริงว่ากำลังพูดเรื่องอะไร กำลังพูดเรื่องที่ทุกคนกำลังมีขณะนี้ มีเห็น มีคิด มีจำ มีสุข มีทุกข์ มีกังวล มีเรื่องราวต่างๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่างๆ ทั้งหมดมีจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดนี้ ต้องเกิด และต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เช่น กลิ่น เกิดเป็นกลิ่น เปลี่ยนกลิ่นให้เป็นรส ให้เป็นเสียง ให้เป็นอะไร ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งให้ทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดเผยความจริงของสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ในขณะนี้ โดยการทรงแสดงธรรม ทีละหนึ่ง ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นธรรมดา ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นธรรมดาทุกขณะเลย แต่ก็มีปัจจัยที่จะให้หลากหลาย เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฟังแล้วเหมือนกับว่าทุกคนเข้าใจ เกิดแล้วก็ต้องตาย ป่วยไข้ได้เจ็บ แล้วก็หาย มีสุข แล้วก็มีทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่คงที่ แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งนั้นเพราะไม่ได้เปิดเผยตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ด้วยเหตุนี้ต้องไม่ลืมเเต่ละคำธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีประโยชน์อะไรที่จะรู้ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่เราซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุด แล้วจะไม่รู้ความจริงหรือว่า แท้ที่จริงแล้วหลงยึดถือตั้งแต่เกิดในสิ่งที่มี โดยการที่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นว่าเป็นเรา และเป็นของเราทั้งหมด แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นเรา หรือว่า จะเป็นของเรา และจะเป็นใคร จะเป็นอะไร ไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงสิ่งซึ่งปรากฏเพราะเกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งทุกคำเมื่อมีความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตามที่มีผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว เช่น ท่านพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต ท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระกัสสปะเถระ ท่านอนุรุทธะเถระ เถระคือผู้ที่มั่นคงในวาทะ ในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ทุกอย่างถ้าเป็นไปตามความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ แต่ว่าถ้าเพียงเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไป เป็นการบ่อนทำลายพระศาสนาโดยที่คนนั้นก็ไม่รู้ตัว และไม่เข้าใจว่าเขาเป็นผู้ที่ทำลายคำสอนของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง แต่เพราะความไม่เข้าใจ หรือความเข้าใจคลาดเคลื่อน ก็ทำให้พระศาสนาไม่ดำรงอยู่ต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้การศึกษา หรือการฟังพระธรรม เพื่อประโยชน์คือการเข้าใจสิ่งที่มี และจะรู้ได้ว่าฟังเท่าไหร่ ความเข้าใจจะมากหรือจะน้อยก็เป็นไปตามการสะสม เพราะเหตุว่าทุกคนมีกิเลสมาก เพราะความไม่รู้สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว กี่ชาติมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน เช่น ไม่รู้ว่าขณะนี้ เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเสียง เสียงหายไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีสภาพที่ได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นเรา ได้ยินก็หมดแล้ว เสียงก็หมดแล้ว ทุกอย่างเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป โดยไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงถึงที่สุด คืออริยสัจจธรรม ความจริงที่ประเสริฐสุด ใครอยากจะรู้บ้าง หรือว่าใครคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ อย่างไรก็ตามแต่ ความจริงก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ความจริงก็เป็นความจริงอย่างนี้
แต่ความไม่รู้ทั้งหมดนำมาซึ่งความทุกข์ซึ่งมองไม่เห็นเลย เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่าความจริงจากไม่มี แล้วก็มี แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมีนั้น ก็หามีไม่ ในสังสารวัฏฏ์ไม่กลับมาอีกเลย เมื่อวานนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน วันนี้ไม่ใช่เมื่อวานนี้ และพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มีอยู่เพียงเฉพาะที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วก็มีเสียง แล้วก็มีคิด แล้วก็มีเห็น มีได้ยิน เกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ถ้าค่อยๆ เข้าใจธรรม ไม่ใช่ว่ารีบร้อนที่จะไปดับกิเลส เพราะเหตุว่าไม่มีใครไปดับกิเลสได้เลย นอกจากปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งตรงกันข้ามกับความไม่รู้ ความไม่รู้แม้สิ่งนั้นกำลังเผชิญหน้าก็ไม่รู้ อย่างเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ใครจะไปรู้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ และสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่ใครสักคนเดียว แต่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท คือรูปที่อยู่กลางตา ที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครรู้ตั้งแต่เกิดจนตาย กี่ภพ กี่ชาติ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
ในขั้นนี้เป็นขั้นฟังแล้วไตร่ตรอง เพื่อที่จะเป็นปัญญาของผู้ฟังเองว่า จริงหรือไม่จริง ไม่ใช่ต้องเชื่อ แต่ว่าลองค่อยๆ คิดว่า จริงไหม นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวคำจากที่ได้ทรงตรัสรู้ ประจักษ์แจ้งความเกิดดับของธรรมเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น กว่าความดีและความเข้าใจธรรม จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลส ซึ่งปกปิดสภาพธรรมที่เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ จะต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งต้องสะสม และก็มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าสิ่งนี้สามารถรู้ได้
ผู้ที่เป็นเถรวาทะ ก็คือผู้ที่มีความมั่นคงในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ว่า เห็นเกิดดับ ได้ยินเกิดดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับ สิ่งนี้ต้องเป็นความจริง ถ้ารู้แล้วก็คือพ้นจากการที่จะต้องเป็นทุกข์เพราะคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง เป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย คิดว่าเที่ยง แต่ถ้าตัวนี้ ร่างกายนี้ มีอะไรเกิดขึ้นเป็นอันตรายก็เป็นทุกข์เดือดร้อนมาก แต่ตามความจริงก็คือให้เข้าใจทั้งหมดว่า ควรจะรู้ตามความเป็นจริงว่าธรรมเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นเป็นได้ยินไม่ได้ เห็นคิดไม่ได้ เห็นจำไม่ได้ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง
แต่ละคนก็เป็นธรรมที่เกิดดับ ถ้าไม่มีธรรมเกิด ก็ไม่มีเราอยู่ตรงนี้ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยน แปลงถ้าไม่ดับ แต่จริงๆ คือเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวจำตลอดเวลา โดยไม่มีใครไปพิจารณาจนกระทั่งค่อยๆ เห็นความจริงว่า ในที่สุดก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ก็มีกรรมที่ได้ทำแล้วที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดอีกไม่รู้จบ เหมือนชาติก่อนต้องมี จึงได้มีชาตินี้ แต่ว่าชาติก่อนเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร จำไม่ได้เลย เมื่อถึงชาติหน้า ชาตินี้ก็ลืมหมด แต่สิ่งที่สะสมไว้วันนี้ที่ได้มีความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ก็จะค่อยๆ มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง เเล้วได้พบความจริงซึ่งไม่ใช่แค่คำพูดว่า อริยสัจธรรม เราได้ยินบ่อย ธรรม สัจจะ ธรรมที่เป็นความจริง อริยะ ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็รู้ว่าความจริงนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่คนที่ยังไม่ถึงการที่จะได้รู้ความจริงก็ค่อยๆ ฟังไปก่อน แล้วค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะเหตุว่า ใครก็ดับกิเลสไม่ได้ นอกจากความเห็นถูก เข้าใจถูกจากการที่ได้สะสมมาแล้ว ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งขณะนี้มีมากมายมหาศาล
ฟังธรรมเพื่อประโยชน์ คือได้เข้าใจในสิ่งซึ่งไม่เคยได้ฟัง และรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ และทรงแสดงความจริงแต่ละคำ ๔๕ พรรษา กี่คำ เพราะฉะนั้น ด้วยความเคารพสูงสุดในพระปัญญาคุณโดยการฟังธรรมแต่ละคำ เชื่อไหมว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับ ขั้นฟัง ถ้าไม่มีความมั่นคงขั้นฟัง ปัญญาขั้นต่อไปก็เกิดไม่ได้ แต่ว่าค่อยๆ คิด ทุกอย่างมี เมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสมที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิดได้ ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เช่น ดอกบัว โต๊ะ เก้าอี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ไม่ให้พอใจได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าเห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม จะให้พอใจได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็เป็นของธรรมดา
ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นตัวตนที่จะบังคับธรรมได้ ไม่มีใครสามารถทำให้ธรรมทั้งหมดเกิดได้เลยนอกจากปัจจัย สภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นซึ่งมากมาย ไม่ใช่มีเฉพาะคำสองคำ แต่ว่า ๔๕ พรรษา ทรงแสดงความจริง เรื่องของ จิต ธาตุรู้ แค่ได้ยินคำว่าจิต มีคนแต่งเพลงเรื่องจิตไหม เขียนหนังสือเรื่องจิตมีไหม พูดเรื่องจิตเป็นเล่มๆ นักจิตวิทยา แล้ว จิต คืออะไร เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า และเดี๋ยวนี้จิตอยู่ที่ไหน
การฟังอะไร ไม่ใช่เเค่ฟังเผินๆ เหมือนรู้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะซักถามแม้ตัวเอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องว่า จิตคืออะไร ไม่เรียกจิตได้ไหม เปลี่ยนเป็นภาษาต่างๆ ภาษาไทยใช้คำว่าจิต แต่ภาษาอื่นไม่ได้ใช้คำว่าจิตเลย แต่ใครจะไม่ให้มีธาตุชนิดนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเข้าใจในเบื้องต้น จิตก็คือธาตุรู้ สภาพรู้ เกิดขึ้นรู้ เช่น เห็น รู้จักเห็น แต่ไม่รู้จักจิต บอกว่าเห็น ใครบ้างที่จะไม่รู้ แต่บอกว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดเมื่อมีจักขุปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ รูปนี้อยู่กลางตา จิตที่เห็น เกิดที่นั่น รู้สิ่งที่กระทบที่นั่น ดับไปที่นั่น นี่คือเริ่มเห็นความละเอียดของธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างละเอียดยิ่งทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าอะไร เป็นธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ชาติไหนจะได้ฟังอีก เห็น เกิดขึ้น และดับไป ใครก็ทำให้เห็นเกิดไม่ได้ เพราะว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเป็นธาตุที่ดำรงรักษาความเป็นสิ่งนั้นไว้ เปลี่ยนไม่ได้
ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทุกอย่างหลากหลายมาก แต่ก็สามารถที่จะแบ่ง หรือว่าจัดตามประเภท คือ สภาพธรรมที่เกิดแต่ไม่รู้ก็มี เช่น แข็ง กระทบไปแข็งก็ไม่รู้สึกอะไร กลิ่นก็ไม่รู้ รสต่างๆ กลืนกินเข้าไป รสก็ไม่รู้สึกว่าถูกกลืนกินเข้าไป แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่มีจริงที่ไม่ใช่สภาพรู้ก็มี แต่ก็ยังคงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด กระจัดกระจายแยกออกไปแล้ว ก็เป็นเพียงแต่ละหนึ่งลักษณะซึ่งเกิดรวมกัน เช่น ถ้าจับดอกไม้ดอกหนึ่งก็มีกลีบที่อ่อนนุ่ม แล้วถ้าดมก็มีกลิ่นหอม ถ้าปรากฏทางตาก็เป็นสีต่างๆ หลากหลายมาก แต่ทั้งหมดก็คือ ธรรมแต่ละหนึ่งที่รวมกันแล้ว แต่ถ้ากระจัดกระจายแยกให้ละเอียดยิบ ก็ยังคงมีลักษณะ ของตนๆ คือกลิ่นก็ต้องเป็นกลิ่น แข็งก็ต้องเป็นแข็ง สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
เดี๋ยวนี้ที่เคยเป็นเรา ความจริงก็คือเป็นรูป เย็นร้อน อ่อนแข็ง สี กลิ่น รส ที่มีอากาศธาตุ แทรกคั่นอย่างละเอียดยิบสามารถที่จะแตกทำลายได้ในพริบตา แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แล้วจะเป็นของเราได้อย่างไร แต่เมื่อรวมกันแล้ว ที่จะไม่ให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ เพราะไม่รู้ความจริงของแต่ละหนึ่ง
คำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ถึงที่สุดของแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เเต่ละหนึ่ง ได้ตรัสไว้ว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง" พอที่จะมั่นคงไหม ไม่ต้องไปทำอะไร
บางคนเข้าใจผิดคิดว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เราเป็นคนดี ให้เราประพฤติอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ให้มีศีล ให้มีสมาธิ ให้มีปัญญา นั่นไม่ถูกต้อง เพราะให้ใครทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เมื่อสิ่งนั้นมีจริงแล้วไม่มีใครรู้ จึงทรงแสดงความจริงให้ผู้ที่ใคร่ที่จะรู้ความจริงไม่ถูกลวง ไม่ถูกหลอก หรือว่า ไม่อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้เหมือนที่เคยในสังสารวัฏฏ์ ได้มีโอกาสที่จะเข้าใจโลกหรือความจริงของสิ่งที่มีโดยละเอียดยิ่ง ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง
ผู้ฟัง ก็คือสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อฟังคำของพระองค์ แต่ถ้าฟังคำของคนอื่น ก็ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ใครรีบร้อนไปละความเป็นเรา แต่เริ่มมีความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย แค่รู้ว่าเห็นเกิด และดับ เริ่มเข้าใจ เเต่เท่านี้ยังไม่พอ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้ นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ทางที่จะทำให้คนพ้นจากความไม่รู้ซึ่งเคยมีมานานมาก แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ว่า คำของพระองค์เป็นคำจริง มีความมั่นคง เถระ คือมั่นคง วาทะ คือคำ เพราะฉะนั้นผู้ที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นเถรวาท ตอนนี้ใครเป็นเถรวาทบ้าง ซึ่งไม่ใช่ชื่อนิกาย แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้ากล่าวว่าเป็นเถรวาท ต้องเข้าใจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่คิดเอง หรือถ้าประพฤติผิดจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเเล้วกล่าวว่าเป็นเถรวาท นั่นก็ไม่ใช่เถรวาท
ผู้ฟัง คำว่าเห็นโลภะ มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างไร
ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อว่า โลภะ มีจริงๆ หรือเปล่า
ผู้ฟัง มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ คืออะไร ถ้าบอกว่ามีจริง ก่อนอื่นที่จะรู้มากกว่านี้ ต้องเริ่มต้นว่า คืออะไร
ผู้ฟัง อย่างเช่น ตื่นมาลืมตา ก็มีความที่อยากจะเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโลภะมีจริงใช่ไหม เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ นี่คือความมั่นคงจากการที่สนทนาที่จะต้องย้ำอยู่ตลอด เพราะเหตุว่าลืมเสมอ ถึงแม้กำลังฟังก็ยังคงเป็นเราฟัง แต่ว่ากว่าจะย้ำเพื่อความมั่นคงว่า โลภะมีจริง เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา
ท่านอาจารย์ โลภะรู้อะไรหรือเปล่า จุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่ ให้เผิน ฟังจบ เข้าใจ เป็นหน้าๆ เป็นเล่มๆ แต่ว่าต้องมั่นคงว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี เพราะว่าขณะนี้ก็มีโลภะ แล้วกำลังพูดถึงโลภะ แทนที่จะพูดถึงชื่อ และ เรื่องของโลภะ ก็ให้น้อมมาสู่โลภะเดี๋ยวนี้ได้ไหม ซึ่งยาก เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าโลภะมี แต่จะให้รู้โลภะเดี๋ยวนี้ เป็นไปไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังและมีความเข้าใจขึ้น และปัญญานั้นจึงค่อยๆ รู้โลภะที่กำลังมี เพราะฉะนั้นก่อนอื่น โลภะมีจริง เป็นธรรม เป็นสภาพรู้ คือติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อสักครู่ที่เราพูดเรื่องจิต เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่โลภะไม่ใช่จิต ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีโลภะ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน จะมีการติดข้องได้อย่างไร
ธาตุรู้มี ๒ อย่าง คือ จิต เช่น เห็น ได้ยิน เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏโดยไม่ต้องพูดเลย อย่างในห้องนี้ที่กำลังเห็นว่ามีอะไรบ้าง นั่นคือจิตรู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ ชอบหรือไม่ชอบ นั่นไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ใช้คำว่าเจตสิก (เจ-ตะ-สิก-กะ) ในภาษาบาลี แต่ภาษาไทย ก็ใช้คำสั้นๆ ว่า เจ-ตะ-สิก เพราะฉะนั้นมีจิตหนึ่งเเล้ว แต่มีเจตสิกมากมาย ทั้งหมด ๕๒ ประเภท โลภะเป็นหนึ่งเจตสิกใน ๕๒ เจตสิก ต้องเกิดกับจิต เท่านี้เรารู้แล้วว่าถ้าไม่มีจิตจะมีโลภะไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการรู้อะไรเลยทั้งสิ้น อย่างแข็ง เเข็งมีโลภะไหม แข็งชอบอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ได้ยินคำไหน ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจ ธรรมมี ๒ อย่างคือ ธาตุรู้ เป็น นามธรรม สภาพที่เกิดแต่ไม่รู้อะไร เป็น รูปธรรม เเค่ ๒ คำ คือไม่ต้องไปท่อง หรือไปจำ แต่ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีทั้ง ๒ อย่าง คือมีทั้งสภาพที่ไม่รู้อะไร ที่ตัวก็มีแข็งอ่อน เย็นร้อน แล้วก็มีสภาพรู้ด้วย ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก แต่ธาตุรู้มี ๒ อย่างคือ จิต เเละ เจตสิก เรากำลังพูดถึงสิ่งซึ่งมีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ละเอียดอย่างยิ่ง คือให้รู้ว่าโลภะไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุที่มีความติดข้องพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จิต กับ เจตสิก เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน และก็ดับพร้อมกันด้วย คุณมนต์ถามถึงอะไร
ผู้ฟัง เห็นโลภะ
ท่านอาจารย์ จะเห็นโลภะไหม เดี๋ยวนี้มีโลภะ
ผู้ฟัง ก็เห็นด้วยปัญญาขั้นฟัง
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าโลภะ รู้ว่ามีโลภะ แล้วไม่อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่ใจของแต่ละคน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140