ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
ตอนที่ ๑๑๒๖
สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ก็คือ สิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไป แต่เกิดดับสืบต่อจนเหมือนไม่มีอะไรดับเลย ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ จนกว่าความเข้าใจจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ
มีปัญญาต่างกัน ๓ ระดับขั้น ขั้นฟัง จากไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ก็ได้ยินได้ฟังได้ไตร่ตรอง ได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เห็นเกิดดับ จริงไหม ไม่ใช่เขาต้องมาบอกให้เราต้องเชื่อ แต่คำที่กล่าวว่า เห็นเกิดแล้วเห็นดับได้ จริงไหม ก็เป็นความรู้ เป็นการไตร่ตรองของแต่ละคนที่ได้ฟัง และเป็นความถูกต้อง เข้าใจอย่างนี้แล้วก็หมดไป เห็นเป็นเรา เห็นอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น กว่าจะละความติดข้อง ซึ่งหลงติดข้องมานานแสนนานว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา แล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต่อเมื่อปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี่คือระดับขั้นการฟัง ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า ปฏิบัติ เป็นแต่เพียงขั้นฟังที่มั่นคงว่า เห็นเดี๋ยวนี้เกิด เห็นเดี๋ยวนี้ดับ เพราะฉะนั้น ปัญญารู้อะไร ไม่ใช่ไปรู้ที่ไหนเลย ไม่ว่าขณะไหนตรงไหนก็มีสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ไม่รู้เลย จนกว่าความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ถูกปกปิดไว้แน่นหนายิ่งขึ้น ด้วยความเป็นเรา เราทั้งนั้นที่ฟัง ไม่ได้รู้ว่า ไม่ใช่เรา ก่อนนี้เคยเป็นเราทั้งหมด แต่เมื่อฟังแล้วเข้าใจเลยว่า แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่เพียงเกิดมีจริงๆ แล้วก็ดับไป
ผู้ฟัง ฟังมาเป็นร้อยเที่ยวแล้วว่า ไม่ใช่ฟังพระธรรมเพื่อที่จะไม่เดือดร้อนเรื่องลูก ไม่เดือดร้อนเรื่องงานการ กิจการบริษัทหรืออะไร ไม่ได้เข้าไปในความเข้าใจจริงๆ เลย นี่ก็คือความเป็นปกติของอวิชชาที่ยังหนาแน่นอยู่
ท่านอาจารย์ นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่กังวลแล้วใช่ไหม
ผู้ฟัง ดีขึ้น
ท่านอาจารย์ แล้วก็ต้องเกิดอีกแน่ๆ ต้องกังวลอีก เพราะว่าเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้ ค่อยๆ รู้ตรงขึ้น ถูกต้องขึ้น จนกระทั่งรู้ว่านี่คือ ขั้นคิด ขั้นไตร่ตรอง เเต่ก็เป็นเรื่องของธรรมที่มีจริงๆ ทั้งหมด จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏอย่างที่ได้ฟัง ก่อนเห็น มีเห็นไหม
ผู้ฟัง ก่อนเห็น ไม่มีเห็น
ท่านอาจารย์ มีเห็น ให้รู้ว่าเห็นมี กำลังเห็น แล้วเห็นก็ดับไป คิดดูว่าประโยชน์อยู่ที่ไหนในการที่มีสภาพธรรมที่เกิดดับ ยับยั้งไม่ได้ เกิดจริงๆ มีจริงๆ แต่ว่าดับหมดไปจริงๆ แล้วประโยชน์อะไรที่จะมีเหมือนเดิมเลยใช่ไหม เหมือนกับตอนที่ยังไม่เกิด แค่เกิดมาให้รู้ว่ามีและดับไปเลย แต่ว่าทำให้มีความติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏว่ามี
เพราะฉะนั้น จะได้รู้ความจริงว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี และไม่เหลืออยู่ตลอดเวลา พูดเท่าไหร่ ทรงแสดงเท่าไหร่ ๔๕ พรรษา ก็อยู่ที่ผู้ฟังจะไตร่ตรอง จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นและมั่นคง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เพียงชั่วขณะที่ปรากฏ ชั่วคราวแสนสั้น จากไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ซึ่งตอนที่ไม่มีก็เหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้เกิดมีขึ้น แล้วประโยชน์อะไรที่จะเกิดขึ้น และเป็นอย่างนี้ตลอดทุกชาติ ทุกขณะในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว นานแสนนานมาแล้ว แล้วชาติหน้าต่อไปก็ยังมีอีก เพราะเหตุว่าใครจะบังคับไม่ให้อะไรเกิดได้ไหม ในเมื่อมีเหตุปัจจัยกำลังเกิดเดี๋ยวนี้ และให้เห็นจริงๆ ว่าบังคับไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต่ความคิดนึกหลากหลายมาก ก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นหลากหลาย ไม่เกิดดีกว่าไหม ไม่เกิดก็ไม่มี มีทำไม มีแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือ ก็เป็นความจริงที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา กราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่เข้าใจพระธรรม ก็ไม่รู้ว่ากราบไหว้พระคุณใด แต่ว่าขณะใดก็ตามที่ได้มีความเข้าใจ ขณะนั้นรำลึกทันที ความเข้าใจนี้จะเกิดมีได้ไหม ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ทำให้คิดถึงพระคุณซึ่งเป็นพุทธานุสสติ ไม่ใช่ไปท่องแล้วก็คิดว่า ขณะนั้นระลึกถึงคุณ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะระลึกถึงคุณอะไร ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีคุณปรากฏ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรากฏกับผู้ที่ได้เข้าใจ ๔๕ พรรษาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมมากยิ่งกว่าใคร ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก ใครได้กระทำอย่างนี้บ้าง เป็นสิ่งซึ่งพระองค์ได้มุ่งมั่นด้วยพระบารมี ที่จะกระทำกิจนี้เพื่อสัตว์โลก แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลแสนไกลสักเท่าไหร่ การเดินทางก็ลำบาก ไปถึงแล้วที่อยู่ก็ไม่สะดวกสบาย แต่พระองค์ก็เสด็จไปโปรดบุคคล ที่มีโอกาสจะได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฏฏ์
เพราะถ้าเขาไม่ฟัง เมื่อไหร่จะได้ฟัง เหมือนเราทุกคน ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ ในชาตินี้คือไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง แล้วเมื่อไหร่จะได้ฟัง เพราะว่าเราคิดถึงคนที่จากไปว่าไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องตาย แต่ลืมว่าตายแล้วไปไหน ตายแน่ เกิดก็แน่ แต่ว่าเกิดที่ไหน เมื่อตายแล้ว
เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริงทุกขณะ ไม่ว่าจะเกิดหรือตาย หรือว่าระหว่างที่เกิดแล้วยังไม่ตาย ความจริงเป็นอย่างไรก็ทรงแสดง ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยทั้งสิ้น เช่น เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริงๆ
ทำไมพูดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ถึงจะพูดซ้ำอย่างไร ปัญญาที่ยังไม่ได้อบรมพอ ก็ยังไม่สามารถที่จะถึงการเข้าใจสภาพธรรมเพียงหนึ่งที่กำลังปรากฏ คิดดู เพียงหนึ่ง ยากไหม เดี๋ยวนี้ ทั้งเห็น ได้ยิน แล้วคิด แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหูก็มีเสียงปรากฏ ทางกายก็มีอ่อน หรือ แข็งกำลังปรากฏ แล้วขณะนั้นถ้าเราไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งนั้นปรากฏเพียงชั่วขณะที่แสนสั้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
ทุกสิ่งในชีวิต แม้ในพระชาติทุกพระชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้กลับมาเลยแต่ละพระชาติ บางพระชาติเป็นคนยากจนเข็ญใจ บางพระชาติเป็นกษัตริย์มหาศาล บางพระชาติเป็นมหาอำมาตย์ บางพระชาติเป็นปุโรหิต ไม่กลับมาอีกเลย
ขณะนี้ ไม่มีขณะใดที่สามารถจะกลับมาได้เลย เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็เพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นและดับไป จนกว่าจะรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อนั้นก็จะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการประจักษ์แจ้งธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวคำตามที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว นอกจากผู้ที่ได้ฟังและมีความเข้าใจ เป็นประโยชน์ไหม แต่ละขณะ แต่ละคำ แต่ละนาที ไม่ได้ผ่านไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจเหมือนเดิม
แต่ว่าแต่ละคำ ลึกซึ้งมาก แต่ค่อยๆ มั่นคง เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไป เพียงเท่านี้ ถ้าระลึกได้บ่อยๆ ฟังบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ ค่อยๆ มั่นคงขึ้น สภาพธรรมก็จะปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมทั้ง ๔
แต่ต้องตามลำดับ ขณะนี้มีจริงไหม แค่นี้ รู้แค่นี้ หรือว่ารู้มากกว่านี้ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ที่ทรงแสดงไว้เพื่อละความยึดถือว่า เป็นเรา เพราะความจริง คือ ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ
แค่คำว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ จนกว่าจะมั่นคงเป็นสัจจญาณ ก่อนที่จะถึงกิจจญาณ ซึ่งเป็นปฏิบัติ เพราะว่าขณะนี้เป็นขั้นฟัง ปริยัติจะนำไปสู่ปฏิปัตติ คือการถึงเฉพาะด้วยสติ และปัญญาที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น จะละเลยคำว่า อนัตตา ไม่ได้เลย เพราะว่าจุดประสงค์ของการฟังทั้งหมด เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่ต้องเกิดจึงจะมี แล้วเกิดแล้วก็ดับไปด้วย โดยที่ไม่มีใครรู้การเกิดดับ จนกว่าปัญญาค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้จึงปรากฏได้
เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่ใครจะมีโอกาสได้ฟังในแต่ละชาติบ่อยๆ เพราะว่าการฟังธรรม คงจะอุปมาเหมือนกับ เต่าตาบอดที่อยู่ในมหาสมุทรแล้วก็มีบ่วง หรือจะเรียกว่าเสวียนที่ลอยอยู่ และลมก็พัดบ่วงนั้นไปทางทิศต่างๆ บางทีลมตะวันออกก็พัดไปทิศตะวันตก ลมตะวันตกก็พัดไปทางทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ แล้วโอกาสที่เต่าตาบอดจะได้สอดคอคล้องบ่วงนั้น เป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่ทุกคนร่วมใจกันที่จะศึกษาธรรมให้เข้าใจ เป็นประโยชน์ทั้งตนเอง และบุคคลอื่นด้วยที่จะดำรงพระศาสนาไว้ เพราะเหตุว่า แต่ละขณะอย่าได้ล่วงเลยไป ซึ่งเป็นคำในพระไตรปิฎกที่ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท
ยังมีธรรมอีกมากที่จะต้องฟัง ที่จะต้องเข้าใจ การเข้าใจถูกทำให้เบิกบานในการที่จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ที่รู้ว่าจะต้องศึกษาด้วยความรอบคอบ ด้วยความเคารพที่จะทำให้เข้าใจขึ้น
ขณะที่รู้แล้วเบิกบาน ต่างกับขณะที่ไม่รู้แล้วกังวลเดือดร้อน ถ้าไม่รู้เเล้วกังวลเดือดร้อน ผู้นั้นก็เดือดร้อนด้วยความเป็นเรา ไม่รู้ แต่ถ้ารู้และเบิกบาน คือ ความจริงต้องเป็นความจริง เมื่อยังไม่รู้ก็ควรที่จะได้สะสมความรู้เพิ่มขึ้น นี่คือประโยชน์ของความเบิกบานที่รู้ว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะนั้นไม่เดือดร้อน
ผู้ฟัง ขณะนี้ เราอยู่ใต้หลังคาซึ่งแสงส่องมาไม่ถึง ขอให้ท่านอาจารย์กล่าวถึงความลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ กิเลสมากไหม
ผู้ฟัง กิเลสมาก
ท่านอาจารย์ และกว่าปัญญาจะเกิด ที่เป็นแสงสว่าง ยากไหม
ผู้ฟัง ยาก ซึ่งก็สอดคล้องกับคำว่า เหมือนวิดน้ำออกจากเรือ
ท่านอาจารย์ กำลังอยู่กลางมหาสมุทรในเรือ กิเลสมากไหม กำลังจะจมอยู่ทุกขณะ คือ การเข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงแต่เราจะไปคิดถึงคำอุปมา แต่ต้องคิดถึงความจริงเดี๋ยวนี้ จึงจะตรงกับคำอุปมา
ผู้ฟัง จริงๆ แล้วก็ไม่มีเราที่จะไปทำ หรือจะไปรู้ หรือจะไปดับอวิชชาได้ ถ้าไม่มีปัญญาทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดเองตามเหตุตามปัจจัย
ท่านอาจารย์ หนทางของความเข้าใจว่าเป็นอนัตตา เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ถ้าด้วยความเป็นตัวตนก็หมดหนทาง ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้
ผู้ฟัง ถึงแม้เราเห็นแล้วว่า เกิดเองตามเหตุตามปัจจัยก็ไม่สามารถไปทำ หรือจะไปบังคับว่าอย่างนี้ไม่ให้เกิด ไม่ให้เดือดร้อน ไม่ให้โกรธก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็เป็นการเข้าใจถูก ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น แต่มั่นคง ค่อยๆ มั่นคงขึ้นด้วย
ผู้ฟัง เราไม่สามารถที่จะดับอวิชชาได้ถ้ายังไม่มีแสงสว่าง หรือ ปัญญาที่พอที่จะตัดศรีษะได้
ท่านอาจารย์ กำลังมีศีรษะกันทุกคน ใช่ไหม แล้วศีรษะก็ทำให้ต้องเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ เหมือนคนที่ยังไม่ตายก็ต้องมีชีวิตอยู่ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย ถ้าหมดเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดไม่ได้ อย่างพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่เกิดอีก เพราะหมดปัจจัยที่จะให้เกิด โดยตัดศรีษะ คือ อวิชชา เหมือนคนที่ตายแล้วไปไหนก็ไม่ได้ เกิดอีกต่อไปก็ไม่ได้
สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร
วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.จักรกฤษณ์ ท่านสมาชิกอยากจะทราบว่า ชีวิตจะดีขึ้นด้วยพระธรรมอย่างไร เพราะคิดว่า ชีวิตคือการต่อสู้ ก็มี ชีวิตคือความทุกข์ ก็มี มีหลากหลายมากเลย ชีวิตจะดีขึ้นด้วยพระธรรมอย่างไร
ท่านอาจารย์ ประโยชน์ที่สุดของการฟัง กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็คือเข้าใจคำ เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง เพราะไม่ว่าจะฟังอะไรทั้งหมด ถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลาไม่มีค่าเลย
เพราะฉะนั้น เรื่องของสิ่งที่เราควรที่จะสนทนากัน จะเป็นคำหลายคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นคำแปลกๆ คำใหม่ๆ บางทีอาจจะคุ้นหู แต่ยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร
เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยกาลเวลาที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งลึกซึ้ง เพราะแม้แต่ชีวิต ทุกคนก็พูดกันง่ายๆ เกิดมามีชีวิต และก็ตายจากโลกนี้ไป ไม่มีชีวิต ก็แค่นี้ แต่นั่นคือเราจะได้รับประโยชน์อะไรจากการที่เข้าใจเเต่ละคำที่เราได้ยิน
เพราะฉะนั้น คนที่สามารถที่จะกล่าวถึงความจริงของทุกคำ ที่เราเคยได้ยินตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คุ้นหูไหม
ไม่มีใครไม่เคยได้ยินแน่ หรือพูดสั้นๆ พระพุทธเจ้า แต่มีคำว่าพระอรหันต แล้วยังมี สัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือคำเต็ม ทุกคำมีความหมาย เพราะเหตุว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่ชีวิตดีแน่ ไม่มีความทุกข์เลย ตั้งแต่ลืมตาจนหลับตาทุกวันจนจากโลกนี้ไป ไม่มีความทุกข์ สุขมีไหม สุขมี ใช่ไหม แต่ไม่ใช่สุขด้วยกิเลส ด้วยความยินดีพอใจที่นำความทุกข์มาให้ในที่สุด
เพราะว่าสภาพธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก ถ้าเราศึกษาทีละคำแล้วเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า คำว่า เจ้า ต้องใหญ่มาก และยังเป็นพระพุทธเจ้าด้วย พุทธ คือ ผู้รู้
น่าสนใจมาก เพราะเหตุว่า ไม่ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่ดีที่เราชอบแล้วพอใจแล้ว แต่เราก็ยังต้องจากโลกนี้ไป ไม่สามารถที่จะเอาอะไรไปได้เลย แต่สิ่งที่เราไม่เคยมีตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าเราไม่ฟังคำของผู้ที่ทุกคนเคารพสูงสุด ไม่ว่าจะเทวดา พรหมโลกไหนทั้งหมด ก็เป็นผู้ที่ต้องกราบไหว้บูชา ปัญญาความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจทุกอย่าง และตอบคำถามได้ทุกคำถามอย่างละเอียดยิ่ง
เพราะฉะนั้น ประมาทในบุคคลผู้ที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า และยังเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเราพูดว่า พระพุทธเจ้า เหมือนเรารู้จักว่าท่านตรัสรู้ ท่านปรินิพพาน ท่านหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่มีคำว่าสัมมา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งควรที่จะเข้าใจทุกคำ สัมมา หมายความว่า ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ผิด ต่างกันแล้วใช่ไหม เวลานี้เราเห็นอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
ถ้าเราคิดว่า เราเห็นอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเพียงพระองค์เดียวในแต่ละครั้ง จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์พร้อมกันไม่ได้เลย ต้องมีเพียงทีละหนึ่ง และอีกหนึ่ง อีกนานมากกว่าจะมีการที่สามารถจะรู้ความจริง ที่เรายังไม่เคยได้ฟังเลย ไม่เคยได้ฟังความจริงนี้ จนกว่าจะเริ่มเข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ตรัส ซึ่งเป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้บูชา แต่ควรที่จะเป็นผู้ละเอียดว่าเราบูชาอะไร ท่านผู้นี้มีคุณมากแค่ไหน ยิ่งรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเคารพกราบไหว้ ดีกว่ากราบไหว้โดยไม่รู้คุณ ใช่ไหม กราบไหว้อะไร มีคุณแค่ไหน ไม่รู้ แต่ถ้ายิ่งรู้ ยิ่งสมควรที่เราจะต้องกราบไหว้ เป็นคนที่มีเหตุผล ไม่ใช่เป็นคนที่ทำตามๆ กันไปโดยที่ไม่เข้าใจ นั่นเป็นสิ่งซึ่งจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เหมือนกับที่เคยเป็นมาแล้วตลอดมา และตลอดไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก
เพราะฉะนั้น เริ่มต้นด้วยคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่าทุกคำที่จะได้ยินได้ฟัง มาจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ดังนั้นไม่มีอะไรที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรู้ รู้ทุกอย่าง รู้เกินกว่าที่คนอื่นจะคิดว่ารู้ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
นี่คือ ชีวิตหนึ่ง ซึ่งประเสริฐเลิศที่สุดไม่มีใครเปรียบ และยังสามารถที่จะทำให้ชีวิตอื่นๆ ค่อยๆ ดีตาม จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นผู้ที่ไม่มีทุกข์ คือ ไม่มีกิเลส แต่ว่าต้องเป็นสิ่งซึ่งไม่เร็ว และเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่ประมาทคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งเป็นผู้ที่เลิศกว่าบุคคลใดก็คือ ฟังคำใด เข้าใจคำนั้นจริงๆ ทีละคำ ทีละคำก็คงอีกนานกว่าจะหมด เพราะว่าวันหนึ่งๆ เราพูดตั้งหลายคำ รับรองได้ว่าทุกคำที่พูด ไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง
อ. จักรกฤษณ์ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทีละคำ ก็ใช้เวลานาน แต่หลายท่านอาจจะรู้สึกว่านานเพียงไหน แล้วทำไมต้องใช้ความเข้าใจทีละคำเช่นนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่เคยคิดเลยว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร รู้แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เเต่ตรัสรู้อะไร จึงทำให้พระองค์เปลี่ยนจากเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งได้รับคำพยากรณ์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่สละทุกสิ่งทุกอย่างหมด เพื่อชีวิตที่ดี
แม้แต่คำว่าชีวิตที่ดีที่ทุกคนปรารถนาก็ต้องรู้ว่า แท้จริงแล้วชีวิตที่ดีที่เราบอกว่า ชีวิตที่ดี คือดีอย่างไร ไม่อย่างนั้นเราก็เพียงหวังว่า เราจะมีชีวิตที่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าถามกลับ แต่ละคนที่อยากจะมีชีวิตที่ดี ตอบได้ไหมว่าดีอย่างไร กำลังมีชีวิตเดี๋ยวนี้ อยากมีชีวิตที่ดี แต่ต้องการชีวิตที่ดีแบบไหน
อ. จักรกฤษณ์ ในส่วนตัวก็ชีวิตที่ดี ก็มีสุขภาพดี แล้วก็มีจิตใจที่ดี ไม่ทุกข์ใจ
ท่านอาจารย์ ทีละคำ ต้องการสุขภาพที่ดี เพื่อจะมีชีวิตที่ดีหรือเปล่า หรือว่า ไม่เป็นไร ขอให้มีสุขภาพที่ดีก็แล้วกัน จะดีจะชั่วไม่สนใจ ขอให้แข็งแรงอย่างนั้น เท่านั้นหรือ เป็นสิ่งที่น่าคิดมาก ถ้าไม่คิดเราจะไม่รู้เลยว่า เราเกิดมามีโอกาสจะได้ยินได้ฟังคำใหม่ๆ ซึ่งเราไม่รู้จัก หรือคำเก่าๆ ที่เราเคยพูดตั้งแต่เกิดจนตายก็ยังไม่รู้จัก จนกว่าจะมีผู้ที่ตรัสรู้แล้วก็ทรงอธิบายให้คนอื่นได้รู้ตาม เป็นสาวก เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด คุณจักรกฤษณ์ต้องการมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง เพื่ออะไร
อ. จักรกฤษณ์ เพื่ออยู่อย่างมีความสุข
ท่านอาจารย์ อยู่อย่างไร อยู่อย่างมีความสุข น่าคิด คือไม่ใช่ปล่อยไปแล้วไม่ได้คิดเลย เบาๆ บางๆ หวิวๆ หายไปเลย ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสาร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่แม้แต่ว่าจะสุขอย่างไร
อ. จักรกฤษณ์ ส่วนแรก คือ ไม่ทุกข์กาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
ท่านอาจารย์ ไม่ทุกข์กาย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นไปได้ไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
