ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112


    ตอนที่ ๑๑๑๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ พระมหากรุณาแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจ ได้สำนึก ได้รู้ความจริงว่าจากโลกนี้แล้วไปไหนไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมต้องไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้นกรรมในแต่ละวัน ถ้าไม่เป็นทุจริตแต่ก็สะสมเป็นอัธยาศัย บางคนก็โลภมาก บางคนก็โกรธมาก บางคนก็เสียใจน้อยใจทั้งวัน ใครทำอะไรก็น้อยใจไปหมด เสียใจไปหมด อะไรกันใช่ไหม ก็ไม่ใช่ใครที่จะไปทำอะไรได้ เเต่เพราะสะสมมาทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นอย่างนั้น บางคนก็ขี้บ่น พูดทำไม พูดแล้วใครฟัง ฟังแล้วเขาสบายดีหรือ ก็ไม่ได้คิดถึงอะไรเลยเพราะสะสมมา ไม่ใช่เราเลย ทั้งหมดเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้แต่ละคำทำให้เราได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล ปัญญาที่รู้อย่างนี้ก็นำไปสู่ทางที่ดี ไม่ใช่นำไปสู่ทางที่ชั่ว เริ่มฟังธรรม เริ่มเข้าใจขึ้น แล้วปัญญาค่อยๆ ละสิ่งที่ไม่ดี บ่นทำไม พูดออกมาทั้งทีให้เป็นประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ กลับไปพูดให้คนอื่นเขาฟังแล้วรำคาญ ทำอะไรก็ไม่ได้ แก้ไขก็ไม่ได้ แต่ก็พูดอยู่นั่นบ่นอยู่นั่น ผลอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตนเอง ถ้าคนฟังไม่มีกิเลสเป็นพระอรหันต์ไม่เดือดร้อนเลย คนพูดก็เดือดร้อนไป ต่างคนก็แต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมซึ่งเกิดได้เพียงหนึ่งขณะ แล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แม้คนเดียวที่กล่าวว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง หนึ่งจริงๆ เพราะประกอบด้วยเจตสิกที่เกิดกับจิตปรุงแต่งเกิดขึ้นทำกิจการงาน แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความหมายของบุญว่า เป็นที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก เป็นที่ซ่อนเร้น

    ท่านอาจารย์ ที่ซ่อนเร้นหมายถึงที่กำบังภัยก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องดูภาษาบาลีด้วย การฟังธรรมต้องละเอียด พูดแล้วก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองหลายแง่มุม ว่ากำลังกล่าวถึงโดยนัยไหน

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ ชัดเจนว่าเป็นที่ซ่อนเร้นจากภัย ก็แน่นอนว่าคุณความดีเกิดขึ้นพ้นจากภัย พ้นจากภัยคือกิเลสในขณะนั้น แล้วพ้นจากภัยที่จะนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี เพราะว่าคุณความดีก็นำมาซึ่งผลที่ดีงามเท่านั้น ไม่นำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อน และถ้าจะพิจารณาโดยนัยของการเกิดขึ้นก็ชัดเจนว่า ขณะที่คุณความดีเกิดขึ้นก็หลีกออกแล้วจากอกุศล เพราะว่าคุณความดีจะเกิดร่วมกันกับอกุศลไม่ได้เลย ปรองดองกันไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรมที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม อยู่ท่ามกลางพายุกิเลสหรือเปล่า โทษภัยมหาศาลก็ไม่รู้เลย บางทีก็ทะเลเรียบแต่ก็เป็นทะเล เมื่อพายุมา ชัดเลย ปั่นป่วนเดือดร้อนทั่วบ้านทั่วเมืองกัน แต่ก็คือแต่ละหนึ่งนั่นเองที่เดือดร้อน เพราะฉะนั้นกุศลเป็นที่กำบังซ่อนเร้นจากภัย ขณะนี้รู้ได้เลยถ้าเป็นผลของกรรมที่กำลังฟังธรรมเข้าใจเป็นเหตุ จะเกิดที่ไหน สุคติภูมิแน่นอน จะมนุษย์หรือสวรรค์ก็ได้ เพราะสวรรค์ก็มีศาลาสุธรรมา คนที่ได้สะสมมาแล้วที่จะฟังธรรมก็ไปฟังธรรมกันที่นั่น ไม่ต้องห่วง มนุษย์ก็มีที่ฟังธรรมไม่มากแห่งใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ธรรมต้องไตร่ตรองยิ่งละเอียดขึ้นๆ ก็ยิ่งรู้ตามความเป็นจริงว่าทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ธรรมที่เป็นเหตุก็มี แม้ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดธรรมที่เป็นผลของเหตุนั้น ซึ่งต้องศึกษาโดยละเอียดทั้งหมดจึงจะสามารถค่อยๆ ละลายความเป็นเราได้ เพราะความเป็นเราเหนียวแน่นมาก

    อ.คำปั่น ซึ่งในท่อนที่กล่าวถึงว่า เป็นที่ซ่อนเร้น หรือเป็นที่หลีกเร้น เพราะว่ามาจากภาษาบาลีว่า เลนะ จริงๆ ก็แปลได้หมดเลย ซ้อนเร้น หลีกเร้น ซึ่งแม้ว่าจะมีธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นเป็นไป ก็ยากที่จะรู้ตรงตามความเป็นจริง เพราะว่าถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ความจริงมานาน

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ เดี๋ยวนี้เอง เดี๋ยวนี้เอง ซ่อนเร้นไหม ไม่เห็นจิต ไม่เห็นเจตสิก ไม่รู้ด้วยว่ารูปธรรมไม่ใช่เรา ถูกปกปิดไว้นานมาก ปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถรู้ ค่อยๆ เปิดสิ่งที่ปิดให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เดี๋ยวนี้โดยขั้นการฟังเปิดออกมาแล้วไม่ใช่เรา ที่นั่งอยู่ทุกคนเป็นธรรมทั้งหมด เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เป็นกุศล หรืออกุศล ใครรู้ คนอื่นรู้ได้ไหม ต้องตนเองอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นซ่อนเร้นไหม ทันทีที่เห็นดับไป๓ ขณะจิต อกุศลเกิดแล้ว อาสวะ ใครจะรู้ เบาบางแค่ไหน หลังจากเห็นดับไปแล้ว๓ ขณะแล้วเกิดใครรู้บ้าง บางเบาแค่ไหน แต่ผู้รู้ตอบว่ามี ดังนั้นกำลังเจริญกุศลท่ามกลางอกุศลมากเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็ยังมีแสงสว่างที่จะค่อยๆ สว่างขึ้นๆ จนสามารถจะเห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นได้ แต่ต้องเป็นปัญญา บอกว่ามี แต่ก็ซ่อนเร้น เพราะยังไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งจริงๆ ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ยังไม่ใช่ปฏิเวธ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง อ่านต่อไป

    ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงความหมายของบุญว่า เป็นที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก เป็นที่ซ่อนเร้น เป็นที่พำนัก

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้กำลังอยู่กับบุญใช่ไหม ตามที่เข้าใจ บุญคือเจตสิก เป็นที่พำนัก แม้เป็นที่ซ่อนเร้นก็ไม่มีใครเห็น จนกว่าจะได้รู้ว่าขณะนั้นจิตเป็นอะไร กุศลหรืออกุศล ถ้าเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทีละคำอย่างถูกต้องชัดเจนมั่นคงขึ้น จะเข้าใจคำต่อไปในพระไตรปิฎกได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจคำแรกตั้งแต่ต้นก็ไม่มีทางเข้าใจ เมื่อเข้าใจผิดจึงมีสำนักปฏิบัติ ต่อไป

    ผู้ฟัง เป็นที่พึ่งอาศัย

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม อาศัยอกุศลให้ไปสวรรค์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ธรรมที่ไม่ดีทั้งหมด ไม่นำสิ่งที่ดีมาให้เลย อยากได้เงินทองทรัพย์สินสมบัติ อกุศลนำมาให้ได้ไหม ต้องตรง เหตุไม่ดีจะนำผลที่ดีมาให้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย ผลของกุศลกรรมเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่นที่ดี ลิ้มรสที่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ดี ไม่ป่วยไข้ได้เจ็บ พระภิกษุบางรูปในอดีตไม่ป่วยเลยตลอดชีวิตเพราะผลของบุญ จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นที่พึ่งได้เลยนอกจากธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล

    อ.วิชัย อย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างท่านพระพากุละ ท่านเป็นผู้เลิศทางด้านอาพาธน้อยมีอายุถึง ๑๖๐ ปี ดังนั้นการที่แต่ละท่านที่ได้อัตภาพเป็นมนุษย์ตอนนี้เพราะบุญนั่นเอง ก็ต้องเป็นที่พำนักเป็นที่พึ่งพิง ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ รู้ว่าความเป็นจริงของธรรมคืออะไร เพราะธรรมมีหลายอย่าง แล้วถ้ากล่าวถึงบาป หรืออกุศลธรรมก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดแล้ว สะสมแล้ว เจริญแล้ว มีแต่ฉุดรั้งบุคคลนั้นไปสู่ทางต่ำคือ อบายภูมิ แม้แต่ความประพฤติเป็นไปในแต่ละวัน กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ถ้าอกุศลธรรมเกิดขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์แน่นอน ความเห็นแก่ตัว ความมุ่งประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ประโยชน์บุคคลอื่น

    ดังนั้นความต่างกันของการที่แต่ละบุคคลที่จะรู้ความจริงว่า อะไรที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ซึ่งที่พึ่งไม่ใช่เพียงแค่บุญเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ว่าต้องมีการเจริญขึ้นด้วย เพราะเมื่อยังมีการเกิดก็มีความเกิดร่ำไป แต่อะไรจะเป็นที่พึ่งที่จะให้ออกจากการเกิด คือไม่มีการเกิดอีกต่อไป ก็ต้องเป็นบุญที่ประเสริฐและก็ยิ่งกว่า และหนทางที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่มีพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญบุญ หรือกุศลที่สามารถที่จะพ้นจากการเกิดอีกได้เลย ดังนั้นก็เป็นเรื่องของความเข้าใจธรรมที่จะรู้ว่าบุญไม่ใช่ใครทั้งหมด แต่เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีงาม

    ผู้ฟัง มีผู้ฝากคำถามมา ฟังคำบรรยายมาก็มาก ดูท่านอาจารย์ไม่เหน็ดเหนื่อยเลย พูดทุกๆ วัน ซ้ำๆ แต่คนฟังเหนื่อย

    ท่านอาจารย์ ฟังจนเหนื่อย

    ผู้ฟัง เบื่อว่าซ้ำๆ

    ท่านอาจารย์ ทั้งเบื่อทั้งเหนื่อย ถ้าพูดเรื่องอื่นรู้สึกคนฟังจะไม่เบื่อไม่เหนื่อย ใช่ไหม และคนฟังเองก็ฟังเรื่องที่ตัวเองไม่เบื่อไม่เหนื่อย แต่เมื่อฟังธรรมเบื่อและเหนื่อย ลองฟังเรื่องอื่นสนุกๆ เบื่อไหม ดูหนังสักเรื่องหนึ่ง หรืออะไรสักอย่าง นั่งอยู่ได้ตั้งนานไม่เห็นเบื่อ แต่เมื่อได้ยินคำที่ยาก และยังไม่รู้คุณของคำนั้น ว่าแต่ละคำมีค่ามากทำให้ไม่ไปนรกได้เมื่อเข้าใจ สารพัดอย่าง แต่ว่าไม่เห็นประโยชน์เลยเพราะสะสมมาที่จะเบื่อและเหนื่อย ที่จะได้ฟังคำซึ่งทำให้ต้องคิดต้องไตร่ตรอง บางคนไม่คิดไม่ไตร่ตรองเลย ถามทำไม พูดไปเลยจะฟัง อย่างนี้ก็มี แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนฟังเข้าใจแค่ไหน

    อ.คำปั่น ถ้าเข้าใจถึงจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็จะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ประโยชน์ก็คือเพื่อความเข้าใจความจริง จากที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อนก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน ในการที่จะได้ฟังคำจริงไปเรื่อยๆ จะห้ามไม่ให้เบื่อ จะห้ามไม่ให้เหนื่อยก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของคำจริงแต่ละคำ จะรู้เลยว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลอย่างยิ่งที่ทำให้ได้เข้าใจ ขณะที่เข้าใจก็จะนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีที่ได้เข้าใจความจริง ยิ่งเพิ่มพูนความเพียรความอดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นบัณฑิตในอดีตท่านก็กล่าวถึงความจริง ว่าผู้ที่เป็นบัณฑิตจะไม่เบื่อในการฟังคำสุภาษิต เพราะว่าเป็นคำที่ดี เป็นคำที่มีค่า เป็นคำที่มีประโยชน์ เมื่อได้ฟังแล้วความเข้าใจเจริญขึ้น จึงไม่เบื่อในการที่จะได้ฟังคำจริงเหล่านั้น

    อ.วิชัย ดังนั้นแม้การฟังพระธรรม เบื่อได้ไหม ก็มีได้ ใช่ไหม คือไม่อยากฟัง เพราะยังไม่เห็นคุณของสิ่งที่กำลังฟัง แต่ทุกคนก็คงไม่อยากเบื่อ อยากจะฟังธรรมด้วยความเข้าใจ อย่างที่ท่านพระสารีบุตรท่านมีปัญญาร่าเริงที่จะรู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ หนี อยาก ไม่พ้น ไม่อยากอย่างนี้ ก็อยากอย่างนั้น ความจริงเป็นความจริงคือไม่ใช่เรา แม้แต่คนที่ฟังแล้วเบื่อ ไม่อยากจะมา แต่ก็มา แสดงให้เห็นว่ากุศลเริ่มที่จะมีกำลัง เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มาแน่นอนเวลาที่อกุศลมีกำลัง ด้วยเหตุนี้จิตต่างกันมาก บางคนไม่ต้องชักชวนเลย เมื่อได้ยินก็สนใจใคร่ที่จะฟัง เพราะฉะนั้นจิตต่างกันเป็นสองประเภท ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศล และอกุศล ถ้าเป็นจิตที่มีกำลังก็ต่างกับจิตที่อาศัยการชักจูง เช่น ทำไมคนอื่นเขามา เขาไม่เหนื่อย ก็เลยไปเเบบเขาบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็อาศัยการชักจูงโดยความคิดของตนเองก็ได้ ทางฝ่ายกุศลก็ต่างกันเป็นภาษาบาลีจะใช้คำว่าสสังขาริก อสังขาริก สสัง คืออาศัยการชักจูง มีกำลังอ่อน ว่าจะไม่มา เบื่อแล้วก็เหนื่อยด้วย แต่ก็มา แต่ถ้ามีกำลังก็ไม่ต้องอย่างนี้เลย เพียงได้ยินก็ไปแล้ว ก็เป็นอสังขาริกทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ไม่ต้องจำชื่อ แต่ให้รู้จิตของตัวเองว่าแม้กุศลบางครั้งมีกำลัง บางครั้งอ่อนกำลัง บางครั้งก็อยากไปแต่ไม่มีใครไปด้วย ก็ไม่ไป ใช่ไหม ตัดไปเลย เป็นอกุศลไปแล้ว อย่างนี้ก็มี แสดงให้เห็นว่าธรรมทั้งหมด ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดให้เห็นชัดเจนไม่ว่าจะกรณีใดทั้งสิ้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นก็เป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง เจตนาไม่จ่ายภาษีหรือจ่ายภาษีอากรไม่ครบ บาปหรือไม่ อย่างนี้ถือว่าผิดศีลข้อสองหรือไม่

    อ.คำปั่น คือตามกฎหมายบ้านเมือง ที่มีการกำหนดให้มีการจ่ายภาษีเพื่อบำรุงประเทศชาติ ซึ่งก็เป็นไปตามความเป็นไปของประเทศนั้นๆ ซึ่งถ้าหากว่ามีเจตนาที่จะไม่จ่าย ก็คือเจตนาที่จะหลบเลี่ยง ไม่กระทำในสิ่งที่เหมาะควร ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่ไม่ตรง เป็นเจตนาที่คดงอ ก็เป็นการล่วงศีลข้อที่สอง หรือว่าถ้าหากว่ายังไม่พร้อมที่จะจ่ายก็อาจจะมีการเจรจา มีการต่อรอง มีการผ่อนผันว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นควรจะเป็นอย่างไร อย่างนั้นก็แสดงถึงไม่มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยง แต่ว่ากล่าวถึงความจริงใจของตนเองว่าเป็นอย่างไร ก็สำคัญที่เจตนา

    ท่านอาจารย์ ถามเขาหนึ่งคน เเล้วถามอีกคนหนึ่ง คำตอบอยู่ที่ไหน คำตอบอยู่ที่ความเข้าใจธรรม ไม่อย่างนั้นเราจะต้องถามเขาทั้งวันเลย เดินไปตรงโน้นหยิบตรงนี้ บาปไหม สารพัดเรื่องที่จะต้องถามแต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ไม่ต้องถามใครเพราะความเข้าใจเป็นคำตอบ เราศึกษาธรรมให้ทราบว่า ไม่มีเรา โล่งใจหรือเป็นทุกข์ใจ เหมือนดี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม ฝ่ายที่เป็นกุศลและอกุศลต่างกัน ให้ทราบว่าความจริงก็เป็นธรรมซึ่งเป็นเหตุซึ่งจะทำให้เกิดผล และก็ไม่ใช่ใครทั้งหมดเลยเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละธาตุ ที่สะสมมาที่จะคิดอย่างนั้นทำอย่างนี้ จึงมีเรื่องราวมากมายเฉพาะในพระไตรปิฎก และอรรถกถาก็มาก เเต่คือน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนของคนทั้งประเทศอย่างอินเดีย เเละคนอื่นๆ ที่ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องของธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นและดับ ไม่หยุด แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าธรรมใดเป็นเหตุ และธรรมใดเป็นผล จนกว่าจะได้ฟังความละเอียดที่ไม่ลืมว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา มิเช่นนั้นแล้วคำถามเมื่อสักครู่นี้ เราใช่ไหม แล้วถามใคร ก็ถามเขา แล้วคิดว่าจะพึ่งคำตอบของเขาหรือ? แล้วถ้าคำตอบนั้นไม่ตรงไม่ถูก แล้วเราจะคิดอย่างไร ซึ่งถ้าศึกษาธรรมเข้าใจแล้ว ธรรมนั่นเองตอบ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมฝ่ายกุศล และอกุศล เราไม่สามารถที่จะรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนว่าเป็นกุศล เป็นอกุศล หรือว่าเป็นอะไร เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ถามเดี๋ยวนี้ก็ได้เมื่อสักครู่นี้เป็นกุศล หรืออกุศล ตอบไม่ได้ใช่ไหม เพราะเกิดแล้วดับแล้ว ใครจะตอบได้ แต่การศึกษาธรรมทำให้สามารถที่จะเข้าใจละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราเพราะอย่างนี้ๆ ๆ เมื่อเหตุเป็นอย่างนี้ ผลจะต้องเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจว่ากิเลสมี ถูกต้องไหม ไม่รู้ จะไม่ใช่กิเลสได้อย่างไร เพราะกิเลสตัวใหญ่มาก ซึ่งปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างให้ไม่รู้เลยคือ โมหะ หรือความไม่รู้ ไม่รู้อะไร เขาบอกว่าไม่รู้ก็เฉยๆ ไปก็ไม่ได้ ไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้เห็นเดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ฟังธรรมแล้วจะรู้ว่า ไม่รู้ทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดังนั้นก็รู้ว่าความไม่รู้เป็นกิเลส แล้วก็นำมาซึ่งกิเลสอีกมากมายทุกเรื่อง เมื่อสักครู่นี้ที่ถามเดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม ตอบเลยเพราะเหตุว่าจริง มีกิเลส เพราะรู้ว่าทันทีที่เห็นใครก็ไปยับยั้งกิเลสไม่ได้ เพราะว่ากิเลสที่สะสมมาเพียงแค่มีอะไรปรากฏก็เป็นกิเลส เพราะไม่รู้ เป็นอกุศลทันที ให้ทราบว่าตราบใดที่ยังมีอกุศล และไม่มีปัญญา อกุศลเพิ่มขึ้นทำให้มีการคิดในทางทุจริตต่างๆ ซึ่งขณะนั้นก็ต้องรู้ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    ไม่ว่าพฤติกรรมจะออกมาทางไหนก็ตามแต่ ต้องมาจากจิตซึ่งเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ถ้าจิตที่ดีเราก็รู้เลย จิตที่ไม่ดีก็รู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นธรรมจะทำให้เป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น ละเอียดไปหมดเพิ่มขึ้น ในห้องน้ำก็ละเอียดขึ้น ในครัวก็ละเอียดขึ้น ที่ไหนๆ ก็ละเอียดขึ้นเพราะมีความเข้าใจธรรม และรู้ด้วยว่าขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ถ้าเห็นกระดาษตกที่พื้นเป็นกุศล หรืออกุศล ตรงต่อตามความเป็นจริงต้องบอกไหม คนอื่นต้องมาบอกไหม ถ้าเราฟังธรรมและเราเข้าใจรู้เองใช่ไหม ว่าขณะนั้นความละเอียดเพิ่มขึ้นแล้วว่าเป็นอกุศล แล้วจะทำอย่างไรต่อไป เห็นไหมบังคับบัญชาไม่ได้ จะเก็บไปทิ้ง หรือว่าจะไปเรียกมาถามดูว่าใครทำ หรือว่าหาตัวคนทำ วุ่นวายไปหมดเลย

    ให้ทราบว่าทุกขณะเป็นธรรมซึ่งละเอียดมาก เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่มีคนถามเสมอ ว่าอย่างนี้เป็นบาป เป็นบุญ จะทำอะไรๆ ต่อไป คำตอบต้องเป็นการเข้าใจธรรม มิฉะนั้นแล้วก็เพียงฟังเขาว่า แต่ไม่ได้เกิดความเข้าใจอะไรขึ้นมาเลย ถ้าจะเป็นผู้ที่มีปัญญาต้องไตร่ตรอง แล้วก็ตรงตามความเป็นจริงตามเหตุตามผล ใครยังมีกิเลส เห็นไหมตรงเเล้ว ได้ชื่อว่าปุถุชน รู้ไหมหมายความถึงใคร คนอื่นหรือใคร ปุถุ แปลว่าหนา ปุถุชน หนาด้วยกิเลสอกุศล เมื่อสักครู่นี้กิเลสมากไหม รับประทานอาหารแค่หนึ่งมื้อ แค่หนึ่งคำ กิเลสหรือเปล่า

    ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าตราบใดที่ยังมีกิเลส กิเลสนั่นเองเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมในทางที่ไม่ถูกต้อง สามารถที่จะกล่าวเป็นวาจา หรือว่าทางกายกระทำสิ่งต่างๆ ก็ได้ตามกำลังของกิเลส เดินไป เป็นกิเลสไหม ใครเดินไม่มีกิเลสบ้าง ต้องรู้แล้วว่านี่คือปุถุชน เพราะฉะนั้นจะค่อยๆ เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นคนที่ยังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมก็จริง แต่ดีขึ้นเพราะเข้าใจธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    14 พ.ค. 2568