ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
ตอนที่ ๑๐๙๗
สนทนาธรรม ที่ วิลล่า วิลล่า พัทยา รีสอร์ท จ.ชลบุรี
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เกิดความคิดว่า ทั้งคนเล่น และทั้งคนดู ก็ตายเหมือนกัน ความคิดนี้เกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นความคิดนี้ ก็เป็นความคิดเรื่องอื่นได้ เราจะไม่รู้เลย คนที่ทำฌานสมาบัติเป็นกุศลระดับสูงมากสามารถที่จะถึงปฐมฌาน ทุติยฌานเพราะละอกุศลชั่วคราวเป็น วิกขัมพนปหาน ระงับไว้ เขาสามารถที่จะมีความรู้สึก หรือความคิดอะไรซึ่งเป็นผลของการสะสมโดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น รู้อย่างมากที่สุดว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น แม้แต่ความฝัน บางคนบอกว่าฝันแม่น ฝันทีไรแม่นทุกทีก็เลยกลายเป็นเราฝันแม่น แต่ว่าจะเป็นฝันแม่นหรือไม่แม่นขณะนั้นต้องมีปัจจัย และถ้าติดข้อง ยากไหมที่จะไม่ใช่เรา ตรงนี้ที่แสนยาก เพราะทุกอย่างนำมาซึ่งความติดข้องหมด เราฝันแม่น เรามีนิมิตเกิดก่อน มีการรู้ล่วงหน้า มีการคิด อะไรต่ออะไรก็เป็นเราหมดเลย แต่ถ้ารู้ว่าชั่วขณะแล้วก็ดับ อะไรจะเกิดไม่หวั่นไหวเพราะปัญญา ดีกว่าที่จะเป็นเราที่เป็นคนที่เก่งและรู้ ๒ อย่างนี้ต่างกันมากเลย เรื่อง ละกับเรื่อง ติด
ผู้ฟัง อย่างนั้นก็เหมือนกับไปหลงทาง เพราะว่าเวลาเขานั่งสมาธิก็จะเกิดเป็นญาณ เป็นอะไรต่างๆ
ท่านอาจารย์ คำว่าญาณคืออะไร แต่ละคำที่พูดมาจะต้องรู้ชัดจนถึงที่สุด ญาณคืออะไร ทำไมเราฝัน เป็นญาณหรือเปล่าที่ฝัน แล้วเราไปนั่งแล้วเห็นโน่น เห็นนี่ เป็นญาณ หรือว่าเหมือนฝันที่มีปัจจัยที่จะคิด แค่นี้บอกว่าเป็นญาณได้อย่างไร
ผู้ฟัง ในพระสูตรหลายคนก็คงได้ยินว่า ไปเฝ้าฟังธรรม กราบทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง แต่จริงๆ การที่ปัญญาแต่ละคนจะบรรลุต้องมีการสะสมอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นบุคคลที่ฟังพระธรรมแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์เลย แสดงว่าเขาต้องผ่านปัญญาระดับโสดาบันมาแล้ว
ท่านอาจารย์ แม้วิปัสสนาญาณก็ต้องเกิด ไม่อย่างนั้นจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ แต่เร็วมาก อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัปป์ที่สะสมมา จะรู้ไหมว่าจะตรัสรู้ขณะไหน ต้องเมื่อพร้อม จะก่อนสักหน่อยหนึ่งได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จะหลังสักหน่อยได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ต้องในขณะนั้นเกิดขึ้น แล้วพระปัญญาที่ได้สะสมมาทั้งหมดคือ ทศพลญาณ เกิดขึ้นกับพระองค์ ส่วนคนที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคนที่สะสม ฌาน อภิญญามาแล้วในอดีตมาก เวลาที่มรรคจิตเกิดประกอบพร้อมด้วยคุณธรรมนั้น หมายความว่าพร้อมกับการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม สิ่งที่เขาสะสมมาก็สามารถเกิดได้สำหรับคนที่มีมาก แต่สำหรับคนที่บางชาติก็มีนิดเดียว ไปทำสมาธิมานิดหน่อยยังไม่ถึงฌานเลย แล้วจะให้มาเกิดอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้
ดังนั้น จึงมีพระอริยบุคคล เอตทัคคะในทางต่างๆ กัน มัคคสิทธิฌานก็ไม่ต้องไปทำสมาธิมาก่อน แต่ที่ทำมาแล้วกองใหญ่โตมโหฬารเมื่อถึงเวลาก็เกิดพร้อมกับมรรคจิตได้ ถึงแม้ว่าจะได้ฌานในชาตินั้นแต่น้อยมาก ไม่เหมือนคนที่สะสมมาแล้ว เวลาที่มรรคจิตเกิดไม่มีฌานเกิดร่วมด้วยก็ได้ แต่มรรคจิตทุกมรรคเป็นฌาน เป็นโลกุตตรฌาน เพราะความมั่นคงตั้งมั่นในอารมณ์ชัดเจนแจ่มแจ้งเท่ากับอัปปนาสมาธิของฌาน แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะดับกิเลสได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมซึ่งมีหลากหลาย จิต ๘๙ จึงเป็นจิต ๑๒๐ ตามลำดับขั้น จิตทั้งหมดที่เป็นโลกุตตระ คือปฐมฌาน แต่ถ้าเขาเคยทำฌานมาก่อนแต่ละความติดข้อง เวลาที่โลกุตตรจิตเกิด สิ่งนั้นเกิดร่วมด้วยคือองค์ของฌานก็ลดไปตามลำดับ ก็เป็นมรรคจิตซึ่งประกอบด้วยฌานขั้นต่างๆ ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน ก็เลยทำให้เป็นโลกุตตรจิต ๔๐ ซึ่งปกติคือ ๘ โสตาปัตติมรรคหนึ่ง ผลหนึ่ง สกทาคามิมรรคหนึ่ง ผลหนึ่ง อนาคามีมรรคหนึ่ง ผลหนึ่ง อรหัตตมรรคหนึ่ง ผลหนึ่ง พวกนี้ก็เป็น ๘ แต่ว่าถ้าประกอบด้วยฌานก็เป็น ๔๐
ผู้ฟัง ถ้าบุคคลที่ไม่ได้สะสมสมาธิฌานในอดีตชาติมาก่อน แต่ว่าในสมัยพุทธกาลฟังพระธรรม แล้วบรรลุอริยสัจจธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นโสตาปัตติมรรค โสตาปัตติผล สกทาคามีมรรค สกทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล จนถึงอรหัตตมรรค และอรหัตตผล สามารถที่จะบรรลุ
ท่านอาจารย์ อย่างพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านเป็นอรหันต์ทันทีไม่ได้ ต้องเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง อย่างคนทั่วไปที่เป็นพระอริยบุคคล ที่ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ อย่างท่านพระพาหิยะ จากพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ถึงอรหันต์ในช่วงที่สั้นมาก สั้นแสนสั้น เพราะโสตาปัตติมรรคจิตหนึ่งขณะ
ผู้ฟัง เพราะปัญญาที่ได้สะสม อบรม เจริญมาแล้ว
ท่านอาจารย์ จนหนึ่งขณะนั้นไม่ใช่จิตอื่นเลยทั้งสิ้น หนึ่งขณะที่เกิดขึ้นดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เป็นเหตุทำให้โสตาปัตติผลเกิดต่อทันที เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสนั้น และต่อๆ ไปกิเลสนั้นก็เกิดอีกไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ หรือไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์
ผู้ฟัง จะขอแบ่งปันเกี่ยวกับพระสูตรที่อ่านมา คือ สมมติว่าเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วรดน้ำสักแสนครั้งก็ยังไม่ออกลูกทันที ซึ่งเหมือนปัญญาที่ต้องบ่ม อย่างเช่นพระพุทธองค์จะตรัสรู้ต้องบ่มโพธิญาณมา ๔ อสงไขยแสนกัปป์ หรือว่าก่อนหน้านั้นอีก หรือถ้าเราปลูกข้าวไว้ คุณณภัส จะใส่ปุ๋ยอย่างไร ข้าวก็ยังไม่ออกรวง ถ้าถึงเวลาที่ปัญญาแก่กล้าแล้ว จึงจะสามารถที่จะตรัสรู้ได้หรือเข้าใจธรรมได้ เดี๋ยวนี้ไม่เดือดร้อนเลย เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ว่าต้องสะสมเหตุที่ดีไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ เพราะความเข้าใจ จึงสามารถที่จะไม่เดือดร้อนได้
ผู้ฟัง อ่านจากพระสูตรนี้ที่ว่า กว่ารวงข้าวจะแก่ท้องออกรวง ต้องใช้เวลาในการบ่ม
ผู้ฟัง ทราบว่าคนที่จะบรรลุได้แค่โสดาบัน ก็ได้แค่โสดาบัน แต่สำหรับบุคคลที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แสดงว่าปัญญาเขาต้องอบรมเจริญมามาก คือดับอนุสัยหมดจนเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นโสดาบัน แล้วกี่วันเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ จากแรมหนึ่งค่ำไปจนกระทั่งถึงทุกคนเป็นพระโสดาบันหมด ก็ได้แสดงอนัตตลักขณสูตร จากการที่เป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่วันเดียวกัน ต่างวันกัน แต่เมื่อฟังอนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์เหมือนกันหมดจากสูตรนั้น เราไม่มีทางจะรู้เหตุปัจจัย แต่ผลแสดงให้รู้ว่าต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้วตามสมควร ผลอย่างนั้นจึงได้เกิดขึ้นได้ ท่านพระสารีบุตร เป็นพระโสดาบันนานกว่าท่านพระอัญญาโกณฑัญญะไหม กว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ นานกว่าท่านมหาโมคคัลลานะด้วย เพราะว่าแค่ ๗ วันพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์ แต่พระสารีบุตร ๑๕ วัน ใครจะไปกะเกณฑ์ใคร ทุกอย่างแสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน
ถ้าเราจะพูดว่าต้องมีปัญญา จึงสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา ไม่ได้บอกให้ไปทำ แต่ขาดปัญญาไม่ได้เพราะจำเป็นต้องมี จึงสามารถที่จะเจริญขึ้นมาได้ ไม่ใช่จากไม่มีเลย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจด้วย ว่าหมายความถึงจำเป็นที่จะต้องมีปัญญา ไม่ได้หมายความว่าบังคับ แต่ถ้าขาดปัญญาแล้วก็เป็นไม่ได้
ผู้ฟัง คือมีอยู่บ้างเเล้ว
ท่านอาจารย์ เเต่ไม่ใช่บอกให้เราต้องทำ ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าให้เราต้องคิด ไม่คิดไม่ได้ หรืออะไรอย่างนั้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง
ผู้ฟัง ถ้าบุคคลนั้นไม่มีการสะสมมาแต่ชาติปางก่อน ก็ไม่มีทางที่จะฟังธรรมตรงนี้เข้าใจได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ไม่เห็นประโยชน์ด้วย ไก่ได้พลอย นี่คือไก่ได้เพชร ยิ่งกว่าพลอย ก็ไม่รู้ค่า
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น คือว่าเป็นคนที่ ทั้งมีศรัทธาด้วยและเห็นประโยชน์ของการฟังธรรมด้วย ถึงได้มีความสนใจที่จะฟัง
ท่านอาจารย์ คุณปริญญา ชาติก่อนรู้ไหมว่าจะเป็นคนนี้
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าจะได้ฟังธรรม
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าจะเข้าใจธรรมได้
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ แต่เพราะเหตุปัจจัยมี จะไม่เป็นคนนี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จะไม่ฟังได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จะไม่เข้าใจได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็เพราะเหตุปัจจัยมี
ผู้ฟัง อธิษฐานบารมีตามที่เคยได้ฟัง คือการตั้งใจมั่น ตั้งใจมั่นที่จะรู้ความจริงในสิ่งที่ปรากฏ ปัญญาที่เพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ
ท่านอาจาร์ย ไม่ใช่ตั้งใจมั่น ที่จะรู้ผิดๆ ถูกๆ
ผู้ฟัง การไปกล่าวต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา อะไรอย่างนั้นไม่ใช่อธิษฐานบารมี
ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าคนนั้นรู้จักพระพุทธศาสนาหรือเปล่า จะมากจะน้อยไม่สำคัญ แต่เขาก็ยังเห็นประโยชน์ของคำว่า พุทธ และศาสนา เเต่ต้องเห็นความลึกซึ้ง มั่นคง ที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงถูกต้อง ยิ่งรู้ว่ายาก ยิ่งต้องมั่นคง วันไหนจะรู้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจขึ้นๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจขึ้นแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร ต้องมั่นคงในเหตุในผล
ผู้ฟัง แล้วจะเป็นบารมีก็ด้วยการที่เพิ่มขึ้นๆ มากขึ้น
ท่านอาจารย์ แน่นอน ใครจะไปทางไหนราก็รู้ว่า ไม่ใช่ ไม่จริง ไม่ถูก ให้ไปสำนักปฏิบัติ ไปทำไม ต้องตรง ต้องจริง
ผู้ฟัง อย่างทานบารมี การให้ทาน แต่ก็ต้องให้ด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกว่าไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่มีปัญญา ไม่ใช่บารมี
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าบุคคลที่ให้ทาน โดยที่ไม่ได้มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่บารมี แต่เป็นแค่ทาน
ท่านอาจารย์ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น หมายความว่าบารมี มี ๑๐ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ทานไม่ใช่หวังผล นั่นไม่เป็นทาน เพราะเราหวังเหมือนซื้อขาย เเล้วจะบอกว่าเป็นทานได้อย่างไร ทานคือสละจริงๆ ไม่ได้ต้องการอะไรเป็นการตอบแทนทั้งสิ้น มิฉะนั้นเป็นการซื้อขาย จะซื้อมาก ซื้อน้อย ก็ตามแต่ แต่รู้ด้วยว่าสละ เพราะฉะนั้นการสละก็มีตั้งแต่น้อยถึงมาก ง่ายถึงยาก ของที่เราไม่ค่อยชอบก็สละง่าย เอาไปได้เลย ไม่เดือดร้อน ถ้าชอบนิดหน่อย สละให้ได้บ้าง แต่ให้ไม่หมด แล้วถ้าชอบมากจะสละสิ่งนั้นได้ไหม แค่เสื้อตัวเดียวที่ชอบมากจะสละไหม แต่บารมีเห็นว่าถ้ายังติดข้องอยู่ ขณะนั้นก็ยังละไม่ได้ และการละความเป็นตัวตนยากกว่านั้นไหม ยากกว่าเสื้อตัวหนึ่งไหม แต่ว่าไม่ใช่บังคับใจว่าให้ เพื่อที่จะเป็นอย่างนั้น แต่รู้ว่า ให้หรือไม่ให้ ก็ไม่ใช่เรา กว่าจะไปถึงการที่ไม่ใช่เราได้ต้องรู้ทั่วทุกอย่าง ไม่ใช่ไปพยายามฝืนจะให้เป็นบารมีด้วยความเป็นเรา นั่นก็ผิดอีก เพราะสภาพธรรมเป็นธรรม อกุศลเป็นอกุศล ไม่ใช่เรา จะแรงสักเท่าไหร่ก็เกิดแล้ว ไม่ได้มีใครไปทำให้เกิด ปัญญาสามารถเข้าใจได้ทั่วเมื่อไหร่ จึงจะสามารถละได้จริงๆ มิฉะนั้นก็เป็นเราแอบแฝงอยู่ตลอด
ผู้ฟัง คือว่าบารมีทั้ง ๑๐ ปราศจากปัญญาไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนั้นปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่เป็นพื้นที่จะทำให้จิตใจน้อมไปสู่การประพฤติเป็นไปอย่างนั้น อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ อุปติสสะมานพกับสหาย ท่านไม่รู้เลยว่าจะเป็นพระโสดาบัน จากชีวิตปกติธรรมดาใครจะรู้ว่าบุคคลนี้จะเป็นพระอรหันต์ ใครคิดว่าองคุลิมาลจะเป็นพระอรหันต์ แต่ปัจจัยมีหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่เขามีแล้ว แต่เพราะฝ่ายอกุศลที่หนาแน่นมากนั้นยังไม่ได้ดับไปเลยก็มีกำลังที่จะเกิดขึ้น เเต่ปัญญามีกำลังกว่าจึงสามารถจะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม อย่างเราฟังขณะนี้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ปัญญายังไม่มีกำลังเลยที่จะรู้ว่าหนึ่งๆ ๆ เป็นธรรม เพราะยังไม่ถึงเฉพาะแต่ละหนึ่ง เนื่องจากว่าเร็วมากเลย เเละหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นแม้แต่สติสัมปชัญญะ ก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ มีหรือที่ปัญญาจะไม่รู้ว่า นั่นสภาพธรรมปรากฏด้วยดี ถ้าด้วยไม่ดี คือไม่รู้ ด้วยดี คือรู้ ว่านั่นเป็นลักษณะของธรรม กว่าจะทั่วหมด แค่หนึ่งที่เกิด โลภะตามมาแล้ว เมื่อไหร่จะเกิดอีก ทำอย่างไรจะเกิดอีก วุ่นวายไปอีกด้วยกำลังของความไม่รู้ กว่าจะถูกปราบให้น้อยลงด้วยกำลังของปัญญา เพราะฉะนั้น ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด ถ้าปัญญาไม่สามารถที่จะรู้อกุศลได้ ปัญญาก็ละอกุศลไม่ได้ แต่ลองคิดถึงกำลังของอกุศล เมื่ออกุศลเกิด คนทั่วไปไม่อยากโกรธก็หาวิธีเเล้ว ไม่สบายใจก็หาวิธีแล้วเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่เรา จนกว่าจะเป็นพระอนาคามีบุคคลเมื่อไหร่ ไม่โกรธเมื่อนั้น ไม่สบายใจสักนิดเดียวก็ไม่มี เพราะไม่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ในกามอารมณ์ทั้งหมด ไม่มีความติดข้องจึงไม่เกิดโทมนัสจึงไม่เกิดความไม่สบายใจ แม้ว่าจะอยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก่อนหน้านี้เคยไม่สบายใจ สุขบ้าง ทุกข์บ้างกับสิ่งที่ปรากฏ แต่ปัญญาสามารถที่จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ดับกิเลสตามลำดับตั้งแต่สภาพธรรมปรากฏจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ยังเป็นแค่อุทยัพพยญาณ กว่าจะถึง การละ การวาง การหน่าย ในสภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความไม่รู้เลย เป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องมั่นคงว่า เข้าใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปพูดถึงสติสัมปชัญญะ หรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีวันจะเกิด
ผู้ฟัง คือว่ากุศล อกุศล เป็นเหตุที่จะนำไปซึ่งผลก็คือวิบาก ในชีวิตประจำวันก็คงเคยมีการให้ทานโดยตัดความรำคาญ คือขณะนั้นจิตต้องเป็นอกุศลที่ให้ด้วยความรำคาญ คือจริงๆ ก็ต้องพิจารณาเป็นจิตแต่ละขณะ เพราะว่าในขณะที่ให้ ต้องมีสติ ที่ระลึกเป็นไปในการให้
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา แต่ให้
ผู้ฟัง ขณะให้ต้องเป็นกุศล แต่ขณะที่รำคาญ ก็อีกขณะหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ใช่ ปัญญาต้องรู้ทั่วทั้ง ๒ ขณะ
ผู้ฟัง ถ้าคนที่ไม่ได้ละเอียดแบบนี้ เหมารวมเหตุการณ์ที่ให้ด้วยความรำคาญ เขาก็จะถามว่า แล้วผลของทานที่เขาให้ จะมีไหม
ท่านอาจารย์ ถึงใครตอบ เขารู้ไหม เขาก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาไปเอาคำตอบมาต่างหาก ไม่ใช่ความเข้าใจของเขาเอง
ผู้ฟัง หรือขโมยของมา แล้วเอาของที่ขโมยไปให้คนอื่นทำทาน อย่างนี้จะเป็นอานิสงส์ได้อย่างไร เพราะว่าของนั้นไม่ได้มาโดยบริสุทธิ์
ท่านอาจารย์ ถ้าเราตอบคำถามไปโดยที่เขาไม่เข้าใจ จะมีประโยชน์ไหม เพราะฉะนั้น ประโยชน์คือ ไม่ใช่เเค่ตอบเขา แต่ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา โดยอะไรๆ ๆ ๆ ขณะที่ไม่ให้เป็นอะไร ขณะที่ให้เป็นอะไร ขณะที่ทุจริตเป็นอะไร ขณะที่ยังไม่ต้องถึงกับไปให้หรือไม่ให้ แค่กำลังฟังธรรมอยู่นี้ เราก็กำลังเข้าใจธรรมท่ามกลางอกุศล เพราะไม่เคยรู้เลยว่า ทันทีที่เห็น รูปยังไม่ดับ อกุศลเกิดแล้ว ระดับอาสวะ ไม่ใช่ระดับนิวรณ์ เพราะอกุศลก็มีหลายระดับ ระดับแรงมาก ขุ่นใจจนนอนไม่หลับ คิดเป็นเดือนเป็นปีจะฆ่าใครก็มี กับระดับที่ขุ่นใจนิดเดียว แค่ฝุ่น ไม่ชอบที่ฝุ่นติดอยู่ตรงนี้ ถ้าแค่นั้นก็ไม่สำคัญ แต่ว่าถ้ามีกำลังมากขึ้นก็ต้องเป็นไปตามกำลังของอกุศล
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราสามารถจะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย ก่อนฟังธรรมไม่เคยรู้เลยว่าแค่ลืมตาเป็นอกุศลเเล้ว เพราะรูปยังไม่ดับ วิถีจิตเกิดแล้ว วิถีจิตหมายความว่า จิตหลายขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ รู้รูปๆ หนึ่งที่ยังไม่ดับ เป็นวิถีจิตทั้งนั้นเลย วิถีจิตแรก คือ ปัญจทวาราวัชชนะดับ รูปยังไม่ดับหลังจากปัญจทวาราวัชชนะ ก็คือ จักขุ คือเห็น จักขุวิญญาณ หรือได้ยิน โสตวิญญาณ หนึ่งขณะเอง ดับ จิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่แค่รับรู้สิ่งนั้นต่อ ต่างกันไหม เราคิดกับเราเห็นก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวิตก (วิ-ตัก-กะ) รับอารมณ์นั้น กับจิตที่ไม่ได้เห็น ดับไป เป็นปัจจัยให้จิตต่อไป ไม่เห็น แต่มีอารมณ์เดียวกัน เพราะรูปยังไม่ดับทำหน้าที่อื่นแล้ว ไม่ใช่ทำหน้าที่เห็น ทำหน้าที่พิจารณา ภาษาไทย พิจารณา เหมือนนานหลายขณะเลย เเต่เป็นเพียงแค่รู้ขึ้นจากการที่รับไว้ หลังจากนั้นต้องมีกิริยาจิต ซึ่งเป็นโวฏฐัพพนะ เกิดกระทำทางให้หลังจากที่เขาดับแล้ว กุศลหรืออกุศลเกิดทันที ยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นแค่นิดเดียว ยับยั้งไม่ได้ เป็นกิเลสที่เหมือนอาสวะ คือไหลไปทันที เพราะมีมาก สะสม หมักหมม เหมือนกับต้นยาง แค่เล็บจิกนิดเดียว ยางไหลออก
เรากำลังเจริญกุศลท่ามกลางอกุศล ซึ่งอะไรมากกว่ากัน ก็มีทั้งอกุศล และมีทั้งกุศล จนกว่ากุศลมีกำลัง เพราะฉะนั้น มีอีกคำหนึ่งสำหรับพระอรหันต์ ขีณาสวะ ขีณะแปลว่าดับ อาสวะ คือกิเลสที่เรากำลังกล่าวถึง บางมาก ละเอียดมาก ไม่รู้สึกตัวเลย พร้อมที่จะออกมาตลอดเวลา แต่ยังไม่ออกเพราะเป็นภวังค์ แม้ในภวังค์ก็สะสมอกุศล เป็นอนุสัย พร้อมที่จะเกิด ทันทีที่กระทบเกิดแล้ว ไม่พ้นไปเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้เราจะสะสมปัญญาเข้าใจถูกได้ไหม เพราะว่าปัญญาเท่านั้นที่เพราะรู้จึงละ ถ้าไม่รู้ ไม่มีทางละได้เลย ทั้งหมดที่ไม่รู้ก็ละด้วยความรู้ ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะฉะนั้นเรากำลังฟังธรรม เข้าใจธรรมท่ามกลางอกุศล แล้วถ้าไม่ฟังคำของพระพุทธเจ้า เราจะรู้ไหม ไปนั่งทำอะไรกัน
ขีณาสวะคือผู้ดับอาสวะ กิเลสที่เรากล่าวคืออาสวะ อาสวะ มี ๔ ประเภท กามาสวะ ความพอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทันทีเลย ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นอะไร ภวาสวะ พอใจในความเป็น ภวะคือภพ ความเป็น เหมือนภวังค์ คือความเป็น ที่ต้องเป็นบุคคลนั้น โดยจิต เกิดดับ สืบต่อ ดำรงความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น ภวาสวะดำรงความเป็นเรา ไปไหนเป็นเราไปทั้งนั้น ภพคือความเป็นเราติดตามอยู่ตลอดเวลา เป็นอาสวะ ทิฏฐาสวะ ความเห็นผิดเกิดขึ้นเลยสำหรับคนที่หนาแน่น เหนียวแน่นมาก เช่น ตลอดทั้งชีวิตของเขาเข้าใจว่ามาจากพระเจ้า เป็นต้น ความเห็นผิดหมักหมมไหลไปทันที จะไปกราบ ไปสวดมนต์ที่ไหนก็ตาม แต่เพราะความเห็นผิดนำไป อาสวะอีกหนึ่งคือ อวิชชาสวะ อวิชชา ความไม่รู้เป็นพื้นของทุกอย่าง ทำให้กิเลสต้องเกิดเพราะความไม่รู้ เป็นกิเลสประเภทต่างๆ ตั้งแต่อาสวะ เป็นโอฆะ เป็นโยคะ เป็นอะไรทั้งหมด จนกระทั่งถึง สังโยชน์ ร้อยรัดไว้ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไปด้วย ไปสวรรค์ก็ไปด้วย ใช่ไหม
กิเลสพวกนี้ไม่เคยห่างเลย แล้วอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง แล้วไปนั่งทำวิปัสสนา นั่นไม่ใช่วิปัสสนา ปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ตั้งแต่ขั้นฟังจนกว่าจะถึงขั้นปฏิปัตติ จนกว่าจะถึงปฏิเวธ ประจักษ์แจ้งได้ ไม่มีโอกาสรู้เลยว่ามาจากไหน ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยความเป็นอนัตตา สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะเกิดไม่ได้เพราะไม่มีปัจจัย จึงละความเป็นเรา เพราะรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา แต่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งนั้น ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว ระดับไหน ก็เพราะปัจจัย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140