ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
ตอนที่ ๑๑๑๙
สนทนาธรรม ที่ เวลเนสซิตี้ บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่รูปก็มี ไม่ใช่ไม่มี มีสภาพธรรมที่เกิด ไม่ใช่ไม่เกิด แต่หลากหลายเป็นรสบ้าง เป็นเสียงบ้าง เป็นกลิ่นบ้าง ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริงแล้วก็ดับไป ทั้งหมดเป็นของใคร นอกจากจะเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เพราะใครไปทำให้เกิด หรืออยากให้เกิดก็เกิด คนตาบอดอยากเห็นไหม แล้วเห็นไหม ทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม ก็ค่อยๆ เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม เพื่อรู้ว่าทั้งหมดไม่พ้นจากธรรมที่เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป แต่เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่รู้สักอย่าง ก็เป็นเราหมดทุกอย่าง
ผู้ฟัง ถ้าเป็นผู้ตรงก็สามารถฟังตรงนี้เข้าใจได้ ที่จะเกิดปัญญาฟังเข้าใจ กับฟังไม่เข้าใจ ซึ่งสำคัญมากในการที่จะตั้งต้นฟังคำจริงที่จะทำให้เข้าใจความจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคำต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่เราตอนตายแล้ว ใช่ไหม ไม่มีเราอีกแล้ว ตายแล้วจะมีเราได้อย่างไร แต่ตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีเรา จนกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นสภาพธรรมมีปัจจัยก็เกิดขึ้นหลากหลาย เป็นก็เป็นธรรม ตายก็เป็นธรรม เกิดอีกเป็นธรรม เห็นอีกก็เป็นธรรม ไม่พ้นจนธรรม เมื่อไหร่ที่เข้าใจธรรม ตั้งแต่ต้นจากความไม่รู้จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็คือเข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้นยังไม่เป็นพระอรหันต์ใช่ไหม แต่เกิดแล้วไม่รู้ ก็ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นก็คือว่าเข้าใจธรรมนั่นเองว่าเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้ฟังธรรมก็เป็นเราฟังธรรม ใช่ไหม ยังไม่หมดความเป็นเรา เพราะสภาพธรรมแต่ละหนึ่งไม่ได้ปรากฏให้รู้ว่าสิ่งนั้นเกิด แล้วดับ แต่เกิดดับสืบต่อเร็วมากเลยจนกระทั่งไม่ประจักษ์ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดดับเลยทั้งๆ ที่เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน ก็ยังไม่รู้ว่าเห็นดับไปแล้ว ได้ยินถึงมี หรือไม่รู้ว่าได้ยินดับไปแล้วจึงเห็น เพราะรวมกันมีอยู่ตลอดเวลา โดยการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ได้ลวง เหมือนนายมายากล รู้ไหมว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น แต่เพราะความรวดเร็วของความชำนาญที่ทำให้สิ่งนั้นปรากฏเป็นเช่นนั้นได้ฉันใด จิตก็เป็นเหมือนนักมายากล เกิดดับเร็วจนกระทั่งเหมือนกับว่ามีคน มีโลก มีทุกอย่าง แต่แตกย่อยได้ไหม ได้หมดเลย ทั้งตัวคนแตกย่อยออกไปได้ เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุ ความว่างเปล่าแทรกอยู่ละเอียดยิบ ทุกอย่างแตกย่อยได้เป็นแต่ละส่วน แต่ละส่วนถึงเล็กที่สุด ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูป แต่ละรูปๆ ๆ รวมกันอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป
ถ้าไม่ฟังอย่างนี้จะเข้าใจไหมว่าไม่มีเรา ยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ถ้าไม่ฟังเมื่อไหร่ก็เป็นเราไปเรื่อยๆ ทุกชาติ ถ้าไม่มีการฟังปัญญาขั้นต่อไปก็เจริญขึ้นไม่ได้ ตอนเช้ากับตอนนี้ความเข้าใจต่างกันไหม แม้สักเพียงเล็กน้อย เพราะได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก สนทนากันเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วๆ เล่าๆ แล้วก็มีความเข้าใจ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ก็มาจากการฟัง แล้วถ้าฟังต่อไป ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงไหม เป็นธรรมไหม ก็เป็นผู้ตรง ก็กำลังเห็น และภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ภาษาไทยก็คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นถามว่าเห็นมีจริงไหม ตอบว่าไม่รู้ได้ไหมในขณะที่กำลังเห็น ก็ไม่ตรง
ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยแนะนำว่า ทำอย่างไรจะได้เกิดในชาติต่อไปเพื่อจะได้ฟังธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น
ท่านอาจารย์ ถ้าสนใจฟังเดี๋ยวนี้ และต่อๆ ไปนั่นเป็นเหตุที่จะให้ได้ฟังธรรมในชาติต่อๆ ไปด้วยเหมือนชาตินี้ต้องมาจากชาติก่อนๆ ทำไมบางคนไม่มาฟังเลย แต่บางคนฟัง และเห็นประโยชน์รู้ว่าควรจะได้ฟังต่อๆ ไปทุกชาติที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ไม่ต้องห่วงเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัย แม้แต่จะอยู่ตรงนี้ก็เพราะปัจจัย แม้แต่จะได้ยินคำนี้ก็เพราะปัจจัย แม้แต่ฟังแล้วคิดอย่างนี้ก็ตามการสะสมซึ่งสะสมที่จะให้เป็นอย่างนี้ เพื่อความเข้าใจว่าเป็นธรรมเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง ถ้าใช้แรงอธิษฐานได้ไหมว่า ขอให้เกิดเป็นมนุษย์จะได้ฟังธรรมต่อ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ทั้งหมดของพระธรรมละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจทุกคำเริ่มต้นด้วยคืออะไรก่อน เราก็จะเข้าใจชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นอธิษฐานคืออะไร
ผู้ฟัง อธิฐานก็คือ พูดซ้ำๆ สิ่งที่อยากได้
ท่านอาจารย์ ความตั้งมั่นคง ถ้าเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม ฟังทุกวันเช้าบ่ายค่ำดึก ไม่ต้องพูดก็เหมือนอธิษฐานไหม มั่นคงแล้วที่จะฟัง แต่ถ้าพูดว่าขออยู่นั้นแล้ว แต่ไม่เคยทำเลย ไม่เคยฟังเลย มั่นคงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่เจตนาความตั้งใจที่เป็นกุศล เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้ว ขณะที่กำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้เป็นกรรมที่จะให้ผลข้างหน้า แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมอีกต่อไปด้วย
ผู้ฟัง เคยได้ยินว่าลมสุดท้ายสำคัญมากว่าจะไปภพภูมิไหน ไม่ทราบอาจารย์จะมีทางชี้แนะอย่างไร
ท่านอาจารย์ ชี้แนะไม่ได้เลยนอกจากเข้าใจถูกต้องว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วแต่กรรมหนึ่งที่ได้ทำแล้วพร้อมที่จะทำให้จิต ซึ่งเกิดต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ซึ่งใช้คำว่าจุติ เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้คือตาย จิตต่อไปเกิดทันทีโดยกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเลือก หรือให้สภาพที่เป็นกรรมหนึ่งกรรมใดเกิดขึ้นดังใจ เกิดแล้วเป็นคนนี้ ก่อนจะเกิดเป็นคนนี้ ตั้งใจจะเกิดเป็นคนนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ได้ตั้งใจ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมตามปัจจัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่จะเกิดไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย แม้แต่การเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม แล้วก็มีศรัทธา จิตผ่องใสไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ แต่ว่ามีความผ่องใสที่จะได้ฟังอีก เพื่อที่จะเข้าใจอีกนั่นก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ได้ฟังอีก ความตายเกิดขึ้นได้ทุกขณะหรือเปล่า
ผู้ฟัง ทุกขณะ
ท่านอาจารย์ ทำเดี๋ยวนี้ได้ไหมว่าจะเอาอะไรก่อนตาย ทำได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่ถ้าทำดีเสมอแล้วก็ไม่ประมาท และก็รู้ว่าแม้แต่กรรมดีที่ทำชาตินี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ผลในชาติต่อไป เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้เรื่องกรรม และผลของกรรมได้ แต่มีจริง เพราะฉะนั้นชาติก่อนเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดเป็นคนนี้เลยสักนิดเดียว แต่ก็เกิดแล้วเป็นคนนี้ตามเหตุตามปัจจัย ทุกชาติไป
ผู้ฟัง ก็แสดงว่าตามเหตุตามปัจจัยไม่มีหลักยึดอะไรเลยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าเหตุปัจจัยคืออะไร กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้นเหตุคือกุศลกรรม และอกุศลกรรมทำให้เกิดดี ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จิตที่เป็นผลคือวิบาก กรรมนั้นทำให้จิตที่ดีเกิดขึ้น ทำให้จิตก่อนจะจุติคือ ก่อนจะตายเป็นจิตที่ไม่เศร้าหมอง เป็นจิตที่ผ่องใส ซึ่งเลือกไม่ได้ เพราะว่าทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ทำเดี๋ยวนี้เลยไม่ต้องคอย หรือว่ายังไม่ทำเอาไว้คอยตอนนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม มีแต่ว่าเกิดแล้ว เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ไปทำสิ่งที่ยังไม่เกิดให้เกิด ห่วงใยชาติหน้า แต่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นทำดีทุกเวลาทุกโอกาส
ผู้ฟัง น้องเขานั่งข้างหลังแล้วเขาก็พยายามตั้งคำถามหาคำถามที่จะมาถาม น้องชื่อเด็กชายกรมตะ เรียกโยเดียร์ก็ได้ โยเดียร์มีอะไรจะถาม
ท่านอาจารย์ ก็เป็นความกล้าหาญครั้งหนึ่งในชีวิต
ผู้ฟัง ถ้าไม่ใช่เรา แล้วทำไมมีเรา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่เรา แล้วทำไมมีเรา เราอยู่ไหน อะไรเป็นเรา
ผู้ฟัง ผมเป็นเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้เกิดมาเลย จะมีตัวเราไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีเกิดขึ้น แล้วไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นเรา ชัดเจนไหม ถ้าไม่มีอะไรเลย จะมีเราไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็นก็ไม่มีเราเห็น แต่เมื่อมีคิด ก็กลายเป็นเราคิด เมื่อจำ ก็เป็นเราจำ แต่ความจริงคิดเป็นคิด จำเป็นจำ เกิดแล้วก็หมดไป ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว
อ.กุลวิไล ดิฉันได้สนทนากับน้องโยเดียร์ถามว่าพระภิกษุรับเงิน และทองได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
อ.กุลวิไล เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะพระภิกษุต้องขัดเกลากิเลส
ท่านอาจารย์ เงินทองเป็นกิเลส หรือว่าอยากได้เงินทองเป็นกิเลส
ผู้ฟัง อยากได้เงินทองเป็นกิเลส
ท่านอาจารย์ ดอกไม้เป็นกิเลสไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ อยากได้ดอกไม้ อะไรเป็นกิเลส
ผู้ฟัง อยากได้ดอกไม้
ท่านอาจารย์ ไม่ชอบดอกไม้ ดอกไม้เป็นกิเลสหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นกิเลส ต้องรู้ว่ากิเลสคืออะไรแล้วจะตอบได้ แต่ถ้ายังไม่มั่นคงว่ากิเลสคืออะไรก็แค่คิดแค่จำ เมื่อสักครู่ชอบดอกไม้ ดอกไม้ไม่ใช่กิเลส แต่อะไรเป็นกิเลส
ผู้ฟัง เราชอบดอกไม้
ท่านอาจารย์ ชอบเป็นกิเลส ไม่ชอบดอกไม้ ดอกไม้ไม่ใช่กิเลส อะไรเป็นกิเลส การฟังธรรมเพียงเล็กน้อยไม่พอ จึงต้องสนทนา และก็ต้องดูว่าคนนั้นมีความเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ตอบข้อที่หนึ่งถูก ถ้าข้อที่สองไม่ถูก เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องรู้ด้วยว่า การสนทนาจะนำมาซึ่งเข้าใจว่าถูกหรือผิดอยู่ที่คำตอบ คิดเองอีกครั้งหนึ่ง ชอบดอกไม้ ดอกไม้อยู่เฉยๆ ใครจะชอบ ใครไม่ชอบ ดอกไม้ก็ไม่รู้สึกอะไร ดอกไม้ไม่ใช่จิต ดอกไม้ไม่ใช่เจตสิก ดอกไม้เป็นแต่เพียงรูปสีสันวัณณะต่างๆ เพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบ ดอกไม้รู้ไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชอบดอกไม้ ดอกไม้ไม่ใช่กิเลส ดอกไม้ไม่รู้อะไร อะไรเป็นกิเลสในขณะที่ชอบดอกไม้
ผู้ฟัง เป็นความชอบของเรา
ท่านอาจารย์ นั่นสิเป็นความชอบของเราเป็นกิเลส ที่ชอบกิเลสยังไม่รู้จักหรอก แต่ได้ยินใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจมากกว่านี้ นี่เพียงแค่จำเค้าเลาเลาเท่านั้นใช่ไหม แต่การเข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงเท่านี้ ต้องเข้าใจจริงๆ เข้าใจละเอียดถึงจะรู้ว่าเข้าใจจริงๆ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าทุกอย่างเป็นธรรม อย่างเช่นผมเห็นดอกไม้ ผมก็พยายามมองว่าดอกไม้เป็นธรรม ทีนี้เวลาคิดเปรียบเทียบหรือเทียบเคียงมันจะย้อนกลับมาหาตัวเรา จริงๆ มันก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเราก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรม ด้วยก็ได้
ท่านอาจารย์ แม้ว่าการฟังยังไม่มั่นคง ถ้าใช้คำว่าทุกอย่างคือ เว้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เว้น
ท่านอาจารย์ ต้องตรง ทุกอย่างไม่เว้นเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเว้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เว้น
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง หลากหลายต่างกัน แต่เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นธรรมจึงหลากหลายเป็นแต่ละอย่าง แต่ละประเภท แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมดก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง รวมความก็คือว่าสิ่งที่ไม่จริงทั้งหมดเป็นธรรม แต่สิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก ถึงหลากหลายอย่างไร มีจริงก็ต้องเป็นธรรม เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต้องมั่นคงทีละคำ คิดมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ คิดผิดมีจริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมจึงหลากหลาย ถูกก็มี ผิดก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ถ้าศึกษาละเอียด จะรู้ได้เลยว่าผู้ที่กล่าวสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะว่าแต่ละคำลึกซึ้งยากที่เราจะคิดเองได้ อย่างดี พอรู้ใช่ไหม ชั่วพอรู้ แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่ชั่ว ชักงง อวิชชาดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่ดีไม่ชั่วใช่ไหม ไม่ดี
ผู้ฟัง อวิชชาคือไม่ดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมที่มีความจริง มีทั้งดี มีทั้งไม่ดี และมีทั้งไม่ดีไม่ชั่ว นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งต้องฟัง และพิจารณาไตร่ตรองว่าแล้วคืออะไร สิ่งที่ไม่ดีไม่ชั่วเวลาที่เราไปฟังสวดศพที่วัดจะมีคำว่ากุศลาธรรมา หมายความถึงธรรมที่เป็นฝ่ายดีเป็นกุศล อกุศลาธรรมา ธรรมที่ไม่ดี รู้แล้วใช่ไหมธรรมที่ดีก็มีที่ไม่ดีก็มี แต่ยังมีข้อความต่อไป อัพยากะตาธรรมา ธรรมที่ไม่ดีไม่ชั่ว เพราะเหตุว่าธรรมนั้นไม่ดี และก็ไม่ชั่ว จะกล่าวว่าดีก็ไม่ได้ ชั่วก็ไม่ได้ เพราะไม่ดีไม่ชั่ว แล้วคืออะไร นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้มีใช่ไหม ใช้คำว่ารูปธรรม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นมีจริงแต่รู้อะไรไม่ได้ ได้แก่ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น ไม่รู้อะไรเลย เสียงที่กำลังปรากฏเมื่อเวลาที่ได้ยินเกิด เสียงก็ไม่รู้อะไร กลิ่น รส โผฏฐัพพะสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ๓ อย่าง จึงรวมเรียกคำเดียวว่าโผฏฐัพพะคือ ทางกายสามารถที่จะรู้เย็นหรือร้อนหนึ่ง อ่อนหรือแข็งหนึ่ง ตึงหรือไหวหนึ่ง เป็นแต่ละรูปล้วนเป็นธรรมใช่ไหม อ่อนแข็งดีไหม
ผู้ฟัง จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบขณะไหนว่าดีไม่ดี
ท่านอาจารย์ ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย แล้วจะดีได้อย่างไร ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย แล้วจะชั่วได้อย่างไร สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ใจดีหรืออะไรอย่างนั้นเลย เพราะไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นรูปธรรมทั้งหมด เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีไม่ชั่วเป็นอัพยากตธรรม นี่คือเราจะสามารถที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เป็นธรรมก็หลากหลาย และเราก็คิดเองก็ไม่ได้ นอกจากรูปธรรมซึ่งไม่ดีไม่ชั่ว มีอื่นอีกไหมซึ่งไม่ดีไม่ชั่ว คิดเองก็ไม่ออก ด้วยเหตุนี้ สาวกคือผู้ฟัง ฟัง และไตร่ตรอง เมื่อเข้าใจก็รู้ว่าคำนี้มาจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียดอย่างยิ่ง และโดยประการทั้งปวง มากมายถึง ๔๕ พรรษาโดยนัยต่างๆ แต่ก็ต้องเริ่มต้น ฟังตั้งแต่ขั้นต้นว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงได้แก่อะไรบ้าง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แล้วก็เข้าใจความละเอียดว่าจิตเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่นกำลังเห็น แต่เจตสิกเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้ แต่ไม่ใช่ลักษณะเดียวกับจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่เป็นเจตสิก ชอบเป็นเจตสิกหนึ่งคือโลภะติดข้อง ไม่ชอบเป็นเจตสิกหนึ่ง คือโทสะเจตสิก เจ็บเป็นอีกเจตสิกหนึ่งเป็นความรู้สึก สบายก็เป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นกว่าจะแสดงว่าธรรมแต่ละหนึ่งไม่พ้นจากกุศลาธรรมา หรืออกุศลาธรรมา หรืออัพยากะตาธรรมมา ก็จะต้องรู้แต่ละหนึ่งว่าขณะนั้นเป็นอะไร ขณะเกิดครั้งแรกที่เกิดมาเป็นคนนี้ต้องมีจิตเกิด ถ้าจิตไม่เกิดก็ไม่มีคนนี้ และจิตเกิดโดยไม่มีเจตสิกก็ไม่ได้ เจตสิกกับจิตเกิดพร้อมกัน แล้วยังมีรูปด้วยไม่อย่างนั้นก็ไม่มีการเจริญเติบโตที่จะเป็นแต่ละรูปแต่ละคนได้ ด้วยเหตุนี้ขณะเกิดมีจิต มีเจตสิก และมีรูป ถ้าถามให้ละเอียดลงไปว่าจิตขณะเกิดดีหรือ ชั่ว
ผู้ฟัง อันนี้ผมตอบไม่ได้
ท่านอาจารย์ เห็นไหม จำเป็นต้องฟังเพราะไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จิตที่เกิดไม่ดีไม่ชั่วเพราะไม่ใช่เหตุ แต่เป็นผลของดีหรือชั่ว ถ้าเหตุดีเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดในภพภูมิที่ดี ถ้าเหตุไม่ดีก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าเป็นผลของกรรมที่ไม่ดี กรรมที่ไม่ดีที่ทำไว้แล้วสามารถจะเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเป็นผล ผลก็คือว่าเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เป็นต้น รวมทั้งเกิดไม่ดีด้วย เราเลือกเกิดไม่ได้เลย และกรรมก็มีมากในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้ เลือกให้กรรมไหนเกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดที่ไหนพระโพธิสัตว์ หรือว่าเทวดา หรือพรหม หรือเปรต หรือนรก หรือสัตว์เดรัจฉาน จิตที่เกิดทั้งหมดทุกข์จิตเป็นผลของกรรม ผลของกรรมในภาษาบาลีใช้คำว่าวิปากะ แต่คนไทยเรียกว่าวิบาก และเราก็เข้าใจผิดถ้าเราไม่เรียน เราคิดว่าวิบากคือลำบาก แต่ความจริงไม่ใช่ วิบากเป็นจิต และเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นโดยกรรมทำให้เกิดขึ้น และในชีวิตนี้ก็มีผลของกรรมตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด แค่นั้นไม่พอที่กำลังจะให้ผลต้องให้ผลมากกว่านั้นอีกคือ ระหว่างที่ยังไม่จากโลกนี้ไปเพราะกรรมนั้นสิ้นสุดที่จะให้ผล ก่อนจะตาย ระหว่างเกิดกับตายก็ยังต้องเห็น เป็นผลของกรรม เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม เพราะว่าแต่ละคนก็อยากจะเห็นเพชรนิลจินดา เห็นดอกไม้เห็นอะไรที่งดงามน่าดู แต่ถึงเวลาก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าดู เพราะเหตุว่าผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วทำให้จิตที่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่น่าดูเกิดขึ้น เห็นซากศพกลางถนน สุนัขหรือแมวก็ตามแต่เละเทะอยู่กลางถนน ไม่น่าดูเลยใช่ไหม ก็เห็น ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่ากรรมเป็นเหตุให้เกิดจิต เจตสิกซึ่งเป็นผล ใช้คำว่าวิบากจิต ด้วยเหตุนี้ต้องเรียกเต็มจึงจะถูกต้อง กุศลจิต เวลาที่ใช้คำว่าจิต ท่านหมายรวมเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ถ้าจิตดี เจตสิกทั้งหมดดี ถัาเจตสิกไม่ดีเกิด จิตก็ต้องไม่ดีตามเจตสิกที่เกิดกับจิตนั้น เพราะฉะนั้นกุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบากจิต ถ้าใช้คำว่ากุศลคำเดียวเป็นเหตุ แต่ถ้าใช้คำว่ากุศลวิบากเป็นผลของกุศล อกุศลมีเป็นปัจจัยให้เกิดได้เฉพาะอกุศลวิบาก คือเฉพาะจิตเจตสิกที่ต้องเกิด เป็นการรับผลที่ไม่ดีของกรรมที่ทำแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีใครอยากเจ็บ แต่ว่าอกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วสามารถที่จะให้ผล เมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่กรรมนั้น ไม่สามารถที่จะกำหนดวันเวลาของกรรมแต่ละกรรมได้ ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ดี เจ็บปวดเมื่อยคัน เป็นต้น เหล่านี้เป็นผลของกรรม
เพราะฉะนั้นไม่มีเรา แต่มีจิตเจตสิกที่เป็นเหตุ และมีจิตเจตสิกที่เป็นผล แล้วก็ยังมีจิตเจตสิกที่ไม่ใช่เหตุ และไม่ใช่ผล นี่คือความลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงว่า เมื่อดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันต์แล้ว ตั้งแต่นั้นต่อไปความดีทั้งหมดไม่เป็นเหตุให้เกิดผลจึงเป็น กิริยา เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้างเดี๋ยวนี้เอง แต่ไม่มีใครรู้ แต่ว่าจะเข้าใจขึ้นในทุกคำว่าเป็นธรรมทั้งหมด ยิ่งศึกษายิ่งถึงความเข้าใจว่าเป็นธรรมในขั้นฟัง ซึ่งจะนำไปสู่การเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่งโดยไม่ใช่เราเลย แต่โดยปัจจัยที่ความเข้าใจนั่นเอง เป็นปัจจัยให้ระลึกได้ที่ละลักษณะเดียว และก็เข้าใจสิ่งนั้นเฉพาะสิ่งนั้นทีละหนึ่ง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสิ่งนั้น เป็นอีกขั้นหนึ่ง เป็นปฏิเวธ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
