ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
ตอนที่ ๑๐๙๖
สนทนาธรรม ที่ วิลล่า วิลล่า พัทยา รีสอร์ท จ.ชลบุรี
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น การเกิดนั้นเป็นโลกแล้ว เป็นธรรมแล้ว หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดเป็นธรรมแล้วเป็นโลก เพราะเหตุว่า เป็นไปกับสภาพธรรมที่เกิดดับ เป็นโลกิยะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเสื้อผ้า เรื่องแต่งตัว เรื่องอาหาร อะไรทั้งหมด เป็นไปกับโลกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดเป็นโลกิยะ แต่เมื่อไหร่ไม่ได้เป็นไปกับโลก เป็นโลกุตตระ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจในนิพพาน ว่านิพพานไม่ใช่ จิต เจตสิก รูป ไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิด คือมีความเข้าใจชัดเจนตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง แต่หนทางที่จะไปต้องเป็นหนทางของปัญญา ไม่ใช่หนทางของความไม่รู้ ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ก็ไม่รู้ เห็นเกิดดับก็ไม่รู้ ต่อกันสนิทก็ไม่รู้ เหมือนดูภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ขณะนั้นก็ไม่มีทางแยกออกมาเป็นทีละรูป นอกจากการฉายค้างเมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่ากว่าจะต่อกันสนิทจนเป็นภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่แหว่ง ไม่เว้า ไปตรงไหนเลย ก็เหมือนชีวิตของเรา ไม่แหว่ง ไม่เว้า ไปตรงไหน เหมือนกับภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เกิด ดับ สืบต่อ ปรากฏจนกระทั่งไม่รู้ว่า จิตแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ไม่ใช่จิตประเภทเดียวกัน ดับแล้วไม่กลับมาอีก
ต้องทีละคำ อย่าประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ใครฟังก็รู้เเล้วทำได้เลย ไม่ต้องมีการบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะรู้หรอกหรือ และต้องสะสมบารมีนานแค่ไหน ถ้ารู้ความจริงว่าเราไม่รู้มานานแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์ ระหว่างเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้นานถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ พบพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีความไม่รู้มากแค่ไหน แล้วก่อนนั้นอีกไม่รู้เท่าไหร่ และเพียงได้ฟัง ยังไม่รู้อะไรเลยเเล้วจะทำ จะละ จะสบาย จะสงบ อย่างนั้นคือฟังใคร ฟังคนไม่รู้พูด ก็ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้
ผู้ฟัง สัมมาสมาธิที่เป็นองค์มรรค ที่เป็นเอกัคคตาเจตสิกก็คือความตั้งมั่นของจิตประกอบด้วยปัญญา ที่รู้แจ้งสภาพความจริงที่ไม่ใช่เราปรากฏในขณะนี้ องค์ธรรมที่จะทำให้ไปสู่การบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ที่เรียกว่าโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ องค์ธรรมทั้ง ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ ในมรรควิถีที่จะเกิด คือจะรวมกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ นี่คือการอ่านธรรมเเล้วคิดเอง แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ต้องเข้าใจว่าก่อนที่จะเป็นมะม่วงลูกใหญ่จนสุกงอมกินได้ มาจากลูกเล็กใช่ไหม แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้นๆ ตั้งแต่เริ่มเป็นลูก จนกระทั่งถึงโต เป็น โพธิปักขิยธรรม เพราะฉะนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ สติปัฏฐาน ซึ่งเป็นอินทรีย์ แล้วก็เป็นพละ ค่อยๆ มีปัจจัยเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งเป็นมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ขณะที่ฟังเข้าใจ มีสติไหม เป็นโพธิปักขิยธรรมหรือยัง
ผู้ฟัง ต้องเป็นสัมมาสติ
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่เป็น
ผู้ฟัง เมื่อมีปัญญาเกิดร่วมด้วย
ท่านอาจารย์ ปัญญาขณะนั้นรู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นอย่างแรก
ท่านอาจารย์ รู้อะไร
ผู้ฟัง เช่น เห็นไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจว่า เห็นเป็นธรรม เเต่ยังไม่รู้ตรงเห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นมรรคหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะเป็น
ผู้ฟัง เมื่อรู้ตรงเห็น
ท่านอาจารย์ สติสัมปชัญญะ คำนี้เริ่มมาแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้คำว่าอินทรีย์ เป็นแค่การใช้คำซึ่ง เผินมาก ต้องรู้ก่อนว่าอินทรีย์ทั้งหมดมีเท่าไหร่ และ อินทรีย์คืออะไร การศึกษาธรรมคือฟังเพื่อที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้จักพระปัญญาคุณเลย เป็นเราคิดเองก็ได้ เมื่อได้ยินคำนี้เเล้วคิดเองเเค่ว่านี่คือสติ นั่นคืออินทรีย์ อินทรีย์แปลว่าเป็นใหญ่ แต่ต้องรู้นัยว่าทรงแสดงอินทรีย์ไว้กี่ประการ ถ้าโดยนัยของอินทรีย์ ๒๒ ตาเป็นอินทรีย์ คือ เป็นใหญ่ในการที่ทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีตา อย่างไรเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเป็นใหญ่ในกิจที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา จักขุปสาทเป็นรูปซึ่งเป็นใหญ่ เฉพาะในการที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา และจิตเห็นเกิดขึ้นได้
ขณะที่มีการเกิดขึ้นของสิ่งที่ปรากฏ และก็มีจักขุปสาทเกิด ยังไม่ดับ และมีจิต เจตสิก เกิดขึ้น นั่นคือ อายตนะ แสดงโดยนัยของอายตนะได้ หมายความว่า เป็นบ่อเกิด เป็นที่ประชุมที่จะให้ธรรมเกิดได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นอายตนะทั้งนั้น แต่เราจะต้องกล่าวถึงธรรมตามลำดับ ไม่ใช่เพียงชื่อ กี่ชื่อๆ จำนวนเท่าไรแล้วเอามารวมกัน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่กล่าวแต่ละคำให้เข้าใจโดยนัยต่างๆ ถ้าโดยนัยที่เรายังไม่กล่าวถึงอายตนะ เราก็พูดถึงธรรมแต่ละหนึ่ง คือ จิต เจตสิก รูป แต่เมื่อพูดถึงความเป็นใหญ่ ทั้งหมดมี ๒๒ โดยอาการที่ต่างกัน ตาเป็นใหญ่ หูเป็นใหญ่ เป็นรูปที่เป็นใหญ่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นใหญ่ เป็นรูป ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ๕ อย่างเเล้ว อะไรเป็นใหญ่ต่อไปอีก
ใจ มนินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นใหญ่ทั้งนั้นใช่ไหม ๖ เเล้ว จักขุปสาท เป็นรูป หู โสตปสาท เป็นรูป ในบรรดาอินทรีย์ ๕ เป็นรูปทั้งหมด แต่ใจเป็นใหญ่ด้วย เป็นมนินทรีย์ ใจไม่ใช่รูป เป็นอินทรีย์ใหญ่ เพราะว่าถ้าไม่มีใจ อะไรก็ไม่สามารถจะปรากฎได้ ด้วยเหตุนี้ ความเป็นใหญ่ของใจก็คือ เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วก็ทำให้รู้อารมณ์เดียวกัน ในอินทรีย์ ๕ เป็นรูปทั้งหมด คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่มีมนินทรีย์ด้วยคือทางใจ ดังนั้นใจจึงเป็นอินทรีย์ ซึ่งไม่ใช่รูป เป็นมนินทรีย์ ตอนนี้ก็กล่าวมา ๖ แล้ว นำมาซึ่งความรู้สึก ความรู้สึกเป็นใหญ่ไหม เวทนา ๕ ตั้งแต่ อุเบกขาเวทนา เฉยๆ รู้ไหมว่าอยากได้ความเฉยๆ กัน ไปทำสมาธิให้เฉยๆ ให้ไม่รู้อะไร ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย คือเอาความรู้สึกเป็นสำคัญว่า ฉันอยากไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากสุข เพราะฉะนั้นเวทนาทั้ง ๕ เป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่โดยครอบงำธรรมในขณะนั้นให้เป็นไปตามเขา เมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้นทางกาย วันนี้ก็สบายๆ ไม่เดือดร้อนเลย ตาไม่เจ็บ ขาไม่ปวด ก็ครอบงำธรรมทั้งหมดให้เป็นสุขตามเขา ไม่เดือดร้อนเลย ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ครอบงำ ทุกข์เพราะเจ็บ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ครอบงำอย่างอื่นหมดเลย
เวทนาทั้งหมดจึงเป็นอินทรีย์ เวทนินทรีย์ ซึ่งแยกออกไปเป็นสุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ซึ่งถ้าเวทนาไม่ใหญ่ เราจะไม่แสวงหาอะไรทั้งสิ้น ไม่หาสับปะรด ไม่หาปลาแซลมอน ไม่หาอะไรทั้งหมด แต่เพราะความรู้สึกเป็นใหญ่ ว่าอร่อย ว่าสวย ว่าเพราะ ทั้งหมดก็เป็นที่ตั้งของความแสวงหา เพื่อความเป็นใหญ่ที่เป็นสุข เสวยความสุขจากสิ่งที่ปรากฏ จึงเป็นเวทนูปาทานขันธ์
ถ้ากล่าวโดยนัยของขันธ์ อุปาทานขันธ์ที่ตั้งของความยึดถือ รูปทุกรูป เป็นที่ตั้งของความต้องการ อย่างน้อยที่สุด คือต้องการเห็น เห็นอะไรก็ได้ ขอให้ได้เห็น ดีกว่าไม่เห็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่าทุกอย่างแม้แต่แสดงโดยนัยของขันธ์ก็ได้ รูปขันธ์ เป็นอุปาทาน จึงเป็น รูปูปาทานขันธ์ ๓ คำรวมกัน รูปะ อุปาทาน กับ ขันธ์ ขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดถือก็มาแล้ว เป็นที่ตั้งของความยึดถือ เพื่อเวทนูปาทานขันธ์ ความยึดมั่นในความรู้สึกว่า พอใจ หรือไม่พอใจ เป็นเรา ใหญ่มาก แต่ถ้าไม่มีสัญญา ความจำ ก็จะไม่มีที่ว่าอะไรอร่อยต้องไปแสวงหา แต่ถ้ารู้ว่าร้านที่เพิ่งไปเมื่อเช้านี้ หรือที่เราไปมาเมื่อวานนี้อร่อย สัญญาจำได้ วันนี้จะไปรับประทานที่ไหนดี ก็กลับไปหาสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของความพอใจยึดมั่น สัญญูปาทานขันธ์
เพราะฉะนั้นโดยขันธ์ ๕ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่เกิด สิ่งนั้นดับ เป็นธรรมดา เป็นขันธ์ทั้งหมด ไม่จำแนกเลย กว้างๆ ให้เข้าใจก่อนเบื้องต้น ทุกอย่างเกิดดับ เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต ภายในก็มี ภายนอกก็มี หยาบก็มี ละเอียดก็มี ไกลใกล้ก็มี ก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปนั่งจำชื่อ แต่ให้รู้ว่ามีแน่นอน เป็นขันธ์ แต่ละขันธ์ เพราะฉะนั้นขันธ์ที่เป็นที่ตั้งของความยึดถือทั้งหมด ก็ทั้ง รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ เจตสิกอื่นทั้งหมดเป็น สังขารขันธ์ ปรุงแต่งเพราะจำ เพื่อวิญญาณขันธ์จะเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งนั้น ก็ครบ ๕ ขันธ์ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เพื่อจิตจะได้เกิดรู้แจ้ง จะสร้างบ้านสักหลังก็ต้องพอใจในรูป ในแบบ ใช่ไหม สังขารขันธ์ปรุงแต่งธรรม เพื่อวิญญาณขันธ์จะเกิดขึ้น รู้แจ้งสิ่งนั้น ถึงสำเร็จได้ เวทนาจึงเป็นอินทรีย์ ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ว่าเราจะบอกว่าโลกธรรม เพราะคิดว่าเรื่องธุรกิจ เรื่องอะไรต่างๆ เป็นโลก แล้วถ้าพูดถึง ความสุข ความทุกข์ พวกนี้เป็นธรรม นั่นไม่ใช่เลย เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม โลกไม่มี เพราะโลกคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเกิด และดับ ชัดเจนทุกคำ โลกุตตระคือ สิ่งนั้นไม่เกิดไม่ดับซึ่งมีนิพพานอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลก แล้วแต่โลกอะไรจะเป็นไป โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
อินทรีย์มีทั้งหมด ๒๒ มาที่ฝ่ายดีอีก ๕ เริ่มที่ ศรัทธา เป็นสภาพธรรมที่ดี ถ้าผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่ศรัทธา ศรัทธาต้องเป็นกุศล เพราะอะไร ไม่ใช่ง่ายๆ บอกแล้วก็เชื่อเลย บอกแล้วก็ฟังเลย บอกแล้วก็จำเลย นั่นไม่ใช่ความเข้าใจ ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่สหายที่ดี ไม่ใช่กัลยาณมิตร ถ้ากัลยาณมิตรต้องให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจน ที่มั่นคง ที่ถูกต้อง คำอื่นวิวาทะ ต่างกับคำจริง เมื่อเทียบกันก็จะรู้ว่าคำอื่นผิดหมด เพราะต่างกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นสัจจะทุกคำ เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แม้แต่ศรัทธา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตทุกประเภทหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ เกิดกับกุศลจิต ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย เพราะศรัทธาคืออะไร ต้องค่อยๆ ละเอียดขึ้น ไม่อย่างนั้นก็แค่จำชื่อ เพราะอะไรศรัทธาจึงเป็นโสภณฝ่ายดี เจตสิกฝ่ายดี
ผู้ฟัง เพราะเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส
ท่านอาจารย์ ผ่องใสอย่างไร เราต้องไตร่ตรองคำเเต่ละคำ ผ่องใสเพราะขณะนั้นไม่มีอกุศลเกิด สภาพของจิตที่ปราศจากอกุศลธรรม ต้องมีศรัทธาในขณะนั้น เพราะศรัทธาเป็นสภาพที่ผ่องใส ท่านอุปมาเหมือนสารส้มที่อยู่ในน้ำขุ่นๆ ก็ทำให้น้ำนั้นใส เพราะฉะนั้นศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นจะไม่มีอกุศลใดๆ เกิดได้เลยทั้งสิ้น เพราะสภาพของจิตเป็นสภาพที่ผ่องใส แค่ขาดศรัทธาเจตสิก จิตที่เป็นกุศลก็เกิดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดต้องมีเจตสิก ๑๙ ประเภทเกิดร่วมด้วย ขาดไม่ได้เลย ขณะนั้นถึงจะปราบหรือว่ายับยั้งไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นได้ เพราะปกติอกุศลเขาเป็นเจ้าเรือนอยู่ประจำ อยู่บ้านนี้มานาน จะให้เขาออกไปได้อย่างไร แต่ว่าถ้ากุศลเกิดเมื่อไหร่ขณะนั้นต้องมีกำลังพอ แต่ถึงอย่างนั้นขณะที่กำลังฟังธรรมเข้าใจ เป็นศรัทธาหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นศรัทธา
ท่านอาจารย์ เป็นอินทรีย์หรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ เป็นแค่ศรัทธาเจตสิก เเล้วจะเป็นอินทรีย์เมื่อไหร่ เป็นอินทรีย์เมื่อการฟังเข้าใจนั้นละความเป็นเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย จนขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด เป็นสตินทรีย์ เพราะมีกำลังแล้ว ขณะนี้ก็มีสติ ที่กำลังฟังธรรมเข้าใจต้องประกอบด้วย โสภณเจตสิก ๑๙ แต่ในขั้นระดับปริยัติ เป็นการฟังเพื่อที่จะรอบรู้ในคำนั้น ยังไม่ถึงกับมีกำลังพอที่สามารถจะรู้ตรงลักษณะ ซึ่งขณะนั้นเพราะฟังจนกระทั่งเป็นปัจจัยปรุงแต่ง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็ยังเป็นขั้นปริยัติ ยังไม่ใช่ปฏิปัตติ ยังไม่ถึงเฉพาะ
ฟังเพื่อเข้าใจเห็น ไม่ใช่ฟังเเล้วไปหาเห็นว่าอยู่ตรงไหน เห็นอยู่ตรงกลางตาก็ไม่ใช่แล้ว กำลังหาเห็นอยู่กลางตา นั่นคือเรา แต่ความเข้าใจธรรมดาว่าขณะนี้เห็น ที่กำลังเห็นคือไม่ได้ไปอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่อยู่ข้างซ้าย ข้างขวา เเต่เห็นตรงหน้า ตรงที่ตากระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้รู้แล้ว ไม่ต้องไปหา แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่า เห็นเป็นธาตุรู้ เพราะความเข้าใจว่าเห็นเป็นธาตุรู้ต่างหาก ที่ทำให้รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่เข้าไปใกล้ความเป็นธาตุรู้ ก็ยังคงเป็นเราเห็น เพราะธาตุรู้ไม่ปรากฏ จิตไม่ปรากฏเลย เจตสิกก็ไม่ปรากฏ แม้รูปก็ไม่ปรากฏเพราะนิมิตของสิ่งนี้เกิดขึ้นปิดบัง ทำให้จำในนิมิตเป็น บัญญัติ (ปัน-ยัด-ติ) คือ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ นี่แก้ว นี่โต๊ะ นั่นแว่นตา นั่นคน ไม่ใช่รู้ว่าเป็นธรรมที่มีลักษณะอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็น สตินทรีย์ซึ่งจะต้องครบ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเกิดพร้อมกัน เป็นอินทรีย์ ๕ มีกำลังที่จะถึงเฉพาะความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ อย่างที่เคยพูดถึงแข็ง ใครๆ ก็รู้ว่าแข็ง เด็กก็รู้ว่าแข็ง ถึงเราเดี๋ยวนี้ก็รู้ว่าแข็ง แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ เมื่อไหร่เป็นสตินทรีย์ ถ้าพูดว่าเมื่อเป็นใหญ่เท่านี้ไม่พอ ต้องรู้ว่าเป็นใหญ่เพราะอะไรอีก เพราะอารมณ์ปรากฏด้วยดี ลองพิจารณาคำนี้ อารมณ์ปรากฏด้วยดี คือ แข็งเป็นแข็ง นั่นคือด้วยดี แต่ถ้าไม่พูดถึงก็กระทบโต๊ะไปเลย ลืมไปเลย ไม่มีปัญญาสักนิดที่จะรู้เฉพาะตรงหนึ่งที่ปรากฏเป็นประจำโดยไม่รู้ เราก็รู้ได้ว่าวันหนึ่งๆ ไม่รู้แค่ไหน แล้วหลงทางด้วย จะไปทำวิปัสสนาคือมีตัวตนเต็มที่ ไม่รู้ในความเป็นอนัตตา ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย คนที่ไปทำ ไปสู่สำนักปฏิบัติ ถามว่า ธรรมคืออะไร เขาตอบได้ไหม แค่คำเดียวก็ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้น สตินทรีย์ที่กว่าจะถึงระดับที่เป็น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๕ ได้ ก็ต่อเมื่อมีปริยัติมั่นคง ด้วยการรู้ว่าไม่ใช่เราทำ เพราะฉะนั้นมีปัจจัยพร้อมทันทีเลย เป็นสติ เป็นสตินทรีย์ชั่วขณะนั้น รู้เลยว่าเกิดเพราะปัจจัย
ผู้ฟัง อย่างนี้ในชั่วขณะนั้นที่ปรากฏด้วยดี ที่เรียกว่าเป็นสตินทรีย์ ขณะนั้นก็ต้องเป็นพละด้วยไหม
ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงพละ เพราะแค่หนึ่งขณะนั้นก็ดับ
ผู้ฟัง แล้วที่จะเป็นกำลังคือต้องอย่างไรต่อไป
ท่านอาจารย์ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ มากแค่ไหน จึงสามารถที่จะรู้ว่าไม่เลือก ไม่มีความจงใจเลยสักนิดเดียว ค่อยๆ ละคลาย มีพละ ที่แล้วแต่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ แต่ลองคิดดูว่าจากที่ไม่เคยเกิดเลยเเล้วมาเป็นสตินทรีย์ อยากให้มีไหม จะได้รู้จักคำว่า นิกันติ เยี่อใย ยางใย ตามไปกว่าจะขาด โดยโสตาปัตติมรรค ยังไม่เป็นพละ เพราะการละต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ตามลำดับ แม้แต่จากอินทรีย์ ไปสู่พละ เมื่อมีกำลังมากแล้วจึงเป็นปัญญาพละ อย่างขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ละอะไรหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ สติเกิดหรือยัง ถ้าสตินทรีย์ยังไม่เกิด แล้วจะไปเป็นพละได้อย่างไร
ผู้ฟัง อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่า ผลมะม่วงจากเล็กๆ จนกว่าจะโตเป็นลูกใหญ่ ก็เปรียบเหมือนการอบรมเจริญปัญญาในทุกๆ ทาง ที่ค่อยๆ อบรมมากขึ้นๆ จนถึงความสมบูรณ์พร้อม
ท่านอาจารย์ โดยความเป็นอนัตตา จากอินทรีย์เป็นพละ โพธิปักขิยธรรม โพธิแปลว่าปัญญา เพราะฉะนั้น โพธิปักขิยธรรม คือธรรมทั้งหมด ๓๗ นำไปสู่การที่จะดับกิเลสเพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเลยก็อย่าไปคิดที่จะรู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า หมิ่นประมาทพระองค์ว่าไม่รู้อะไรด้วย ถ้าแค่พบใครก็บอกให้เขาไปป่า ไปนั่งขัดสมาธิ ไปทำความสงบ นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าแน่นอน
ผู้ฟัง บางเหตุการณ์ที่เราอาจจะบอกว่า เป็นลางสังหรณ์ หรือว่าเป็นความคิดว่า เพื่อนชวนไป แล้วเราไม่ไป แล้วพอเพื่อนไป เพื่อนเสียชีวิต หรืออะไรหลายๆ อย่างที่เป็นเหตุการณ์ทำนองนี้ เราจะมีความคิดเห็นกับเหตุการณ์อย่างนี้ อย่างไร
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น เรามีปัญญามากไหม มีน้อยใช่ไหม จะไปรู้หมดได้ไหม ได้แค่คิด แต่ถ้าเรามีความมั่นคงว่าทุกอย่างเกิดต้องมีปัจจัย เรายังไม่รู้ปัจจัยของจิตเดี๋ยวนี้ ของเจตสิกเดี๋ยวนี้ แสดงโดยนัยปัจจัย ๒๔ แต่เริ่มตั้งต้นว่า ต้องมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ จะเกิดขึ้นเป็นอะไร ถ้าเราพิจารณาตามจะรู้ว่ามี โลภะ นิกันติ อย่างละเอียด ไม่รู้ตัวเลย ว่าโลภะเป็นนาย เราอยากอย่างนั้น เขาปล่อย เขาเอาใจ เขาตามใจทุกอย่าง เป็นนาย ซึ่งทำให้ทาสคงเป็นทาสต่อไป แต่ถ้าทาสนั้นมีปัญญา เริ่มรู้ว่า เราหลงให้คนนี้มาเป็นนาย ไม่มีวันที่จะพ้นด้วย เป็นนายตลอดสังสารวัฏฏ์ พอเราเริ่มรู้สึกตัวก็หาทางที่จะเป็นอิสระจากนาย เพราะฉะนั้นเพียงแค่จะคิดนิดนึง เห็นกำลังของโลภะไหม ต้องเป็นปัญญาที่จะละ แค่นี้เริ่มละ แต่ยังไม่ได้ละด้วยปัญญาที่รู้ว่าไม่ใช่เรา แต่ปัญญาจะค่อยๆ เกิด ปรุงแต่งชีวิตประจำวันให้ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ซึ่งปัญญาสามารถที่จะรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงโดยปัญญานำไป ถ้าไม่มีปัญญาระดับนี้ คุณความดีทั้งหลายก็มากขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะความดีที่เกิดเพราะปัญญาที่เข้าใจถูกต้อง
เรื่องอะไรที่คิดไม่ออก ก็อย่าไปคิด คิดทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็คิดไม่ออก ทุกอย่างแล้วแต่เหตุปัจจัย ใครจะรู้ว่าเราสามารถรู้ได้โดยความเป็นอนัตตา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้ เราก็ไปเพียรด้วยความเป็นเรา ผิดทางอีกแล้ว กั้นอีกแล้ว หลงไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นทางหลงก็มีมาก แต่ที่เราสงสัย เราจะรู้ได้โดยความเป็นอนัตตา ไม่ได้โดยความอยาก เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกิด แม้แต่อยาก ปัญญายังรู้เลยว่านั่นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ทุกอย่างต้องรู้ด้วยปัญญาทั้งหมด จึงจะละ ลบความเป็นเราออกได้ ซึ่งสะสมมานานแสนนาน ถ้ายังไม่ทั่วก็ไม่หมด
ผู้ฟัง ก็จะมีที่สถานปฏิบัติธรรมเขาบอกว่า เมื่อนั่งแล้วจะมีบุญบารมี จะเห็นจะรู้อย่างนี้ซึ่งเหมือนจะสอดคล้องกัน ก็เลยสงสัยตรงนี้
ท่านอาจารย์ เป็นทางผิด เพราะฉะนั้นทางถูกคือ มั่นคงในกรรมว่ากรรมทำให้เกิดไหม เเค่นั้นยังไม่พอ ยังทำให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ๕ ทางเป็นเพราะกรรม เพราะฉะนั้นจึงมั่นคงในกรรม อย่างเพื่อนของจิ๊ด เขานั่งรถไปเเล้วเกิดอุบัติเหตุ ตัวเขาพุ่งไปข้างหน้าทะลุกระจกไปเลย ใครทำได้ ถ้าไม่ใช่กรรม เพราะฉะนั้นให้ทราบว่ากรรมเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งผล คือทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย กายจะเจ็บ ทะลุออกไปนอกรถ บางคนเจ็บเเต่ไม่ทะลุออกไปนอกรถ แล้วแต่กรรมทั้งสิ้น กรรมทำได้ทุกอย่าง ใครก็ทำไม่ได้ แค่เข้าใจอย่างนี้คือมีความไม่ใช่เรา ดีกว่าไปทำเพราะเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปทำสมาธิ แล้วก็เกิดความเข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ คนละเรื่องกันเลย นั่นคือเรื่องไม่รู้โดยที่ไม่มั่นคงใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะฉะนั้น บางคนเขาไม่รู้อะไรเลย แต่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น สาวย้อนไปชาติก่อนๆ คนนั้นเป็นใคร เคยทำสมาธิบ้างไหม เคยเกิดบนสวรรค์ ชั้นนั้น ชั้นนี้ บ้างไหม เคยอบรมปัญญาระดับไหนบ้างไหม ท่านพระสารีบุตรยังไม่รู้ตัว ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน ท่านแค่เห็นคนเล่นมหรสพ เกิดความคิดว่า ทั้งคนเล่น ทั้งคนดู ก็ตายเหมือนกัน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140