ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
ตอนที่ ๑๑๒๒
สนทนาธรรม ที่ เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท
วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่งขันธ์ คืออะไร ถ้าเราสามารถที่จะมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั่นเองที่กำลังขัดเกลา ค่อยๆ ปรุงแต่งให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จึงใช้คำว่า สังขารขันธ์ ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก การที่เราศึกษาพระอภิธรรม ความลึกซึ้ง ความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม เพื่อให้รู้ว่ากิเลสละยาก อวิชชาก็มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟังด้วยความเคารพจริงๆ เพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ละเอียดขึ้นๆ
ผู้ฟัง การที่สังขารขันธ์ ปรุงแต่ง คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น สังขารขันธ์ คืออะไร
ผู้ฟัง เจตสิก ๕๐
ท่านอาจารย์ เจตสิกทั้งหมดมีเท่าไหร่
ผู้ฟัง ๕๒
ท่านอาจารย์ เป็นสังขารขันธ์เท่าไหร่
ผู้ฟัง ๕๐
ท่านอาจารย์ อีก ๒ เป็นอะไร
ผู้ฟัง อีก ๒ เป็น เวทนาขันธ์ และสัญญาขันธ์
ท่านอาจารย์ เวทนาขันธ์ ทำไมแยกไปจากเจตสิกอื่นๆ
ผู้ฟัง เป็นสภาพที่เกิดบ่อยมาก
ท่านอาจารย์ เกิดเหมือนกันเลย ๗ ประเภทก็เกิดทุกขณะเหมือนกัน เจตสิก ๗ ดวง ก็เป็นสิ่งซึ่งกว่าเราจะค่อยๆ คลายความไม่รู้ ไม่รวบรัดว่าเรารู้ แต่ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเห็นจริง แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ การสะสมความเข้าใจต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เหมือนกับอวิชชาซึ่งมากมายมหาศาล เพราะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ทุกครั้งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง
เพราะฉะนั้น ธรรมที่ทรงแสดงอย่างละเอียดก็เพราะรู้ว่า กิเลสเป็นสิ่งซึ่งละยาก สะสมมานานมาก ความไม่รู้ก็นานมาก แม้แต่ในขั้นการฟัง ฟังแค่ว่าธรรมไม่ใช่เรา เท่านี้ ฟังไปร้อยครั้ง พันครั้ง ก็ละไม่ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้น ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น จึงสามารถที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่เราได้ เผินไม่ได้เลยซักอย่างเดียว คุณณภัทรอยากได้อะไร
ผู้ฟัง อยากฟังพระธรรมไปนานๆ
ท่านอาจารย์ จริงๆ ทุกคนอยากทุกวัน แต่ลืม ลืมว่าเราอยาก ทีนี้อยากฟังพระธรรมเท่านั้นหรือ ตรงไปตรงมา
ผู้ฟัง ก็ยังอยากได้อาหารที่อร่อย
ท่านอาจารย์ อยากได้อาหารที่อร่อย นำไปสู่ความเข้าใจ ขันธ์ สิ่งที่เราอยากได้เป็น รูป เป็นสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสีสันวัณณะต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นถ้วยจาน เป็นดอกไม้ เป็นรูปเขียน เป็นเสื้อผ้า เป็นอะไรทุกอย่างหมดที่ปรากฏทางตา อยากได้สิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น รูป ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยทั้งสิ้น รูปไม่รู้ว่าใครอยากได้ ไม่รู้อะไรเลย แต่รูปเป็นที่ตั้งของความติดข้อง วันหนึ่งๆ ทุกคนแสวงหารูปที่พอใจ บางคนติดข้องรสมากเลย สำหรับเขาอย่างอื่นไม่สำคัญ เขาขอไปรับประทานอาหารอร่อย และบางคนติดมาก จะเอาอะไรก็ให้ได้ อย่าเอาอาหารจานนี้ไป แปลว่าเขาติดข้องระดับไหน ดังนั้น รูปเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเกิดมาในโลกซึ่งมีแต่รูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วจะไม่ให้ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏว่ามีได้อย่างไร
เราเริ่มไปหาความไม่รู้ ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งนั้น จากไม่มี ก็เกิดมี ปรากฏว่ามีในขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ชั่วขณะที่ปรากฏ แล้วไม่มีอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แต่ก็ยังเป็นที่ตั้งของความติดข้องอย่างมากมายมหาศาลด้วยความไม่รู้ จนกระทั่งกระทำทุจริตกรรมต่างๆ ได้ ตอนนี้ก็เห็นภัยเห็นโทษของความติดข้อง แล้วก็รู้ว่าเมื่อในโลกนี้มีแต่รูป ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะให้ไปติดในอะไร ก็ต้องติดในสิ่งที่ปรากฏ
ด้วยเหตุนี้ รูปไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นรส ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นที่ตั้งของความยึดถืออย่างมากมาย จึงเป็นขันธ์หนึ่ง รูปขันธ์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นขันธ์ ทั้งหมด แต่ละหนึ่งๆ ๆ
เสียง ก็เป็นขันธ์ เป็นรูปด้วย ก็เป็นรูปขันธ์ กลิ่นก็เป็นขันธ์ เกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นรูปด้วย เป็นรูปขันธ์ เพราะฉะนั้น รูปขันธ์ทั้งหมดเป็นที่ตั้งของความยินดีติดข้องอย่างยิ่ง จึงเป็นอุปทานขันธ์ ที่ตั้ง
รูปใดก็ตาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของความติดข้องยินดี รูปนั้นเป็น รูปูปาทานขันธ์ ที่จะบอกว่าไม่อยากได้ ไม่มีหรอก จนกว่าจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี ไม่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ แต่แสดงให้เห็นว่าที่ใช้คำว่า เรามีความยินดีติดข้องแม้ในรูป จึงแสดงแยกรูปออกเป็นหนึ่งขันธ์ ที่ติดข้องอย่างยิ่ง เป็นรูปขันธ์ เพื่ออะไร ทำไมเราต้องการรูป
ผู้ฟัง ก็นำมาซึ่งเวทนา
ท่านอาจารย์ เพื่อความรู้สึกที่สุข ที่จะได้รูปนั้น เพราะฉะนั้น ต้องการรูปมาทำไมถ้าไม่นำมาซึ่งความสุข ใช่ไหม แต่ที่ต้องการเพราะเหตุว่า ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาอย่างยิ่ง ไม่ว่าความสุขนั้นจะได้จากอะไร ความสุขนั้นก็เป็นขันธ์ เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เวทนาขันธ์ ความรู้สึก ในภาษาบาลีใช้คำว่า เวทนา มีความรู้สึก ๕ อย่าง ความรู้สึกเฉยๆ เดี๋ยวนี้มีไหม เป็นเราใช่ไหม ถ้าไม่รู้ก็เป็นเรา เห็นผิด นานเท่าไหร่กว่าจะรู้ว่า แม้ความรู้สึกเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ต้องเรียกชื่อเลย ที่บอกว่าเป็นธรรมไม่ใช่มานั่งเรียกชื่อว่า เวทนาเป็นธรรม แต่ภาวะของธรรมซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นอกจากความรู้สึกเป็นอย่างนั้นที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นเวทนาความรู้สึกจะเป็นที่ตั้งของความยึดถืออย่างยิ่ง เป็น อุปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ ๓ คำรวมกัน เวทนา กับ อุปาทาน กับ ขันธ์
เดี๋ยวนี้มีไหม ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีทางละ ทำไมเราถึงได้ต้องการแสวงหาสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข เพราะสภาพจำ สัญญาขันธ์ ถ้าลืม ก็ไม่ต้องการอีกเลย อร่อยมาก สุขมากเท่าไหร่ก็ตาม ลืมแล้ว จะไปต้องการอะไร แต่เพราะเหตุว่า สัญญา สภาพเจตสิกที่จำ ทำหน้าที่ตลอดเวลา สัญญาจึงเป็นสภาพธรรมที่สำคัญ ที่จะทำให้มีการปรุงแต่งต่างๆ โดยโลภะ หรือ โทสะ หรือ ด้วยอะไรก็ตามแต่
ด้วยเหตุนี้ สัญญาเจตสิก จึงเป็นสัญญาขันธ์ เพราะสามารถที่จะนำมาซึ่งการปรุงแต่ง เช่น เห็นคนที่ไม่ชอบ แค่นึกถึงชื่อ ไม่ต้องเห็น เป็นอย่างไร นำมาซึ่งสังขารขันธ์เเล้ว อาจจะปรุงแต่งเรื่องราวให้พิสดารต่างๆ นานาไปอีกมากมายก็ได้ ใช่ไหม
สังขารขันธ์อื่น คือ เจตสิก ๕๐ ทั้งหมดก็เป็นสภาพที่ปรุงแต่ง และอันดับสุดท้ายคือ ธาตุรู้ แม้คำนี้คำเดียว เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ จึงไม่ใช่เจตสิกซึ่งเป็นธาตุรู้ แต่ว่าไม่ใช่จิต เพราะมีลักษณะหลากหลายต่างกันไปเป็น ๕๒ ประเภท เจตสิกแต่ละหนึ่งไม่ใช่จิตเลย
เพราะฉะนั้น กว่าจะสามารถรู้ความต่าง จึงไม่ใช่เรา ถ้ายังคงเป็นจิตและเจตสิกรวมกัน ไม่ได้แยกที่จะรู้ว่าเป็นธรรมต่างชนิด ก็ยังคงเป็นเราอยู่
ด้วยเหตุนี้ การจะละความเป็นตัวตน ต้องด้วยปัญญาจริงๆ ขนาดฟังก็ละคลายการที่จะไปทำผิดๆ แล้ว เพราะรู้ว่าปัญญาสามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เท่านั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถที่จะรู้ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็รู้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าสภาพธรรมจะเกิดดับสืบต่อ ยังปรากฏให้รู้ ด้วยเหตุนี้ ธาตุรู้ซึ่งเกิดดับสืบต่อก็ยังปรากฏ ให้ปัญญาสามารถรู้ชัดในความเป็นธาตุรู้นั้นได้
ผู้ฟัง กรุณาอธิบายความละเอียดของสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา ที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราจริงๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ความต่างของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง จะไม่สามารถเข้าใจได้ แต่รู้ว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึกด้วย เพราะฉะนั้น เห็นยังไม่เกิด แต่มีปัจจัยจึงเกิด เกิดและดับ เพราะขณะนั้นที่คิด ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ค่อยๆ เข้าใจเป็นลำดับไป จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า เพียงปรากฏ เพียงเป็นธาตุรู้
ผู้ฟัง เวลาสภาพธรรมปรากฏ รูปที่สามารถปรากฏทางตาก็เป็นรูปเดียว
ท่านอาจารย์ คือ ยังไม่ต้องไปคิดถึงอย่างนั้นเลย นี่คือ คิด โดยที่ไม่สามารถที่จะรู้อย่างที่กำลังคิด เพราะฉะนั้น ความสามารถที่จะรู้ตามที่ได้ฟัง ต้องตามลำดับด้วยว่าสามารถจะรู้อะไร เช่น ในขณะนี้ ไม่ใช่เราที่จะรู้ ถูกต้องไหม ลืมแล้ว ก็ตั้งต้นผิดเเล้ว เป็นเราจะรู้แล้ว หรือแม้แต่จะคิด เราจะคิดแล้ว ทั้งๆ ที่คิดเกิดแล้วต่างหาก ไม่ใช่เราจะ
ความละเอียดของธรรม คือต้องฟัง และต้องละความเป็นเรา ซึ่งละยากมาก เพราะสะสมความเป็นเรามานานมาก และคอยแทรกอยู่ตลอดเวลา ปัญญาสามารถจะรู้ว่านั่นผิด จึงสามารถที่จะละ แม้แต่ความคิดที่จะไตร่ตรอง หรือที่จะรู้ก็ตามแต่ ให้เข้าใจในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จนกว่าจะถึงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้ให้เข้าใจว่า พระวินัยปิฎกจะสอดคล้องกับพระอภิธรรมปิฎกอย่างไร ในเมื่อพระอภิธรรมปิฎกกล่าวเรื่องของปรมัตธรรม แล้วสาระสำคัญของพระธรรมคำสอน ก็คือหลักของอนัตตา
ท่านอาจารย์ สอดคล้องเพราะเหตุว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แค่คำนี้ เว้นไม่ได้เลย
ผู้ฟัง แม้พระวินัยก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีพระวินัยเพื่ออะไร วินัย (วิ-นัย-ยะ) มีความหมาย ขอเชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น คำว่าวินัย หรือ วินัย (วิ-นัย-ยะ) หมายถึงการนำออกซึ่งกิเลส เป็นการนำออกโดยวิเศษซึ่งกิเลส เป็นการขัดเกลาความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรทั้งหมดเลย แม้ยังไม่มีการทรงบัญญัติพระวินัย แต่ความเข้าใจพระธรรมก็สามารถที่จะขัดเกลาของประพฤติของบุคคลนั้นได้
แต่เพราะเหตุใดจึงมีพระวินัยบัญญัติ ก็เพราะเหตุว่า มีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรเกิดขึ้นจากผู้ที่มีกิเลสอยู่ ซึ่งเป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงประชุมสงฆ์แล้วทรงสอบถามความประพฤติของภิกษุรูปนั้น ว่าได้กระทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ พระองค์ก็ทรงแสดงถึงความจริงว่าเป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร ทรงตำหนิประการต่างๆ ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสทั้งปวง แล้วก็ทรงบัญญัติด้วยความเห็นชอบของคณะสงฆ์ร่วมกันว่า จะเป็นสิกขาบทที่จะศึกษาร่วมกันว่า ความประพฤติอย่างนี้ไม่เหมาะควรอย่างไรที่จะไม่ประพฤติ ก็เป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบัญญัติ เพื่อประโยชน์ในการที่จะให้พระภิกษุทั้งหลาย ได้ศึกษา และประพฤติตามอย่างถูกต้อง
ท่านอาจารย์ พระวินัยนำกิเลสออก เป็นปรมัตถธรรมรึเปล่า
ผู้ฟัง ต้องเป็นปรมัตธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ทุกอย่างเป็นธรรม มีลักษณะเฉพาะของตน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง ธรรมที่จะนำกิเลสออกก็ไม่ใช่เป็นสัตว์บุคคล
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดต้องเป็นธรรม ต้องเป็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน ๔ อย่างที่เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งถ้าไม่เข้าใจบางคนก็คิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่ความจริงไม่ใช่เลย ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ ให้รู้ตามความเป็นจริง
เมื่อครั้งที่ยังไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีคนที่เห็นโทษของกิเลส แต่ไม่สามารถที่จะรู้หนทางที่จะดับกิเลสก็พยายามโดยวิธีต่างๆ เมื่อมีการตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงธรรม ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรม คือ คำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริง คือ รู้จักตัวเองซึ่งเป็นธรรม ว่าสะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจตนเอง ด้วยปัญญาถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สะสมมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น อย่างผู้ที่สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ก็ไม่บวช ท่านอนาถบิณฑิก ไม่บวช วิสาขามิคารมารดา ไม่บวช จิตตคฤหบดี ไม่บวช และก็เป็นพระอริยบุคคลได้ถึงขั้นพระอนาคามีบุคคล เพราะเหตุว่าเพศบรรพชิตเป็นเพศของพระอรหันต์ ผูัที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็สามารถเข้าใจธรรมแล้วก็ดับกิเลสได้ ต่อเมื่อใดบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสแล้ว ก็จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกไม่ได้ต่อไป เพราะฉะนั้น เพศ เครื่องหมายของบรรพชิต หรือภิกษุในพระธรรมวินัย เป็นเพศของพระอรหันต์
ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงแล้วก็จริงใจ คนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย แต่บอกว่าเป็นชาวพุทธ ถูกไหม เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ คือใคร
ผู้ฟัง คือ ผู้ที่รู้
ท่านอาจารย์ คือ ผู้ที่เข้าใจธรรม ทิ้งคำนี้ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ชาวพุทธ คือผู้ที่เข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะกล่าวว่าเป็นชาวพุทธไม่ได้
ผู้ฟัง ในสมัยพุทธกาลมีตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ที่เข้ามาแล้วก็ทำเรื่องเป็นต้นบัญญัติ ท่านก็ไม่ได้เข้าใจธรรมก่อนที่จะมาบวช ถ้าเข้าใจธรรมแล้วท่านคงไม่เข้ามาบวช เพื่อที่จะมาทำเรื่อง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน บวช หมายความว่า รู้จักพระพุทธศาสนาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือไม่ได้ยิน ได้ฟังเลยทั้งสิ้นแล้วก็บวช หรือว่าได้ยินได้ฟัง จึงบวช แต่ว่าความเข้าใจแค่ไหน อีกเรื่องหนึ่ง ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละท่าน
ท่านอาจารย์ เมื่อเข้าใจว่าตนเองสามารถที่จะเป็นเพศบรรพชิตได้ เข้าใจตนเอง ถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับปัญญา ซึ่งคนที่อยากบวชมีมาก แต่คนที่เข้าใจจริงๆ ว่าสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ตายแล้วจากเพศคฤหัสถ์ เกิดใหม่ในเพศของภิกษุตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ศีล เป็นกำเนิดของภิกษุ ทำให้เกิด ภาวะความเป็นภิกษุ ผู้ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็ต้องเป็นเรื่องที่ตรงและจริงใจ
ผู้ฟัง แสดงว่า ผู้ที่บวชเข้ามาโดยที่ไม่ได้ศึกษาธรรมก่อน ไม่ได้เข้าใจธรรมก่อน ก็ไม่เข้าใจตัวเอง
ท่านอาจารย์ คิดว่าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ได้ยินคำนี้จึงบวช ไม่งั้นจะบวชได้อย่างไร ถูกต้องไหม ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ๆ ที่บวชกันต้องได้ยินคำว่า พุทธ ต้องได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และกิเลสยังมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย
เพราะเหตุว่า บางคนเข้าใจว่าตนเองสามารถสละอาคารบ้านเรือน แต่เมื่อบวชแล้ว ตามกำลังของกิเลสที่สะสมมาทำให้มีความประพฤติไม่ใช่อย่างบรรพชิต เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ ชี้แจงให้เห็น ให้เข้าใจถูกต้องตรงกันตามความเป็นจริงว่า สมควรไหมที่จะประพฤติอย่างนี้ ไม่สมควรที่จะประพฤติอย่างนั้น
แสดงให้เห็นว่าเป็นที่รับรองพร้อมกัน พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าใจถูกต้อง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ เพื่อที่จะให้ภิกษุทั้งหลายได้ประพฤติอย่างเดียวกัน ได้อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก มิฉะนั้นต่างคนก็ต่างทำอะไรตามใจชอบ
เพราะฉะนั้น ผู้นั้นบวชแล้ว ฟังธรรมต่อไป เข้าใจมากน้อยแค่ไหน และกิเลสที่สะสมมามากมายมหาศาลซึ่งมองไม่เห็นเลย ถ้ายังไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น ต่อเมื่อใดมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว ความประพฤติเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับการที่จะเป็นภิกษุ พระวินัยมีความละเอียดมาก เป็นการขัดเกลากิเลสจริงๆ ไม่ใช่ เทียม คืออยากเป็น แต่ทำไม่ได้ หรืออยากเป็นภิกษุ แต่อยากมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ก็ไม่ตรง
เพศนี้เป็นเพศที่สูงมาก ต่างกับคฤหัสถ์ราวฟ้ากับดินก็ได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตทุกประการ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
แต่ภิกษุในพระธรรมวินัยทุกรูปอยู่อย่างผาสุก เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ ก็มีสองเพศ คือ เพศบรรพชิต กับเพศคฤหัสถ์ ไม่ได้บังคับเลย เพราะว่าเป็นสภาพธรรมซึ่งใครจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นอนัตตา ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามอัธยาศัย แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง
ผู้ฟัง ผู้ที่รู้ตัวเองว่า ไม่สามารถที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัยได้ ท่านก็คงจะต้องพิจารณาตัวเองว่า ไม่ควรอยู่ในเพศบรรพชิตอีกต่อไป ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาที่รู้โทษว่า ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสตามพระธรรมวินัยเป็นโทษอย่างหนัก เหมือนโจร มีผู้ที่กล่าวว่า เหมือนโจรอาศัยที่กำบัง เพื่อกระทำโจรกรรม
อ.กุลวิไล หลายๆ คนเขาอาจจะคุ้นเคยกับความเป็นชาวพุทธ ด้วยการที่เข้าวัดแล้วก็ไปทอดกฐิน ทำบุญต่างๆ แต่การสนทนาธรรมอย่างนี้ เขาก็อาจจะไม่เข้าใจว่า ลัทธิอะไร คุยเรื่องอะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของการไตร่ตรอง เป็นผู้ตรง และก็พิจารณาด้วยความรอบคอบ ไปวัด วัด คืออะไร ถ้าตอบยังไม่ได้ จะให้ไปวัดทำไม ต้องรู้ก่อนว่า วัดคืออะไร
อ.คำปั่น วัด อาราม (อา-ราม-มะ) สถานที่ ที่ควรแก่การยินดี นำมาซึ่งความยินดี ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เหมาะควรสำหรับเพศบรรพชิตที่จะได้อาศัยอยู่ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่ว่าเพื่อศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น วัด หรือว่า อาราม ในพระพุทธศาสนา ต้องเป็นสถานที่ที่ไม่ใช่เหมือนอย่างที่อยู่ของคฤหัสถ์ ต้องเป็นสถานที่ที่เหมาะควรกับเพศที่สูงยิ่งจริงๆ ก็คือ เพศบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่สละแล้วซึ่งความเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ
ท่านอาจารย์ วัด ไม่มีในภาษาบาลี วัด เป็นภาษาไทย มาจากคำภาษาบาลี หรือภาษามคธี ว่า อาราม เป็นที่น่ารื่นรมย์ยินดีในความสงบ ต่างกับรื่นรมย์ยินดีนอกวัดใช่ไหม นอกวัดความรื่นรมย์ยินดีด้วยกิเลส แต่ว่าในความสงบ ต้องต่างจากที่อื่น เพราะฉะนั้น วัด หรือ อาราม ต้องไม่ใช่บ้านเรือน ต้องไม่ใช่ตลาด ต้องไม่ใช่ที่อื่นทั้งหมด แต่เป็นที่สงบจากกิเลส และหาความสงบอย่างนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้สึกในความน่ารื่นรมย์ยินดียิ่งในความสงบจากกิเลส
วัด ต้องเป็นที่ที่ต่างจากที่อื่น ในครั้งพุทธกาล พระวิหารเชตวัน คนที่ไปที่นั่น ไปทำไม ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย แต่ไปฟังธรรม ถ้าวัดนั้นไม่มีธรรมให้ฟัง เป็นวัดหรือเปล่า ชื่อว่า วัด แต่ไม่ใช่วัด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
