ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110


    ตอนที่ ๑๑๑๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต่างกันมากเลย ระหว่างความคิดไตร่ตรอง กับการที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย ประโยชน์จริงๆ ของผู้ฟังคือได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งและมีประโยชน์ที่สุด เพราะเหตุว่าสามารถที่จะสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจากแต่ละคำ ชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงซึ่งดูเป็นธรรมดา ซึ่งคนอื่นไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนมหาสมุทร ทุกคำกว้าง และลึก กว่าจะรู้ได้ต้องมีการเข้าใจตามลำดับ ข้ามขั้นไม่ได้เลย ใครอยากจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไปเข้าห้องปฏิบัติ ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะไม่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาที่ได้ยินคำอะไร ก็ต้องไตร่ตรองว่าคำนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ถ้าขณะใดที่เข้าใจความจริง ขณะนั้นเป็นปัญญา จากมิตรที่ประเสริฐที่สุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นจะคบมิตรคนไหน ก็ไม่มีมิตรใดที่จะเปรียบได้กับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกคำของพระองค์เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คนที่เกิดมาแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย เกิดแล้วก็เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ไม่รู้ว่ามีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ แต่ว่าคนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังควรที่จะเข้าใจว่าเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงนี้ได้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรุู้ แต่อีกนาน อย่าไปหวังเลย ต้องเข้าใจแต่ละคำตอนนี้ก่อน เพราะทุกอย่างต้องมีการตั้งต้น ปัญญาคือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ต้องเริ่มตั้งแต่การฟัง ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย ดูเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงคุณประเสริฐสุด แล้วก็เหมือนอยู่ไกลแสนไกลกับอย่างที่เราเป็นคือเป็นปุถุชน ผู้ยังหนาแน่นด้วยกิเลส ดังนั้นหนทางที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ก็คือการประพฤติอย่างประเสริฐ คือคุณความดีต่างๆ ที่จะดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า เหมือนแสงสว่างไหม

    อ.วิชัย เหมือนแสงสว่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าพระองค์ตรัสรู้ แต่คนอื่นอยู่ในความมืด เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องเป็นแสงสว่างนำทาง ใช่ไหม นำไปไหน แต่ละคำต้องละเอียดมาก แล้วต้องไตร่ตรอง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างซึ่งส่องทางนำทางไปสู่อะไร ต้องคิดทุกคำ ไปสู่การเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ บางคนก็คิดว่านำไปไกล ไปถึงมรรคผลนิพพาน แต่ก็ลืม แต่ละคำเป็นแสงสว่างซึ่งนำไปสู่การเข้าใจสิ่งที่มีจริง เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ จำเดี๋ยวนี้ ใครรู้จักบ้าง มีทุกวันไม่เคยรู้จักเลย แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ส่องทางไปไกลจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย คือจากที่ไม่เคยรู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของการเกิด ของสุข ของทุกข์ พระธรรมคือแสงสว่างซึ่งนำมาสู่ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ใช่ไหม สว่างอย่างไร มืดอย่างไร มืดคือเห็นเกิด แล้วเห็นดับ ไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหม ได้ยินก็กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้ยินเกิดแล้วก็ดับ ไม่รู้อะไรเลย แต่พระธรรมคือแสงสว่างซึ่งนำมาสู่ความเข้าใจทุกอย่างที่มีจริงๆ ได้ยินยังไม่เกิดเลย แล้วได้ยินก็เกิด ใครทำให้ได้ยินเกิด ได้ยินมีจริงไหม ได้ยินดับไปแล้ว ได้ยินอยู่ไหน แค่จากไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ แล้วใครรู้บ้างว่าตั้งแต่เกิดมาได้ยินทุกวันแต่ไม่เคยรู้ความจริงเลยว่า แต่ละสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เพียงชั่วขณะที่ปรากฏ แล้วก็ไม่มีอีกเลย จริงหรือเปล่า

    ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ไปรู้ ไปเข้าใจอย่างอื่นเลย แต่เริ่มรู้ว่าอยู่ในความมืดมานานว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิดก็เป็นเรา แต่ถ้าไม่มีธรรมคือสิ่งที่มีจริง สภาพรู้ ซึ่งเราใช้คำว่าจิต หรือจะใช้คำว่าวิญญาณ มโน มนัส อะไรก็ได้ ขอให้เข้าใจว่าธาตุรู้นี้ต้องมี ถ้าไม่มีธาตุรู้ ขณะนี้ไม่มีอะไรปรากฏอะไรเลยสักอย่าง ดอกไม้ก็ไม่ปรากฏ ห้องนี้ก็ไม่ปรากฏ คนก็ไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ธาตุได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ธาตุที่จำก็จำว่าเห็นอะไร รูปร่างสัณฐานอย่างไร แล้วก็จำไป นี่คือตลอดชีวิตเป็นอย่างนี้ โดยไม่รู้เลยว่าทำไมจึงต้องเกิด เกิดแล้วทำไมจึงต้องตาย ไม่ตายดีไหม เกิดแล้วไม่ตาย ดีไหม

    อ.คำปั่น ในความเป็นจริงก็ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้เลย เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็ต้องตาย

    ท่านอาจารย์ แต่ทุกคนไม่อยากตาย หมายความว่าอย่างไร ต้องตายไม่ดี อยู่ดีกว่าใช่ไหม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ความจริงก็ต้องเป็นความจริง อยากอยู่สักเท่าไหร่ดี เป็นสิ่งซึ่งแต่ละคนก็ไม่รู้เลยไม่รู้แม้ว่าเกิดมา ทำไมเราต้องเกิด แล้วเกิดมาก็เป็นคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องเป็นคนนี้ เป็นคนอื่นไม่ได้เลย แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ แลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลยสักขณะเดียว เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนเกิดมาแล้วแต่ละหนึ่งก็จริง แต่ละหนึ่งยังหลากหลายด้วย เมื่อวานนี้เป็นอย่างหนึ่ง วันนี้เป็นอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีการที่จะกลับมาเป็นอย่างเดียวกันได้เลย นี่คือความเป็นไปซึ่งน่าเบื่อ หรือเปล่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากเกิดแล้วก็ต้องเห็น ไม่เห็นก็ไม่ได้ เกิดแล้วต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึกอยู่อย่างนี้ทุกวัน พ้นจากนี้บ้างหรือเปล่าสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่งก็ไม่พ้น ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นไปเรื่อยๆ

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งที่มี จากไม่มีแล้วก็เกิดขึ้น ชั่วคราวแสนสั้นที่สุด แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย สมควรไหมที่จะเป็นอย่างนี้ ในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้จบสิ้น แต่ถ้าไม่รู้ก็คือว่า เมื่อเกิดมาก็ดีใจแล้วที่ได้เห็น ดีใจแล้วที่ได้ยิน เห็นสิ่งที่น่าพอใจก็ชอบ ได้ยินเสียงที่น่าพอใจก็ชอบ ทุกอย่างดีไปหมด ตั้งแต่เห็น ดีไหม คนไม่รู้ก็ว่าดี ใช่ไหม แต่ต้องเห็น แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วยว่าจะเห็นอะไร เห็นสิ่งที่น่าพอใจก็ดีใจกันใหญ่ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็ทุกข์ใจกันใหญ่ ก็อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์จากสิ่งที่เห็น บังคับไม่ให้เห็นก็ไม่ได้ อยากจะเห็นแต่สิ่งที่ดีๆ ทั้งหมดก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็เห็นสิ่งที่ไม่ดี เดี๋ยวก็เห็นสิ่งที่น่ากลัวน่าตกใจ แต่ทั้งหมดไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เกิดขึ้นดับไป ไม่กลับมาอีกเลย สมควรไหมที่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดในสังสารวัฏฏ์ ไม่รู้จบ

    อ.คำปั่น ชีวิต ก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะๆ นั่นเอง ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ยังจะต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก สำหรับผู้ที่มีปัญญาท่านก็แสดงถึงความสำคัญของการที่มีชีวิตอยู่ว่า มีชีวิตอยู่เพื่อ อบรมเจริญปัญญา เพื่อปัญญาปรากฏ เพราะเหตุว่าชีวิตยิ่งจะเป็นอยู่นานเพียงใด ก็จะมีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญามากเท่านั้น ซึ่งจะตรงข้ามกันกับผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง เป็นคนพาล เป็นคนที่หลง ไม่รู้ความจริงก็จะมีชีวิตอยู่ที่เป็นไปกับอกุศลประการต่างๆ ความติดข้องบ้าง ความไม่พอใจบ้าง เป็นการสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่ใครจะรู้ว่าชีวิตจะเป็นอยู่ได้นานเพียงใด เพราะว่า ชีวิตไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้เลยว่าจะเป็นอยู่นานเท่าใด จะตายด้วยโรคอะไร จะตายที่ไหน จะตายเมื่อไหร่ และเมื่อตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ไม่มีใครรู้เลย ทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ในขณะที่ยังไม่ตายก็คือได้สะสมความเข้าใจความจริง จากการได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วก็น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป เพราะว่า คุณความดี และปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับทุกชีวิต อกุศลธรรมทั้งหลายความชั่วทั้งหลายเป็นที่พึ่งไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ขึ้นชื่อว่าชาวพุทธ ทำไมมีการประพฤติหรือ ปฏิบัติธรรมแตกต่างกันไป คำว่าแตกต่างหมายถึงว่ามีหลายสำนัก หรือว่าผู้ที่สอนหลากหลายเหลือเกิน ในเมื่อก็มีพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบความหมายที่แท้จริงของชาวพุทธว่า พุทธ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เข้าใจถูก ถ้าเป็นชาวพุทธแต่ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร ก็ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่าตรัสรู้อะไร แล้วก็ทรงแสดงธรรมอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นชาวพุทธจริงๆ ก็คือรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นคำของคนอื่นหรือว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีลักษณะเฉพาะของตน แสดงว่าเป็นจริงอย่างนั้น เสียงก็เป็นเสียง กลิ่นก็เป็นกลิ่น

    สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง มีจริงจึงเป็นธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่เรา ที่เข้าใจว่ายั่งยืน เที่ยง หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งยั่งยืน เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นอะไรก็ได้ นี่คือเริ่มพูดถึงสิ่งที่มี ให้มีความเข้าใจต่างจากที่เคยคิด และให้รู้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเป็นคำที่แสดงให้เห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งคนอื่นสามารถมีความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างพระองค์ได้ เมื่อได้ฟังคำของพระองค์ แต่ต้องเป็นผู้ตรง เมื่อครู่นี้เรากล่าวถึงเรื่องเกิดมาแล้วก็ต้องเห็นทุกวันเลย ได้ยินทุกวันเลย ฟังดูเหมือนกับว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เบื่อ จริงหรือเปล่า นี่คือเริ่มจะเป็นชาวพุทธ ไม่ใช่เชื่อ แต่ว่าไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเห็นที่ถูกต้องของตนเอง และความเห็นที่ถูกต้อง ต้องถูกตามความเป็นจริง ไม่ใช่ถูกของคนนั้น ถูกของคนนี้

    อย่างที่คุณจรัญกล่าวว่ามีสำนักหลายสำนัก ต่างคนก็ต่างสอน เพราะฉะนั้นความจริงไม่ใช่เป็นไปตามคำของคนอื่น แต่ความจริงเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะของความจริงนั้นไม่ได้ จึงต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก กว่าจะรู้ว่าแสงสว่างคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำไปในทางที่ถูกต้องเพราะชัดเจน แต่ถ้าเข้าใจผิด ไม่เข้าใจถูกต้องก็ต้องไปด้วยอำนาจของความไม่รู้นั่นเอง

    ด้วยเหตุนี้เพียงแค่คิดไตร่ตรองเริ่มเป็นชาวพุทธ ที่จะมีปัญญาของตนเอง คำถามที่ว่าดูเหมือนว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เราเบื่อชีวิต ใช่ไหม เกิดมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วก็ต้องตาย แล้วก็เกิดอีกแล้วก็ต้องตายอีก ก่อนตายก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือ ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่เหลือสักอย่างเดียว เหมือนกับสอนให้เบื่อ ใช่ไหม

    ผู้หัง น่าจะใช่ คือถ้าฟังเผินๆ แล้วน่าจะใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคนอื่นคิดอย่างไร น่าจะใช่หรือเปล่า สอนให้เบื่อก็ผิด สอนให้ไม่เบื่อก็ผิด สอนให้เข้าใจความจริง เริ่มรู้แล้วสำนักไหน แทนที่จะบอกว่าสำนักนี้ผิด สำนักนั้นเป็นอย่างนั้น แต่ว่าความจริงมีอยู่ เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องละเอียดว่า เบื่อเป็นอกุศล ไม่ใช่เป็นปัญญาเลย เป็นเราที่เบื่อ รับประทานอาหารอย่างเดียวซ้ำๆ ก็เบื่อ ตอนแรกอร่อยมาก รับประทานได้ ๓-๔ วัน วันที่ ๕ ที่ ๖ เบื่อแล้ว ใช่ไหม จริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เบื่อที่เห็นซ้ำๆ กันทุกวัน ได้ยินซ้ำๆ กันทุกวัน และไม่ได้สอนให้ไม่เบื่อด้วย เพราะว่าไม่เบื่อก็มีใช่ไหม วันแรกยังไม่เบื่อ กี่ชาติมาแล้วที่ไม่เบื่อ ชาตินี้เบื่อหรือยัง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ไตร่ตรองจริงๆ ว่า เบื่อก็ไม่ถูกเพราะเป็นอกุศล ไม่เบื่อก็เป็นอกุศล แต่ว่าความเข้าใจถูกที่ทำให้รู้ว่า ไม่ใช่การเบื่อหรือไม่เบื่อ แต่รู้ว่าเกิดมาเป็นอย่างนี้ เป็นเราแค่ชาตินี้ชาติเดียว ใครมีความทะนงตน ใครมีความสำคัญตน ใครมีความสวยงาม ใครมีทรัพย์สมบัติ ใครมีอะไรสักอย่าง ก็แค่ชาตินี้ ชาติหน้าเป็นอะไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย ชาติก่อนมาจากไหนก็ไม่รู้ ชาติต่อไปจะไปไหนก็ไม่รู้ แต่เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ จะนานหรือจะสั้น จะยืนยาวมากน้อยแค่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้เลย เพราะฉะนั้น เป็นคนในชาตินี้ที่ดีที่สุดดีไหม หรือว่าเป็นคนเลวโกงกินสารพัดทุจริตอย่างนั้นดีไหม

    ทั้งหมดเราต้องเป็นคนที่ละเอียด แล้วก็ไตร่ตรองว่าตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรม และแม้แต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนเช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แค่พูดตาม แต่ว่าต้องเข้าใจก่อนอื่นเลย พระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีจริง สิ่งนั้นต้องมีลักษณะให้รู้ว่ามีจริงๆ แต่ว่าถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร คือต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ทำไมนานอย่างนั้น ฉลาดกันมากไหม ฟังกันนิดๆ หน่อยๆ รู้กันได้เลยหรือเปล่า หรือต้อง ๔๕ พรรษาก็ยังไม่รู้เลย คนที่ไม่รู้ก็มีมาก ๖๐ปี ฟังก็ยังไม่รู้เลย ๗๐ ๘๐ ปี อีกกี่ชาติก็เป็นไปได้ เพราะว่ามีสิ่งที่ไม่รู้มานานมาก เกินกว่าอสงไขยแสนกัปป์ แล้วกัปป์หนึ่งก็ไม่ใช่วันเดียว ความจริงถูกปกปิดไว้ แม้มีก็เหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้ เหมือนสิ่งที่มีในความฝัน เพราะเพียงแค่ปรากฏแล้วก็หมดไป เหมือนสิ่งที่เรามีในฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาไม่มีสักอย่าง เพราะฉะนั้นสภาพแม้เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งก็เหมือนฝัน เพราะเพียงแค่ปรากฏว่ามี แล้วก็ไม่มีอีกเลย

    ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา เบื่อหรือไม่เบื่อ แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำว่า อนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ดอกไม้ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ แต่ความจริงของธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ดอกไม้หนึ่งดอกมีอะไร มีสีต่างๆ เขียวบ้าง เหลืองบ้าง ชมพูบ้าง ม่วงบ้าง มีกลิ่นต่างๆ มีความแข็ง ความเบา ความอ่อนต่างๆ ชิมดู มีรสต่างๆ กระทบสัมผัส ทั้งหมดนี้อยู่ในสิ่งเดียวที่เราเข้าใจว่าเป็นดอกไม้ แต่แยกออกไปแล้วเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ปนกันไม่ได้เลย กลิ่นจะเป็นสีไม่ได้ เป็นรสไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าเมื่อได้ยินคำว่าธรรม ถ้าไม่ฟังคำนี้คิดไปยาวเป็นเรื่องอื่นหมดเลย ตั้งกี่ปิฎก แต่เพียงแค่คำเดียวรู้ไหมว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แล้วจะเป็นใคร เสียงมีจริง เกิดแล้วดับไป เสียงใคร เจ้าของเสียงอยู่ไหน ก็เสียงดับไป แล้วเสียงจะเป็นของใครได้ ทุกอย่างหมด ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง คือไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ เลยทั้งสิ้น เพียงแต่มีสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป ไม่ใช่ให้เบื่อ หรือไม่ใช่ให้ไม่เบื่อ แต่ให้เข้าใจถูกต้อง แล้วปัญญาต่างหากที่เริ่มจะเห็นโทษว่าแล้วเกิดมาทำไม แต่อย่าเพิ่งรีบจะไม่เกิด เพราะว่าก็เป็นตัวตนนั่นเองที่ไม่อยากเกิด ไม่ใช่ธรรม

    ธรรมจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง สำนักไหนสำนักใดก็ตามที่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้อง สำนักนั้นไม่ใช่สำนักที่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราอยู่ที่สำนักไหน เราอยู่สำนักไหน มาจากที่ต่างๆ มาพบกันเพื่อที่จะฟังธรรม สนทนาธรรม เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่สำนักใดเลย เพราะว่าในครั้งพุทธกาลผู้ที่ศึกษาธรรมก็รู้ว่า สำนัก คือที่อยู่ เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าประทับที่ไหนที่นั่นเป็นสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์พาวรีอยู่ไหน นั่นก็เป็นสำนักของพราหมณ์พาวรี ช่างไม้อยู่ไหน จะไปหาช่างไม้ ไปหาที่ตลาดได้ไหม หรือก็ต้องไปสำนักของช่างไม้ นี่คือธรรมดาๆ ต้องเข้าใจทุกคำให้ถูกต้อง ไม่ใช่คิดเอง แต่ว่าธรรมลึกซึ้งที่เริ่มเข้าใจถูกต้องแล้วก็ต้องมั่นคง ธรรมต้องเป็นธรรม เมื่อได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะรู้ว่าความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และมั่นคงแค่ไหน เข้าใจในขณะที่ฟัง แล้วก็ลืม เพราะฟังมากี่ชาติ หรือว่าเพิ่งฟังชาตินี้ และก็ต่อไปจะได้ฟังอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ เมื่อพูดถึงสำนักก็รู้ว่าคือที่อยู่ธรรมดา แต่เมื่อมีสำนักปฏิบัติ ความหมายเปลี่ยนไป แล้วเอาคำอีกคำหนึ่งมาต่อเป็น สำนักปฏิบัติวิปัสสนา ยิ่งแย่ ใช่ไหม เพราะเหตุว่าวิปัสสนาคืออะไร ไม่ใช่เเค่ปัญญาขั้นฟัง แต่ทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราและความไม่รู้ แต่ต้องด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่าธรรม ค่อยๆ ชินกับสภาพธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะว่าตอนนี้ไม่ชินเลย พูดถึงธรรมก็พูดไป แต่เราก็นั่งอยู่ตรงนี้ ใช่ไหม จนกว่าจะชินกับคำว่าธรรม นานเท่าไรกว่าจะชิน เพราะว่าไม่รู้มานานเท่าไหร่ จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะประมาทว่าคำของพระองค์ง่าย ไปตั้งสำนักปฏิบัติ ไปนั่ง นอน ยืน เดิน แล้วทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะเป็นพระโสดาบัน หรือว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเป็นการประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา ชัดเจน ไม่ใช่เพียงเเค่ฟัง ซึ่งเป็นวิปัสสนา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    14 พ.ค. 2568