ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118


    ตอนที่ ๑๑๑๘

    สนทนาธรรม ที่ เวลเนสซิตี้ บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา

    วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ มีชีวิตอยู่แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้รู้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ กลับไปทำจะให้รู้สิ่งอื่น ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะพระองค์ทรงแสดงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ความจริงเดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำ เห็นเกิดแล้ว คิดเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว เฉยๆ เกิดแล้ว ทุกอย่างมีปัจจัยเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดแล้วก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ต่อกันสนิทแน่นมากเหมือนไม่ดับไปเลย จึงทำให้เข้าใจว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน ฟังแค่นี้ ยังไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น พิจารณาว่าจริงหรือเปล่า และเมื่อเป็นความจริง แล้วสามารถรู้ได้ไหม แต่ไม่ใช่ว่าโดยการที่ไม่ฟังต่อไป ไม่เข้าใจต่อไปแล้วก็จะรู้ได้ แต่ขณะที่ฟังทุกขณะนี้เริ่มค่อยๆ ละความไม่รู้ซึ่งติดแน่นมาก ไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเลย เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็คิดต่อเพราะจำ รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อจำแล้ว ก็ยังคิดถึงสิ่งนั้นว่ายังคงเป็นสิ่งนั้น เช่นเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีรูปร่างสัณฐาน จำรูปร่างสัณฐาน และเขายังบอกว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไรอีก เรียกว่าถ้วยในภาษาหนึ่ง ภาษานั้นก็ใช้คำนี้หมายความถึงสิ่งที่มีที่มีรูปร่างอย่างนั้นที่ปรากฏ ทุกคำค่อยๆ ฟัง เข้าใจมีจริงไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจมีจริง

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ มีจริงไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ ไม่ใช่ไม่รู้ คนละอย่าง เป็นธรรมทั้ง ๒ อย่างหรือเปล่า แต่เป็นธรรมที่ต่างกันอย่างไหนถูกต้อง และดี รู้กับไม่รู้

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ รู้ดีกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นการที่แม้เริ่มเข้าใจว่าอยู่มาโดยไม่รู้ กับจะมีชีวิตต่อไปโดยค่อยๆ รู้ ก็ดีกว่าอยู่ต่อไปด้วยความไม่รู้ นั่นคือความเข้าใจซึ่งไม่ใช่เรา ทั้งหมดต้องมาสู่คำว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด โต๊ะ เก้าอี้ แต่สักกายะคืออัตตานี้ นี่ก็อัตตา แต่เข้าใจว่าเป็นเรา จึงเติมคำว่าสักกายะ หมายความว่านี่เป็นอัตตา แต่นี่เป็นสักกายะ ของเรา และเรา จะหมดได้ไม่ใช่ด้วยการไปนั่ง จงกรม ทำอะไรที่ไหนเลยทั้งสิ้น แต่เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำค่อยๆ เข้าใจเพื่อละความไม่รู้ และไม่เข้าใจ จนกระทั่งสภาพธรรมนั้นสามารถจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เกิดไม่มี แล้วก็เปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะสิ่งหนึ่งต้องหมดไปก่อน และธาตุรู้ใช้คำว่าจิตก็ได้ ใช้คำว่าวิญญาณ หรือคนไทยใช้คำว่าวิญญาณ แต่ต้องออกสื่อวิญญาณะ ธาตุรู้ก็ได้ ใช้คำว่ามโน มนัส มนะ ได้หมด หมายความถึงจิตหรือใจ เพราะคนไทยเราพูดคู่กันว่าจิตใจ หมายความถึงธาตุรู้ แต่จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ส่วนสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ มี เช่น โกรธ มีรูปร่างอะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีอาการปรากฏให้รู้ว่าโกรธใช่ไหม กระด้าง ขณะนั้นมีแต่ความไม่พอใจ นั่นคือลักษณะของความโกรธ ตรงกันข้ามกับความติดข้อง เห็นอะไรสวยชอบเลย

    ผู้ฟัง เป็นอารมณ์ด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ อารมณ์คืออะไร

    ผู้ฟัง โกรธ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ถามว่าอารมณ์คืออะไร เพราะฉะนั้นทุกคำที่จะให้ชัดเจนต้องไม่ลืมว่าคืออะไรก่อน ไม่ใช่ตอบเฉยๆ คิดเฉยๆ แต่ก่อนจะคิดต่อไปต้องคืออะไรก่อน เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้เกิดแล้วไม่รู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้เดี๋ยวนี้คือเห็น เพราะรู้ว่าห้องนี้เป็นอย่างนี้ มีไฟ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีผู้คน มีสีสันต่างๆ เห็นอย่างนี้แล้วยังคิดต่อไปอีกว่ารูปร่างอย่างนี้คือใคร ชื่ออะไร นั่นเรียกว่าอะไร เพราะฉะนั้นจากหนึ่งขณะต่อไปอีกหลายขณะ จนไม่รู้ความจริงว่าเห็นเป็นเห็น เป็นคิดไม่ได้ ซึ่งต้องแยกให้ละเอียดทันทีที่มีความปรากฏของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าเห็นจะเป็นคิดได้อย่างไร ก็จะนำไปสู่การเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นจนประจักษ์แจ้งได้ เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่คิด เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นกับจำเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นเกิดแล้วก็จำสิ่งที่เห็นด้วย เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ ชอบเป็นชอบ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เห็นอย่างเดียวนั่นคือจิต แต่สภาพธรรมที่เกิดกับจิต ปรุงแต่งให้จิตเกิดขึ้น เพราะสภาพธรรมจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ที่เกิดกับจิตแต่ไม่ใช่จิต ภาษาบาลีใช้คำว่าเจตสิกะ แต่คนไทยใช้คำว่าเจตสิก ไม่ว่าวิชาไหนในโลกจะไม่มีคำนี้เลย เพราะเขาไม่รู้ เขาก็เรียกชื่ออื่นต่างๆ นานาเป็นลักษณะอาการของจิตใต้สำนึกบ้าง อะไรบ้าง แต่ความจริงจิตเป็นจิต จิตเป็นอื่นไม่ได้เลย จิตเป็นธาตุที่เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ สิ่งที่ถูกรู้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าเกิดธาตุรู้แล้วไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ถูกรู้ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ ภาษาไทยพูดว่าอารมณ์ เริ่มจำหรือยัง จิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ภาษาไทยใช้คำว่าอารมณ์ มาจากคำภาษาบาลีว่าอารัมมณะ เพราะฉะนั้นศึกษาฟังธรรมไม่คิดเองเลย เสียงไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน แต่ขณะที่ได้ยิน ได้ยินอื่นไม่ได้เลยนอกจากเสียง เพราะฉะนั้นจิตได้ยินเป็นสภาพที่รู้แจ้งว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีหลายเสียงใช่ไหม ทำไมรู้ว่าหลายเสียง เพราะจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งรู้เสียงหนึ่ง จึงแสดงความหลากหลายว่าเสียงหนึ่งๆ นั้นเพราะจิตเกิดขึ้นหนึ่ง และก็รู้สิ่งนั้นจึงปรากฏว่าเสียงหลากหลายต่างกัน เสียงเครื่องปรับอากาศมีไหม นั่นก็เสียงหนึ่งใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ที่จิตกำลังรู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร

    ผู้ฟัง อารมณ์

    ท่านอาจารย์ ภาษาบาลี

    ผู้ฟัง อารัมมณะ

    ท่านอาจารย์ อารัมมณะ แค่สองคำนี้ก็นำไปสู่การที่จะรู้ว่าไม่มีเรา แต่มีจิตตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นเป็นจิต คิดเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต และก็มีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เป็นสภาพรู้แต่ไม่ใช่จิตหลากหลายมากต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท เช่น โกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่งไม่ใช่จิต เพราะจิตเกิดขึ้นเห็นได้ยินเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ส่วนเจตสิกที่รู้สิ่งที่จิตรู้ แต่ว่าไม่ใช่รู้แจ้ง แต่ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทั้งหมด สภาพธรรมที่เรากล่าวว่าเป็นต่างๆ นานาก็คือเจตสิก ขยันมีไหม

    ผู้ฟัง ขยันมี

    ท่านอาจารย์ ขยันทำอะไร

    ผู้ฟัง ขยันทำงาน

    ท่านอาจารย์ ทำงานบ่อยๆ เราก็บอกว่าขยัน ทำงานน้อยๆ เราก็บอกขี้เกียจ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขยันก็มีจริงใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่คือต้องไม่ลืมสิ่งที่เราได้ฟังแล้วไม่คิดเอง ต่อไปนี้ไม่มีทางที่เราจะไปคิดได้อย่างที่เราได้ฟังต้องอาศัยการฟัง และไตร่ตรองตามที่ได้ฟังด้วย เพราะฉะนั้นขยันมีจริงๆ

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก บางครั้งก็ขยัน บางครั้งก็ขี้เกียจ เจตสิกเป็นนามธรรมธาตุรู้ มีหลากหลายมาก เราประมวลเรียกธาตุรู้ทั้งหมดว่านามมะ นามธรรม หมายความเป็นสภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์ จิตเกิดขึ้นต้องมีอารมณ์ ต้องรู้อารมณ์ ไม่ไปที่อื่นเลยนอกจากไปที่อารมณ์ โดยศัพท์ แต่ตามความเป็นจริงก็คือรู้ เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ไม่ไปไหนเลยนอกจากไปสู่อารมณ์ เป็นคำขยายอธิบายให้รู้ว่าจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ถูกต้องไหม จิตเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ท้องฟ้ากับน้ำในมหาสมุทรใกล้กันมากเลย เกือบจะเป็นสีเดียวกัน แต่จิตก็รู้ว่าไหนเป็นฟ้าไหนเป็นน้ำ เพราะรู้แจ้งในอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏ เพชรปลอมกับเพชรแท้จิตก็ยังรู้เลย เพชรเทียม รู้แจ้งในลักษณะที่ปรากฏ เพชรแท้ก็มีลักษณะของเพชรแท้ ซึ่งธาตุรู้สามารถที่จะรู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้เท่านั้นเอง ทั้งวันตั้งแต่เกิดจนตายจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน และก็มีธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่จิต แต่อาศัยจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เกิดในจิตก็ได้หมายความว่าแยกกันไม่ได้เลย เช่น โกรธ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ต้องมีสิ่งที่ถูกโกรธใช่ไหม สิ่งที่ถูกโกรธนั้นจิตรู้ แต่เจตสิกโกรธสิ่งนั้น หรือชอบสิ่งนั้น หรือแล้วแต่วันหนึ่งๆ อะไรจะเกิดขึ้น รำคาญบ้างไหม ฟังธรรมรำคาญไหม

    ผู้ฟัง ไม่รำคาญ อยากรู้ต่อ

    ท่านอาจารย์ แต่รำคาญมีจริงไหม

    ผู้ฟัง รำคาญมี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งเป็นธรรม ซึ่งแต่ก่อนเคยเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นชาตินั้นประเทศนี้ แต่ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรซึ่งมีจริงๆ แล้วไม่ใช่ธรรมสิ่งที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้น รำคาญเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุรู้หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธาตุรู้

    ท่านอาจารย์ ธาตุรู้ประเภทไหนจิต หรือเจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิก นี่คือชีวิต คือเป็นจิต เจตสิกซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน แต่ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ส่วนเจตสิกก็หลากหลายไป เช่น ใจดี จิตเกิดขึ้นรู้ ความดีความเมตตาก็เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตนั้น ใจร้ายก็ตรงกันข้ามก็เป็นเจตสิกที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นเจตสิกมีทั้งดี และชั่ว และไม่ดีไม่ชั่ว ใครรู้ ถ้าไม่ฟังธรรมไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้เอง เราลืมเดี๋ยวนี้ แต่รู้ว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพื่อจนกว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา เป็นแต่ละหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเกิดและก็ดับ แยกขาดจากกันจิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก เจตสิกแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละหนึ่ง โดยประเภทประมวลไว้เป็นเจตสิก ๕๒ ประเภท ทำให้จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างกัน ต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท ไม่ใช่เราเลย นี่คือธรรม ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ไม่มีหนทางจะไปรู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไปสำนักปฏิบัติจะรู้อย่างนี้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี ไปสำนักปฏิบัติไม่มีอย่างนี้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทุกคำให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ทำ เพราะทำไม่ได้

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงเห็นก็มีอารมณ์อย่างหนึ่ง ได้ยินก็มีอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งพอกล่าวถึงว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่จิตรู้ ดังนั้นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นความวิจิตรของเขาก็คือ มีอารมณ์เป็นเหตุให้จิตนั้นต่างด้วย

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น บางสิ่งน่าพอใจ บางสิ่งไม่น่าดูเลย ถูกต้องไหม จิตไหนที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ และจิตไหนเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ๒จิตนี้ก็ต่างกันแล้ว จิตที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกรรมที่ดี ซึ่งเมื่อเหตุดีผลก็ต้องดี เพราะฉะนั้นกุศลใดๆ กรรมใดๆ ที่เป็นกรรมดี ย่อมนำมาซึ่งเห็นสิ่งที่ดีน่าพอใจได้ยินเสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นที่หอม ได้รสที่อร่อย และการกระทบสัมผัสที่ไม่ร้อนเกินไป ไม่แข็งเกินไปเป็นต้น

    การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ขอให้เข้าใจก่อนว่าธรรมที่มีจริงๆ นี่มีเพียง ๔ คือ มีจิต สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นจิต แล้วก็เจตสิกสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรมซึ่งต้องเกิดกับจิต แล้วก็ดับพร้อมจิต แล้วก็รู้สิ่งเดียวกับจิตด้วย นั่นคือเจตสิกก็หลากหลายมากเป็น ๕๒ ประเภท ทำให้จิตต่างๆ กันไปเป็น ๘๙ ประเภท แล้วก็สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิตไม่ใช่เจตสิก แต่มี เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น เสียง เสียงไม่ใช่จิต เสียงไม่ใช่จิต เจตสิก เพราะเสียงเป็นสภาพธรรมประเภทหนึ่งซึ่งไม่ใช่สภาพรู้

    สภาพธรรมที่มีจริงเกิดจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรียกว่ารูปะ คนไทยเขาบอกว่ารูป แล้วก็เป็นธรรม เราก็รวมกันเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นรูปธรรมมีจริงไม่ใช่ไม่มี เกิดหลากหลายมากเป็นประเภทต่างๆ เช่น กลิ่นก็มีจริง กลิ่นไม่รู้อะไร กลิ่นเป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง เสียงมีจริง เสียงก็ไม่รู้อะไร แต่เสียงไม่ใช่กลิ่น เสียงก็เป็นรูปธรรมอีกชนิดหนึ่ง รวมสภาพธรรมที่เป็นรูปทั้งหมดมี ๒๘ ประเภท

    ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอยู่โลกไหนที่ไหนก็ตาม จะเข้าใจว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งใดๆ ก็ตามก็ไม่พ้นจากธรรมซึ่งเป็นจิต เป็นเจตสิก และเป็นรูป เพราะฉะนั้นทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับให้เกิดขึ้น ทำให้เกิดขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดแล้วให้เป็นอย่างอื่น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เกิดเสียใจ ห้ามได้ไหม เปลี่ยนให้เสียใจกลับไปเป็นเห็น หรือกลับไปเป็นดีใจก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เกิดแล้ว ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ สภาพธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ มีลักษณะซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ภาษาบาลีใช้คำว่าปะระมะ ภาษาไทยใช้คำว่าบรม ใช้ตัว บ แทนตัว ป และลักษณะของสภาพธรรมนั่นเองคืออรรถ ถ้าไม่มีลักษณะจะมีอรรถไหมก็ไม่มี ปรมัตถธรรม หมายความถึงธรรมที่มีลักษณะที่เป็นใหญ่ คือไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ รวมเป็นปรมัตถธรรม

    ถ้าไม่มีปรมัตถธรรมจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีคนไหม จะมีสัตว์ไหม จะมีเรื่องราวต่างๆ ไหม ก็ไม่มี ถ้าไม่มีรูป อะไรๆ ก็ไม่มีที่จะปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่กล่าวถึงก็คือ สภาพแท้จริงที่มีต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือเป็นจิตหรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่าในการฟังที่ท่านอาจารย์เน้นย้ำก็คือ ผู้ฟังต้องเป็นผู้ตรงแล้วก็ตั้งจิตไว้ชอบ ตรงนี้จะขอความกรุณาท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมทำไม

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ ตรงไหม ตรงอย่างนี้จึงเข้าใจได้ ฟังเพื่อเข้าใจความจริง ทุกคำที่พูดวาจาสัจจะ จริงหรือเปล่า พูดเรื่องเห็นอย่างนี้กำลังมีเห็น แล้วมาพูดเรื่องเห็นก็ดูธรรมดาเหลือเกิน ใช่ไหม แต่ไม่ได้คิดหรือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้หรือเปล่า สิ่งที่มีแล้วเป็นปกติธรรมดา สิ่งที่ยังไม่มีไปรู้ได้ยังอย่างไร ยังไม่เกิดขึ้น และสำคัญอย่างไร ในเมื่อสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจไตร่ตรองว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และรู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าไม่เคยรู้มาก่อนที่ว่าเห็นเกิด และดับ ใครเคยได้ยิน ใครเคยรู้แต่ว่าจริงหรือเปล่า และก็เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงด้วย แม้สิ่งที่มีจริงก็ต้องรู้ว่าเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่ใช่เรา แค่นี้ไม่ใช่เราจริงไหม ฟังเพื่อเข้าใจ เห็นไม่ใช่เรา จริงไหม

    ผู้ฟัง ฟังไตร่ตรองตามแล้วก็จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรถึงจริง

    ผู้ฟัง ก็กำลังเห็นอยู่ มีจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีปัจจัยก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกอย่างที่เกิดเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ว่าไม่มีใครไปบังคับ ไปทำให้เกิดขึ้นเลย เเต่มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำต้องละเอียด ต้องลึกซึ้ง ต้องรู้ว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มี และขณะที่ฟังก็รู้ว่ายังไม่ได้เข้าใจตามที่ได้ฟังเลย ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น แม้แต่ขณะแรกที่เกิดในโลกนี้ก็ต้องมีใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ และความจริงเป็นเราหรือเปล่า ชื่อนี้หรือเปล่า หรือว่ามาตั้งทีหลัง หรือว่าตั้งไว้ก่อน ก่อนจะเกิด ทั้งหมดก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถ้าไม่ฟังธรรมก็ไม่รู้ว่าธรรมดาแต่ไม่รู้ กับธรรมดาที่ค่อยๆ เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะทำให้ละความไม่รู้ซึ่งคิดเองไม่ได้ จะละเองไม่ได้ ต้องละเพราะความรู้ ความรู้อย่างไหนก็เข้าใจสิ่งนั้น ละความไม่รู้ในสิ่งนั้น เช่น ไม่รู้ว่าธาตุรู้มีสองอย่าง เราไม่รู้เลย เรารวมกันหมดเลย เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็โกรธ เห็นแล้วก็ดีใจ แต่ไม่ได้แยกว่าเห็นเป็นเห็น แล้วก็ดีใจก็เป็นดีใจ เพราะบางครั้งเห็นแล้วเสียใจ เห็นแล้วไม่ชอบ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งก็ต่างกันไปบังคับบัญชาไม่ได้เลย จึงเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ พิจารณาไตร่ตรองทุกคำ ทุกตัวอักษรถ้าจะใช้คำนั้น จนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่เกิดแล้วใช่ไหมเพราะกำลังปรากฏ และเกิดแล้วก็ชั่วขณะนั้นเท่านั้นแล้วก็ไม่มีอีก

    สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม มีเมื่อปรากฏ สิ่งที่เกิดดับจากไม่มี แล้วมี เเล้วหามีไม่ แต่ไม่รู้สักอย่างเดียวก็เหมือนกับไม่มี เพราะว่าไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าเกิด เกิดขึ้นแล้วด้วย แล้วก็ที่ไม่รู้ก็คือว่าดับหมดไปก็ไม่รู้ แต่ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองเพื่อรู้ว่าไม่มีเราเลย เพราะว่าถ้าเข้าใจว่าเห็นเดี๋ยวนี้เป็นเรา เวลาได้ยิน เห็นอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่มี ตราบใดที่ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วไม่รู้ความจริง ก็หลงยึดถือว่าสิ่งที่มีนั่นเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือว่าเป็นของเรา ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รูปนี้เป็นเราใช่ไหม ขณะนี้ที่มีชีวิตอยู่ เป็นเราใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นของเราด้วยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ทันทีที่ตาย ไหนรูปนี้เป็นเราหรือเปล่า แล้วก็รูปนี้ยังเป็นของเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ ก็ไม่ว่าเป็นหรือตายสภาพธรรมก็เป็นสภาพธรรมนั้นเปลี่ยนไม่ได้ นามธรรมธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ดับไปหลากหลายประเภท สภาพธรรมที่เกิดกับจิตเจตสิกก็เกิดขึ้น และก็ดับไปพร้อมจิตด้วยทำให้จิตต่างกันเป็นหลายประเภทหลากหลายไปแล้วก็ดับไป และก็ไม่กลับไปอีกเลย แต่รูปก็มีไม่ใช่ไม่มี มีสภาพธรรมที่เกิด ไม่ใช่ไม่เกิด แต่หลากหลาย เป็นรสบ้าง เป็นเสียงบ้าง เป็นกลิ่นบ้างก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดปรากฏให้รู้ว่ามีจริงแล้วก็ดับไปทั้งหมดเป็นของใคร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    13 พ.ค. 2568