ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
ตอนที่ ๑๑๒๕
สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เสียงมีจริงๆ เป็นภาษาอะไร เฉพาะเสียง เป็นภาษาอะไร
ผู้ฟัง เฉพาะเสียงยังไม่ได้กำหนดว่า เป็นภาษาอะไร
ท่านอาจารย์ เสียงนกก็มี ภาษานกหรือ? เสียงกา เสียงไก่ เสียงคน เสียงแมว เสียงสุนัข เสียงเป็นเสียง แต่ว่า ภาษา หมายความถึงว่า เสียงนั้นๆ มีสภาพที่ทรงจำแล้วก็คิดคำ จนกระทั่งสามารถที่จะสื่อสารกันได้ว่า คำนี้หมายความถึงอะไร จึงเป็นแต่ละภาษา ซึ่งเสียงเป็นเสียงแน่นอน แต่คิดความหมายของเสียงนั้น โดยที่เป็นภาษาแต่ละภาษา เพราะฉะนั้น เสียงก็เป็นธรรม
ผู้ฟัง หมายความว่าที่พูดมาแล้ว ตอนที่ยังไม่รู้จักคำนั้นคือ เป็นการพูดโดยการที่ทรงจำแล้วก็คิดคำ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักอะไรเลย แม้แต่เกิดมาก็ไม่รู้จักว่า อะไรเกิด เป็นอย่างนี้ทุกวันก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดทุกวันก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้แต่ว่าคิด กำลังคิด รู้ แต่คิดเป็นอะไร ไม่รู้จักตัวคิดเลย ไม่รู้จักธรรม สิ่งที่มีจริงที่คิด ถ้าไม่มีธรรม จะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี แต่เมื่อมีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นถึงที่สุดโดยถ่องแท้ได้ จนกว่าจะได้บำเพ็ญบารมีด้วยการรู้ว่าสิ่งนี้มี และความจริงของสิ่งนี้คืออะไร ใครเคยคิดอย่างพระโพธิสัตว์บ้าง กำลังเห็น เห็นมี ชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มี คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็มี แล้วขณะนั้นๆ เป็นอะไร ไม่มีใครเคยคิดเลย
ความคิดของแต่ละคนต่างกันหลากหลายมาก กว่าพระโพธิสัตว์จะคิดถึงว่า ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ต้องเป็นจริงที่ยังไม่ได้ปรากฏแต่ละหนึ่งๆ ก็ต้องอาศัยการที่ได้พิจารณาไตร่ตรอง มีปัญญาที่รู้ว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่งคือ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย และเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงก็รู้ได้ เพราะเหตุว่าทำไมไม่เห็นตลอดเวลา แล้วก็คิดในขณะที่ไม่เห็นก็มี
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีทุกอย่างคืออะไร จึงได้เริ่มบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่มีความจริงเป็นอย่างไร ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงอย่างนั้นได้ โดยการทรงบำเพ็ญพระบารมีด้วยประการทั้งปวง ยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น จึงสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เห็นเกิดและดับ รู้จักเห็นหรือยัง หรือกำลังฟังเรื่อง เห็นที่กำลังเห็น แค่นั้นเอง
ผู้ฟัง จะต้องฟังต่อไป เพื่อที่จะค่อยๆ รู้จักคำที่พูดขึ้น
ท่านอาจารย์ เป็นผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสาวก ซึ่งเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มี จากคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ๔๕ พรรษา ต้องศึกษาพิจารณาไตร่ตรองโดยรอบคอบลึกซึ้งว่า ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย รู้สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้เอง
ผู้ฟัง ที่เคยพูดคำที่ไม่รู้จักก็คือ ไม่รู้จักที่สุดของสิ่งนั้นว่าคืออะไร
ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักความจริงของสิ่งนั้น
ผู้ฟัง ไม่รู้จักความจริงของสิ่งนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อจุดประสงค์ที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง ที่ว่ารู้ทุกอย่างเป็นความจริงแล้ว มีประโยชน์อย่างไรที่ว่าทุกคน หรือ ผู้ที่ได้รับฟังแล้วจนกระทั่งเข้าใจแล้วจะละซึ่งความเป็นจริงนั้นได้
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่ารู้แล้วจะทำอะไร ก็ยังไม่รู้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ยังไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังไม่ได้รู้แล้ว โดยมากเราคิดว่าจะทำอะไรต่อไป ใช่ไหม รู้แล้วว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วจะทำอะไรต่อไป แต่ตามความเป็นจริง รู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา เป็นธรรม แม้แต่บอกขณะนี้ เป็นธรรม ก็ยังมีข้อความต่อไปอีกว่า ธรรมนั้นไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น กว่าเราจะละความติดข้องที่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนี้เกิดดับ จนสำคัญผิดว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ก็ต้องอาศัยการฟัง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง เป็นสภาพที่เกิดขึ้นแล้วก็จางหายไป หรือดับไปทันที เเล้วไม่กลับมาอีกเลย
ท่านอาจารย์ ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพูดตามได้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่เรา แต่เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้น ยังเป็นเราอยู่ จนกว่าจะไม่ใช่เรา
ผู้ฟัง ขณะที่เห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ยังเป็นเราอยู่หรือ
ท่านอาจารย์ ฟังว่า ไม่ใช่เรา ก็ยังเป็นเราที่เห็น เป็นเราที่กำลังคิด เป็นเราที่กำลังสงสัยว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีอาการละ ที่ปรากฏว่าละ โดยไม่รู้ความจริง
ขณะนี้ที่ได้ยินคำว่า ธรรม แล้วรู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมมีจริงหรือเปล่า ได้ยินคำภาษาบาลี ธรรม ภาษาไทย คิดต่างๆ นานาถ้าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ไม่ได้ศึกษาว่า ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าอะไรที่มีจริง มีจริงๆ ธรรมคือมีจริงๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงๆ ก็ต้องมีจริง อีกภาษาหนึ่งก็ใช้คำว่า เป็นธรรม ในขณะที่เริ่มรู้ว่าธรรมคืออะไร นั่นละความไม่รู้ ไม่ใช่ไปละอะไรเลย ละที่ไม่รู้อย่างมากมายมหาศาลจากการที่ได้เริ่มฟังธรรม ซึ่งแต่ละคำเริ่มเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เเล้วแต่ว่าจะเปิดเผยเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ลึก จนกระทั่งถึงที่สุดที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นธรรม
เริ่มต้นด้วยการฟังคำ และเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เท่านี้ ถ้าไม่มั่นคง เราได้ยินคำนี้ เราก็เข้าใจแล้วว่าเป็นธรรม แต่นั่นคือ ยังไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร คิดก็เป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นเราก็เป็นธรรม คือไม่มีอะไรเว้นเลยสักอย่างเดียว เป็นธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นการไตร่ตรองจริงๆ มั่นคงจริงๆ เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ เดี๋ยวนี้ถ้าใครถามว่า ธรรมคืออะไรก็ตอบได้ แค่ตอบได้ แต่ว่าเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงว่า ยังไม่ถึงการที่ประจักษ์แจ้งตามที่ได้พูดว่า ธรรมขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป
แต่ละคำ เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ที่ได้ฟังแล้วจะต้องไตร่ตรองจนกระทั่ง เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ทิ้งไปเลย แต่หมายความว่าฟังแล้วว่าเป็นธรรม เกิดขณะนี้จึงมี แล้วก็ดับไป ยังไม่ถึงระดับขั้นที่ประจักษ์แจ้งอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะพระองค์ได้ตรัสรู้ความจริงอย่างนี้ พระองค์ไม่ได้ตรัสรู้ความจริงอื่นเลย นอกจากรู้อย่างทุกคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เพราะฉะนั้น ละอะไร ละการที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ไม่เคยรู้เลย คนโน้นบอกว่าธรรมคืออย่างนี้ คนนี้บอกว่าธรรมคืออย่างนั้น แต่ว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ นี้ในอีกภาษาหนึ่งว่า ธรรม แต่ก็หมายความถึงทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้นั่นเอง
ผู้ฟัง ขณะนี้ฟังแล้วเข้าใจ ตรงนี้ก็ยังเป็นเราอยู่เสมอ
ท่านอาจารย์ ความเข้าใจก็เป็นธรรม เว้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เว้นหรือเปล่า ทุกอย่าง เว้นหรือเปล่า ไม่เว้นเลย เป็นธรรม หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่หลากหลายมาก เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
คำว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ก็ต้องไตร่ตรองให้มั่นคงเก็บไว้ในใจ สะสมอยู่ที่จะได้ยินอีกก็ไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคงว่าไม่ว่าอะไรทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น สะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่ กี่ชาติในสังสารวัฏฏ์
ผู้ฟัง เท่าที่ศึกษามาก็มีความเข้าใจว่าเกิดมาหลายๆ ชาติแล้ว ไม่ใช่มีชาตินี้ชาติเดียว
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดถึงการบำเพ็ญบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์กว่าจะได้ตรัสรู้ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าฑีปังกรแล้ว ๔ อสงไขยแสนกัปป์ แล้วเราไม่ได้ตั้งต้นอย่างนั้น ยังไม่ได้มีความมั่นคงอย่างนั้น ยังไม่ถึงเวลานั้น แต่เดี๋ยวนี้อาจจะเป็นการตั้งต้นของผู้ที่เริ่มเป็นสาวกโพธิสัตว์ก็ได้ เพราะว่าโพธิหมายความถึง ปัญญาที่รู้ความจริง สัตว์ คือ ผู้ที่ข้อง
เพราะฉะนั้น เราข้องอยู่ในโลก ในรูป ในความสนุก ในชีวิตที่เราเพลิดเพลิน แต่ว่ามีผู้ที่ข้องที่จะรู้ความจริงเมื่อไหร่ บุคคลนั้นเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมี ๓ ระดับ พระมหาโพธิสัตว์ และพระมหาสัตว์คือ ระดับสูงที่สุดไม่มีใครเปรียบได้เลย ในสากลจักรวาลทั้งหมดจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทีละหนึ่งพระองค์เท่านั้น เพราะไม่มีบุคคลใดมีปัญญาเสมอ ดังนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์ไม่ได้
แค่ฟังอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าที่เรากำลังฟังว่า ทุกอย่างเป็นธรรมลึกซึ้งแค่ไหน เป็นความจริงแค่ไหน กว่าจะรู้ว่าทุกอย่างจริงๆ สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ มีจริงๆ คือ เกิดขึ้นมีจริง แล้วก็ดับไป ไม่ใช่ใครเลยสักคน แค่คำแรก คำต้น ส่วนการที่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ ละอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ได้ก็ต้องอาศัยแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่าสัตว์โลกมืดด้วยความไม่รู้ สะสมความไม่รู้ แม้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับก็ไม่รู้ แต่เป็นความจริงที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง จากความไม่รู้เลยค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็เป็นผู้ตรงว่าเพื่อละความไม่รู้
ผู้ฟัง ในเรื่องของความชอบ หรือ ความต้องการ จะมีลักษณะคล้ายๆ ว่าเป็นธรรม ซึ่งแค่นั้นเองก็เป็นความชอบแล้ว
ท่านอาจารย์ แต่ความชอบมีจริง ความชอบเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ชอบมีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ชอบเป็นชอบ หรือ ชอบเป็นเรา
ผู้ฟัง ชอบเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ถูกหรือผิด ชอบเป็นเรา ชอบเกิดขึ้นและหมดไป เราอยู่ไหน ขณะที่พูดเราอยู่ไหน
ผู้ฟัง เป็นเราแล้ว
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเลย ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ เพราะเราไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง ไม่ใช่ผู้ที่จะไปคิดเรื่องอื่นเองต่อจากที่ได้ฟัง แต่ละคำต้องไตร่ตรอง พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งจะต้องฟังต่อไปว่า สิ่งที่มีจริง มีแต่ละหนึ่งๆ ๆ แยกขาดจากกัน ปนกันไม่ได้เลย หวานกับเห็น เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง ได้ยินกับคิด เหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ต่างกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งๆ ๆ ใช่ไหม ค่อยๆ เข้าใจเพื่อละความไม่รู้ ขณะนี้ก็คือไม่รู้ว่า แท้ที่จริงความไม่รู้มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าจากอันธพาลปุถุชน ผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลสด้วยความไม่รู้มากมืดมิด อันธ มืดสนิทเลย กับมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าฟังต่อไป และมีความเข้าใจแต่ละคำ ต่างกันอีก ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ยิ่งเข้าใจมากๆ หลายๆ คำเพิ่มขึ้นจนชิน ต่างจากที่ไม่ได้ฟังใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่สภาพธรรมปรากฏกับปัญญาที่ถึงเฉพาะลักษณะเดียว ทีละหนึ่ง จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า ลักษณะนั้นไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด ชอบเป็นชอบ ถ้าสภาพธรรมเหล่านั้นปรากฏกับการอบรมเจริญปัญญาที่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเห็นความต่างของสภาพธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่า ขณะนั้น หนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏ เป็นการเห็นแจ้ง รู้แจ้งตามความเป็นจริง มิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะละการยึดถือสภาพธรรมที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ผู้ฟัง ผมห่วงตัวเองว่า ความยาก
ท่านอาจารย์ ห่วงตัวเอง คือเพิ่มความเป็นตัวตนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้ง มหาสมุทรลึกซึ้ง ค่อยๆ ลุ่มลึกทีละเล็กทีละน้อย จากชายฝั่งลงถึงก้นมหาสมุทร เดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน ยืนอยู่ตรงไหน เห็นอะไรที่อยู่ใต้มหาสมุทรบ้าง พูดถึงเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ สภาพธรรมที่เข้าใจ เกิดเมื่อได้ยินได้ฟังคำที่จริง แสดงความจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้น ความเข้าใจมีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นยังหลงผิด ยึดถือสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา สภาพธรรมเกิดบ่อย ความไม่รู้เกิดบ่อย
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ได้เข้าใจธรรมทีละคำ ค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะเกิดบ่อยใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ มีหนทางอื่นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไปสำนักปฏิบัติจะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังเกิดดับขณะนี้ได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลยเพราะไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง
อย่าลืมตัว มัวเมา ในชีวี เพราะคิดว่ามีเรา ลืมแล้ว ลืมตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่า ตัวคืออะไร ทั้งหมดเป็นคำที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่งทุกประการ
ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ เข้าใจได้ ทำไมจะเข้าใจไม่ได้ ก็มีจริงๆ ให้รู้อยู่ ถ้าไม่มีจริงๆ เเล้วไปพูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง อย่างนั้นใครจะไปเข้าใจได้เพราะไม่มี แต่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ละ เป็นเรื่อง ละ อยากละให้หมดกิเลส แต่ไม่รู้ว่ากิเลสอยู่ที่กำลังไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
ด้วยเหตุนี้ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำลึกซึ้งจึงต้องไตร่ตรอง และเมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้นขณะนั้น ละ ไม่มีตัวเราไปละเลย ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่ละความไม่รู้ซึ่งมีมาก
ผู้ฟัง มากจนกระทั่งเกิดความเป็นเราที่ท้อแท้ขึ้นมา
ท่านอาจารย์ ท้อแท้เป็นธรรม หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ มีประโยชน์ไหม
ผู้ฟัง เกิดเรื่อย
ท่านอาจารย์ ปัญญาเท่านั้นจึงเห็นว่า อะไรเป็นโทษ ไม่มีประโยชน์ และอะไรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่นำมาซึ่งโทษภัยใดๆ เลย เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง มีเสียง
ท่านอาจารย์ เสียงมีจริง ภาษาบาลีธรรมดา เสียงเป็นธรรม ภาษาไทย คือ เสียงมีจริง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เสียงเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ ใครไปทำให้เสียงเกิด
ผู้ฟัง ไม่มีใคร เป็นสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ แต่เสียงเกิด แสดงว่าต้องมีสิ่งที่อาศัย เป็นสิ่งที่ทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้นได้
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เลย แม้เเต่เห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตาได้ เห็นเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เห็นมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ตา มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏ มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ ขณะที่เห็น อะไรเป็นเรา
ผู้ฟัง ไม่มีเลย
ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เห็นก็เป็นเห็น ตาก็เป็นตา สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นสิ่งที่ปรากฏ ถ้ามีคนบอกว่าเห็นไม่จริง เขาก็พูดไป แต่เห็นมีจริงๆ เขาจะบอกว่าเห็นไม่จริงก็เรื่องของเขา แต่ความจริงคือ เห็น มีแน่นอน และกำลังเห็น กำลังมีจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดเป็นภาษาไทย เห็นก็ต้องเป็นเห็น ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าตอบอย่างนี้ เห็นไม่ใช่เรา ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่ เพราะเห็นต้องเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะว่า เห็นต้องเป็นเห็น คำทุกคำเปลี่ยนไม่ได้เลย เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เห็นเป็นคิดไม่ได้ คิดเป็นเรา ใช่ไหม
ผู้ฟัง คิดเป็นคิด
ท่านอาจารย์ คิดไม่ใช่เรา ชอบเป็นชอบ ใช่ไหม
ผู้ฟัง เป็นอาการชอบ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้ ภาษาบาลีแปลเป็นภาษาไทยว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีจริง เพราะเกิดขึ้นและก็ดับไป ไม่เที่ยง คำต่อไปที่คนไทยได้ยินบ่อยๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ซึ่งก็ไม่มีใครเปลี่ยนเเปลง
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ หมดแล้ว อยู่ไหน เป็นของใคร ปุถุชน ปุถุ หนาแน่นด้วยความไม่รู้ด้วยกิเลส
เพราะฉะนั้นจากการที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังเลย เป็นอันธพาลปุถุชน ก็มาสู่ความเป็นกัลยาณปุถุชน กัลยาณ คือ ดีงาม มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง สิ่งซึ่งใครก็ไม่สามารถจะเปิดเผยได้เลย เพราะเหตุว่า ปกปิดไว้ด้วยการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว สุดที่จะประมาณที่ใครจะหยั่งรู้ได้ แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุดทั้งหมดโดยประการทั้งปวง พระธรรมที่ทรงแสดงเปรียบได้กับใบไม้เพียงสองสามใบ แต่ใบไม้ในป่ามีมากกว่านี้
เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณของพระองค์เสมือนใบไม้ในป่า แต่ที่ทรงแสดงก็เท่าที่สัตว์โลกสามารถจะรู้ได้ สามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ปัญญาไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังและเข้าใจ ความเข้าใจละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง ความเข้าใจที่เกิดขึ้นก็ไม่มั่นคง พูดตามได้ ถามตอบได้ แต่ความเข้าใจนั้นก็ไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ เพราะมีความเดือดร้อนเมื่อทราบว่ายังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังไม่มั่นคงในคำว่า ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ความเดือดร้อนเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง ความเดือดร้อนเกิด
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนความเดือดร้อนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ห้ามไม่ให้เกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นความเดือดร้อน
ผู้ฟัง ความจริง คือ เป็นความเดือดร้อน
ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง เพราะฉะนั้นประโยชน์ก็คือว่า หลังจากที่ได้ฟังมาแล้ว ก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นเราตลอดเวลา
ผู้ฟัง ยังเป็นเราอยู่ ก็ไม่ต้องเดือดร้อน
ท่านอาจารย์ จนกว่าทุกอย่างมีจริงๆ เป็นธรรม
ผู้ฟัง ซึ่งถ้าเข้าใจแบบนี้แล้ว สภาพความท้อแท้ก็ไม่น่ามาทำให้เดือดร้อนมาก
ท่านอาจารย์ ควรจะเบิกบานไหม
ผู้ฟัง ควร
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วงใยในความเป็นเราอีกต่อไป เพราะว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เดือดร้อนเกิดแล้วยังเดือดร้อนต่ออีก หรือว่าเดือดร้อนเกิดแล้วก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ใช่ของใคร แล้วก็หมดไปแล้วด้วย
ผู้ฟัง นี่คือความปกติธรรมดาของปุถุชนที่มาศึกษาพระธรรม แล้วปัญญายังไม่เจริญก็ต้องเป็นแบบนี้
ท่านอาจารย์ และถ้าปัญญาเจริญ ปัญญาก็ไม่ใช่รู้อย่างอื่น รู้ความเป็นจริงตามปกติ ซึ่งก่อนนั้นไม่รู้ เมื่อวานนี้ก็เห็น เห็นเมื่อวานนี้อยู่ไหน
ผู้ฟัง ไม่มีแล้ว
ท่านอาจารย์ แล้วเห็นวันนี้ พรุ่งนี้มีไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เห็นเมื่อครู่นี้ กับเห็นเดี๋ยวนี้ก็ต่างกันแล้ว
ผู้ฟัง รวดเร็ว
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ รู้ความจริงละเอียดขึ้นว่าทุกคำคือ ไม่ใช่เรา และไม่มีเรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเกิดปรากฏว่ามีแล้วก็ดับไป คำพูดสั้นๆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏว่ามี เกิดขึ้นปรากฏว่ามีสิ่งนั้น แล้วดับไป แล้วจะมีไหม ดับไปแล้ว
ผู้ฟัง ดับไปแล้ว ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่เหลือเลย อย่างนี้ทุกอย่าง เห็น ปรากฏว่ามี กำลังเห็น เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตอนเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่ได้ปรากฏ แต่เป็นความจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ก็คือ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับไป แต่เกิดดับสืบต่อจนเหมือนไม่มีอะไรดับเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
