ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120


    ตอนที่ ๑๑๒๐

    สนทนาธรรม ที่ เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท

    วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.วิชัย ข้อความในปัชโชตสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แสงสว่างทั้งหลายในโลกมีอยู่ ๔ อย่าง แสงสว่างที่ ๕ มิได้มีในโลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในกลางวัน ดวงจันทร์สว่างในกลางคืน อนึ่ง ไฟย่อมรุ่งเรืองในกลางวัน และกลางคืนทุกหนแห่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลาย แสงสว่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแสงสว่างอย่างเยี่ยม การที่จะทราบถึงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแสงสว่างอย่างยอดเยี่ยม คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่เคยได้ฟังคำจากคนอื่น ที่เหมือนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคำ ไม่ว่าชาติไหน จะเกิดมากี่ครั้งก็ตาม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าแม้แต่คำคำเดียวของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นแสงสว่างอย่างยิ่งที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ที่ผ่านไปแล้วทั้งหมดในชีวิต ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้สามารถเข้าใจความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปิดเผยด้วยแสงใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นก็ตกอยู่ในความมืดมานานไม่รู้อะไรเลยทุกชาติไปในสังสารวัฏฏ์ จนกว่ามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งแต่ละคำก็เป็นแสงที่ส่องให้เห็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีทุกขณะ

    อ.วิชัย ข้อความหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกันในอรรถกถา วิภังคปกรณ์ กล่าวว่า จริงอยู่ความมืดในหทัยของเวไนยสัตว์จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัดได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ได้โดยประการใดๆ พระองค์ก็ทรงประกาศธรรมนั้นโดยนัยอันย่อ และพิสดาร ที่กล่าวว่าเป็นความมืดในหทัยคือ ในจิตของเวไนยสัตว์ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มืด ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้ เห็นเกิด และดับ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ซึ่งเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นปิดบังมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมปรากฏเสมือนว่าไม่เกิด และไม่ดับเลย สืบเนื่องติดต่อกัน จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำ ให้คิด ไม่เห็นยังจำสิ่งที่เคยเห็น ไม่ใช่แค่จำ ยังคิดถึงสิ่งที่เคยเห็น ยาวด้วย เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติทั้งชาติก็ได้ แสดงให้เห็นความจริงว่าไม่มีการที่สามารถจะรู้ได้เลยว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏ มีชั่วขณะที่ปรากฏ

    คำของพระองค์สำหรับที่จะฟัง ไตร่ตรอง เป็นความจริงซึ่งลึกซึ้ง แต่รู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่โดยรวดเร็ว แต่ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตรงตามความเป็นจริง ให้ค่อยๆ คิดว่า ก่อนเห็น ไม่มีเห็นเลย เห็นไม่ได้เกิดขึ้น และขณะใดก็ตามที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นกำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแน่นอน และทันทีที่ผ่านพ้นสิ่งนั้นไป สิ่งนั้นหามีไม่ แต่สัญญาสภาพจำ จำไว้มั่นคง ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นเราเกิด ทุกวันก็เราเห็น เราสุข เราทุกข์ ทั้งหมด จากโลกนี้ไปแล้วเราที่เห็นมาแล้ว ที่สุขมาแล้ว ที่ทุกข์มาแล้ว ที่เคยเป็นเรา อยู่ไหน ไม่มีอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว และที่เป็นคนนี้ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีสภาพธรรมที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตายก็จะไม่มีเรา แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดก็ไม่รู้ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นความมืด มืดสนิท แม้ว่าได้ฟังธรรม กว่าแสงสว่างจะสว่างพอ ก็ต้องมาจากแสงสว่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้นจากความมืดมิดก็เป็นการได้ยิน ได้ฟังคำซึ่งใครก็พูดไม่ได้เลย ไม่สามารถที่จะอธิบายความหมายของคำนั้นให้ลึกซึ้งได้ จนกว่าจะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเห็นพระมหากรุณาคุณซึ่งเกิดจากพระบริสุทธิคุณ ซึ่งเกิดจากพระปัญญาคุณ ว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย เพราะว่าใครก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือ พรหมชั้นใดก็ตาม ยังต้องมาเฝ้าเพื่อกราบทูลถาม ด้วยเหตุนี้แต่ละคำมีค่ามหาศาล นับคุณค่าประเมินประมาณไม่ได้เลย เพราะว่าทำให้ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งความไม่รู้หมดสิ้นไปได้

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าการที่จะเข้าใจความมืดในหทัย ก็คือขณะนี้เอง ทั้งๆ ที่เห็นในสิ่งที่ปรากฏ แต่ความมืดไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏได้

    ท่านอาจารย์ คิดถึงบุคคลในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน เป็นต้น คนเหล่านั้นถ้ามาเฝ้าเเล้วไม่ได้ฟังคำของพระองค์ มืดไหม แต่ว่าแต่ละคำที่เขาได้ฟังเหมือนเรา คำเดียวกันเลยทุกคำเป็นคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ว่าคนที่มา มาจากต่างชาติ ต่างการสะสม อัธยาศัยก็ต่างกัน คนที่ได้ฟังแล้วไตร่ตรองรู้ว่าสิ่งนี้จริงแท้แน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ทันทีที่ได้ฟัง แต่เป็นความจริงแน่ เพราะฉะนั้นก็มีความอดทน มีความเพียร มีการเห็นประโยชน์ ฟังต่อไป ขณะนั้นความเข้าใจเกิดขึ้นค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนนี้ไม่เข้าใจ แต่แต่ละคำทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นได้

    เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ แต่เตชะอานุภาพของคำที่กล่าวถึง สัจจะความจริงเดี๋ยวนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินแล้วไตร่ตรอง และมีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย คือรู้ว่าเห็นขณะนี้เกิด และดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิด และดับ ด้วยเหตุนี้ทั้งหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกชาติไปที่จะได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ อบรมมั่นคงขึ้นจนกระทั่งค่อยๆ คลายความติดข้องในสิ่งซึ่งยึดถือว่าเป็นเรา หรือของเรานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียว กว่าจะหมดความไม่รู้ และความเป็นเรา ก็เพราะธรรมเตชะ คำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้สามารถที่จะให้ปัญญาค่อยๆ เกิดค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.อรรณนพ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ใจที่มืดมนด้วยความไม่รู้ เป็นอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ทุกคำที่ได้ฟัง เช่นธรรมคืออะไร ถ้าไม่มีจริงๆ จะพูดถึงทำไม แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ถ้าสิ่งนั้นไม่มี แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียวหมายความถึงสิ่งที่มีจริง แค่นี้ก็ไม่รู้เเล้ว ฟังสัก ๑๐ ปี ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับความลึกซึ้ง ซึ่งกว่าจะรู้จริงๆ อย่างที่ได้ฟังทุกคำก็จะเป็นผู้ที่รู้ได้ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมาจากการตรัสรู้ ซึ่งอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจขึ้นจนรู้ตามได้ เพราะฉะนั้นความยาวนานไม่ต้องนับ นับไม่ได้เลย แต่พิสูจน์ได้ว่าฟังมานานเท่าไหร่แล้ว เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับหรือเปล่า ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นไหม และก็ไม่ใช่มีแต่เห็น ขณะได้ยินต้องไม่มีเห็น คนละอย่างกันเลย ธาตุรู้ทางตา เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ ธาตุรู้ทางหู เกิดขึ้นได้ยินเสียง จะเป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ สิ่งเดียวกันไม่ได้ เกิดจากปัจจัยเดียวกันไม่ได้ด้วย

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีความละเอียดมาก ที่จะแสดงให้เห็นว่าการฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือฟังเพื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องในความหมายของแต่ละคำซึ่งลึกซึ้ง ไม่ประมาทเลย เพราะเหตุว่าความจริงสามารถที่จะเข้าใจได้เพราะจริง แต่ว่าต้องไม่ใช่เพราะเรา ต้องเป็นปัญญา ความเห็นที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็รู้เองว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหน ก็ไม่ต้องคิดถึง เพราะเหตุว่าเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ พรุ่งนี้ก็ได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็ติดตามไปสำหรับชาติต่อๆ ไป ถ้าอีก ๑๐ ปีต่อจากนี้ไป ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นอีก จากโลกนี้ไปแล้วสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากวันนี้อีก ๑๐ ปี ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็สืบต่อในชาติต่อๆ ไป

    อ.อรรณพ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะขจัดความมืดในใจได้อย่างไร จากแต่ละคำๆ

    ท่านอาจารย์ คุณอรรณพ เป็นคุณอรรณพหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ตอนที่ไม่ได้ไตร่ตรองในความเป็นธรรมก็มีแต่ความเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ สว่าง แล้วใช่ไหม

    อ.อรรณพ ค่อยๆ สว่าง ขณะที่มีความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณาว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่สว่างอย่างนี้ยังไม่ใช่แสงอาทิตย์ แล้วพระปัญญาของพระองค์ก็ยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าความไม่รู้มากแค่ไหน ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลย ในสังสารวัฏฏ์ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไป ออกไม่ได้ เปลี่ยนจากคนนี้ก็เป็นคนอื่น แล้วก็เป็นคนอื่น เกิดมานี่ สุข ทุกข์ จำได้หมดไหม

    อ.อรรณพ ลืมไปหมด

    ท่านอาจารย์ ลืมไปหมดใช่ไหม ยังไม่ทันจากโลกนี้เลย เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครจริงๆ แต่ว่าสภาพจำซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นจำ เวลานี้ก็กำลังจำ ไม่จำไม่ได้ ถ้าไม่จำจะรู้ไหมว่าเป็นคุณอรรณพ แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าไม่ใช่เราที่รู้ว่าเป็นคุณอรรณพ แต่สภาพธรรมที่จำ ทันทีที่เห็นก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นใคร และไม่ใช่มีคุณอรรณพคนเดียว จำในห้องนี้ได้ทั้งหมด เหมือนพร้อมกันเลย ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำไป แต่จำผิด วิปลาส แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นกาลใดที่ได้มีการฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสหรือเวลาไหนที่จะประเสริฐเท่าที่ได้มีการได้ยิน ได้ฟังคำซึ่งแสนยากที่จะได้ฟัง เพราะเหตุว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นานมากกว่าจะได้ตรัสรู้ และถ้าพระธรรมอันตรธาน ก็ต้องอีกนานมากกว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา นานไหม และคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เท่าไหร่

    เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลย ไม่ใช่คิดว่าฟังคำเดียวแล้วก็สามารถที่จะรู้ได้โดยพลัน แต่ละคำต้องลึกซึ้งมาก เช่น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง วันนี้ไม่เคยคิดเลยว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่ตื่น ลืมตา อาบน้ำแต่งตัว รับประทานอาหาร อะไรเป็นธรรม ไม่มีเลย แม้แต่ได้ยินแล้วว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ปัญญายังไม่ถึงความเป็นจริงของธรรมตั้งแต่ตื่นจนหลับ ว่านั่นคือแต่ละหนึ่งขณะเป็นธรรมทั้งหมด

    ฟังไป อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว พอได้เค้าว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกกาลสมัยไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งที่มีขณะนั้นเองมีจริงๆ จะใช้คำว่าธรรมก็ได้ ไม่ใช้คำว่าธรรมก็ได้ แต่ให้เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงนั้นคืออะไร ไม่อย่างนั้นก็เพียงแค่มีจริง ดอกไม้ก็มีจริง โต๊ะก็มีจริง คนก็มีจริง แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจริงนั้นเป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งแค่นี้ยังไม่ถึง ๔๕ ปี แต่ที่ทรงแสดงไว้เพื่ออนุเคราะห์ ทุกคำ ทุกประการ โดยประการทั้งปวงให้พิจารณาไตร่ตรอง แม้แต่วันนี้ สิ่งที่มีจริง ไตร่ตรองหรือเปล่า นี่คือขั้นฟัง ขั้นฟังว่านึกได้ไหม ฟังมาตั้งนาน เมื่อตื่นขึ้นมาธรรมทั้งนั้นเลย มีจริงทั้งนั้นเลย แต่ไม่มีปัจจัยพอที่จะเข้าถึงความเป็นธรรม แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจเลยว่าธรรมคืออะไร ก็ไม่มีวันที่สามารถที่จะรู้ความจริงของธรรมได้

    ธรรมคำเดียว เดี๋ยวนี้รู้หรือเปล่า ไม่รู้เลยทั้งๆ ที่เป็นธรรมทั้งหมด กำลังเห็นก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม จำก็เป็นธรรม ชอบก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงๆ ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แล้วเกิดเองก็ไม่ได้ด้วย ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมอะไรเกิดขึ้น กว่าจะถึงคำว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม มีลักษณะจริงๆ ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นแม้แต่ข้อความย่อๆ ที่จะให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไร แต่เนื้อความของธรรมเป็นสังสารวัฏฏ์ทั้งหมด คำย่อมากใช่ไหม แต่ว่าทั้งหมดเป็นสังสารวัฏฏ์ เป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย แล้วก็มีความเคารพจริงๆ ในพระรัตนตรัย ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่ละคำ ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ด้วยความเคารพว่าเป็นธรรม จนกว่าจะเป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ละเอียดรอบคอบ มั่นคง เคารพสูงสุด ว่าแต่ละคำเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษา ให้เข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นโดยความเป็นอนัตตา เพราะว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยคิดเคยจำไว้ แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่ากำลังเกิดดับ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะกำลังเกิดดับ

    อ.วิชัย ธรรมก็กำลังเกิดดับทุกขณะ การที่จะเข้าใจถึงความเกิดดับของธรรม

    ท่านอาจารย์ ยัง เข้าใจถึงความเกิดดับของธรรม ฟังให้เข้าใจก่อนว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าบางคนก็รีบร้อนมาก ฟังเพื่อจะถึงการเกิดดับด้วยความเป็นเรา แต่ว่าฟังเพื่อที่จะเข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรม

    อ.วิชัย ขณะที่ฟังก็ยังไม่ถึงการที่จะประจักษ์การเกิดดับ

    ท่านอาจารย์ แต่เริ่มรู้ก่อนว่า ธรรมคืออะไร ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้อะไรจะเกิดดับ

    อ.วิชัย ก็ไม่ทราบ

    อ.อรรณพ หมายถึงว่าแม้เพียงคำเดียวคือ ความเข้าใจคำว่า ธรรม ก็เป็นเพียงคำเดียวใน ๔๕ พรรษา จากอีกมากมายหลายคำ แต่แม้เพียงคำเดียวนั้น ก็ยังไม่ได้เข้าใจในความเป็นธรรมนั้นจริงๆ เพียงแต่มีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เริ่มต้นเหมือนแสงริบหรี่ แสงหิ่งห้อยจะไปเปรียบเทียบกับแสงพระอาทิตย์เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก็ไม่อาจจะมีความเข้าใจที่มากขึ้นกว่านี้ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็รู้ตามความเป็นจริง เข้าใจเมื่อฟัง แต่เดี๋ยวก็ลืม แค่ลุกขึ้นยืน ออกไปข้างนอกก็ลืมเเล้ว ธรรมอยู่ไหน แต่ว่าขณะที่กำลังฟัง เข้าใจ ซึ่งปัญญาที่เกิดจากการฟังไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก ทำให้มีปัจจัยที่จะไม่คิดถึงคำที่ได้ฟัง ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟังบ่อยๆ เพราะรู้ว่าถ้าขาดการฟังเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็จะไม่คิดถึงธรรมเลย ห่างเหินไปอีกนาน แต่ว่าถ้าฟังบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ด้วยความอยาก ด้วยความเป็นเราที่ต้องการจะรู้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ประมาทไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความไม่รู้มีมากมายมหาศาล เมื่อไม่รู้แล้วก็มีความติดข้อง สำคัญผิดเข้าใจว่าสิ่งที่มีเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง กว่าจะรู้ความจริงซึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับทันที แต่ว่าสืบต่อจนไม่มีใครเห็นการเกิดดับเลย

    ฟังให้เข้าใจถูกต้องจะได้ไม่เข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าการที่จะเข้าใจสภาพธรรม ต้องขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจในขณะที่สภาพธรรมปรากฏ สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงคือ ดับแล้ว แล้วก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ ทำให้จำผิด คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง นานแสนนานมาแล้ว ซึ่งกว่าจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ก็ต้องไม่ประมาทจริงๆ ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำให้เกิดปัญญาที่จะละคลายกิเลส แต่ความเข้าใจถูกทีละเล็ก ทีละน้อย ที่ค่อยๆ ทำให้เข้าใจความจริงไม่ผิดพลาด และก็ต้องมั่นคง อธิษฐานบารมี เดี๋ยวนี้เป็นธรรม มั่นคงอย่างไร มั่นคงว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง กรุณาให้ความกระจ่าง เรื่องสภาพธรรมเกิดตลอดเวลาอยู่แล้วใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คำว่าใช่ไหม สำหรับไตร่ตรองเพื่อจะตอบด้วยตัวเอง ว่าจากที่ได้ฟังมาแล้วคือใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ แต่สติตามไม่ทัน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้พูดถึงสติเลย เพียงแต่ว่าให้มีความเข้าใจก่อน ว่าธรรมไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น มีอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ แม้แต่จะว่าเป็นธรรมก็ยังไม่รู้เลย ถามคนที่ไม่เคยฟังพระธรรม เขาก็ไม่รู้ ธรรมคืออะไร ก็ตอบไปหลายเรื่องหลายราว แต่ไม่ได้บอกว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ธรรมมีจริง มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งธรรม เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จะเป็นเราไม่ได้ จะเป็นใครไม่ได้ทั้งสิ้น และสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฟังไว้เพื่อไตร่ตรองว่าจริงหรือไม่ แต่ยังไม่ใช่ปัญญาระดับที่จะไปละกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น เพียงแต่เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ไม่ใช่แสงสว่างของพระอาทิตย์ ของพระจันทร์ แต่ว่าต้องเป็นพระปัญญาที่อบรมเจริญด้วยพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ซึ่งถ้าไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินความละเอียดของธรรมใดๆ เลย ที่จะค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง จนเริ่มมีความเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ธรรมมีทุกขณะ ทุกขณะเป็นธรรม แค่นี้คือการตั้งต้น

    ผู้ฟัง เวลาเราจะเผยแพร่อะไรบางอย่าง ถ้าเราไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ก็อาจจะเป็นการเผยแพร่ในสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง ข้อนี้จะเป็นสัมผัปปลาปะหรือไม่

    อ.วิชัย สัมผัปปลาปะ หมายถึง อกุศลจิตที่กล่าวในคำที่ไม่มีประโยชน์เลย ดังนั้นในแต่ละวันกล่าวคำที่มีประโยชน์หรือเปล่า เพราะว่าคำพูดที่พูดออกมา ก็ต้องมีจิตเป็นสมุฏฐาน และขณะใดก็ตามที่มีอกุศลจิตที่จะกล่าวคำที่เพ้อเจ้อนั่นก็คือ สัมผัปปลาปะ

    ท่านอาจารย์ แต่ละคำที่เคยพูดไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร เมื่อได้ฟังธรรม ชื่อต่างๆ คำต่างๆ ก็คิดเอง แต่ว่าจริงๆ แล้วแต่ละคำต้องเข้าใจลึกซึ้งขึ้น ถ้าถามว่า วันนี้เป็นอย่างไร สบายดีหรือเปล่า หรือว่า ค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง เป็นสัมผัปปลาปะวาจาหรือเปล่า ต้องคิดละเอียด ขณะนั้นจิตอะไร ด้วยความห่วงใย ด้วยความเมตตา ด้วยความกรุณา ด้วยความหวังดี ไม่ใช่สัมผัปปลาปะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    14 พ.ค. 2568