ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
ตอนที่ ๑๑๐๑
สนทนาธรรม ที่ กรมวิชาการเกษตร
วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.กุลวิไล ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นคือความเป็นชาวพุทธ
ท่านอาจารย์ อยากรู้จักชาวพุทธไหม หรือว่ารู้จักแล้ว เป็นสิ่งซึ่งละเอียด เพราะไม่ใช่เเค่คิดว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่ถ้ามีคนถามว่าชาวพุทธรู้อะไร จะตอบว่าอย่างไร ทุกคนเป็นชาวพุทธแล้วใช่ไหม ถ้ามีคนที่ไม่รู้จักชาวพุทธถามว่า ชาวพุทธรู้อะไร คนที่เป็นชาวพุทธจะตอบว่าอย่างไร ต่างคนก็ต่างตอบได้ตามที่เป็นว่าเป็นชาวพุทธรู้อะไร มีใครจะตอบบ้างไหม การสนทนาธรรมเป็นประโยชน์มาก เมื่อได้มีการได้ฟังคำของแต่ละคนแต่ละความคิด เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าคำใดสามารถที่จะได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้นอีกบ้าง เป็นประโยชน์ต่อการที่เคยเข้าใจเพียงผิวเผินหรือเพียงเล็กน้อย เพราะแค่คำว่าชาวพุทธลึกซึ้งไหม เพราะเหตุว่าชาวพุทธคือใคร คือผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นี่คือทั่วๆ ไป ใครๆ ก็ตอบอย่างนี้ ชาวพุทธคือผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ตอบเท่านี้เพียงพอหรือไม่ ถ้าเขาถามต่อไปว่า พระรัตนตรัยคืออะไร ก็จะต้องตอบให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องให้รู้จักจริงๆ ว่าควรค่าแก่การที่จะนับถือ และเป็นชาวพุทธ มิเช่นนั้นแล้วเป็นชาวพุทธโดยไม่รู้สิ่งที่ควรค่าแก่การที่ทำให้เป็นชาวพุทธ ก็ไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้แต่ละคำลึกซึ้งมาก คำของใครที่จะได้ฟัง และสนทนากัน ก็เป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย ไม่ใช่คำของคนโน้น คำของคนนี้ เพราะเขาไม่ได้ตรัสรู้ เขาไม่ได้รู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นคำที่เรามีโอกาสจะได้ฟังสืบสืบต่อกันมา โดยที่เราไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ว่ามีโอกาสจะได้ยินคำซึ่งคนที่ได้เฝ้าฟังธรรมจากพระโอษฐ์เเละมีความเข้าใจ สืบทอดมาจนกระทั่งถึงเรา จนกระทั่งสามารถที่จะกล่าวได้ว่าเราเป็นชาวพุทธ เพราะเราเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นชาวพุทธแต่ว่าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะฉะนั้นถ้ามีคำถามว่าชาวพุทธรู้อะไร ตอบว่าอย่างไร หรือตอบว่าชาวพุทธไม่รู้อะไร จริงไหม ชาวพุทธไม่รู้อะไร พระรัตนตรัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นรัตนะสูงสุดในสากลจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะในประเทศหนึ่งถิ่นฐานใดที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่ไม่ว่าที่ไหนในโลกในสากลจักรวาลทั้งหมด ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเสมอด้วยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงชื่อที่เราจำ แต่ต้องรู้ว่าพระอรหันต์คือใคร พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แล้วเราเป็นใคร ต่างกันมากมายไหม เราเป็นผู้ที่มีกิเลสเพราะไม่รู้อะไรที่จะดับกิเลส ไม่ใช่ว่าใครมาบอกเราให้ละไม่ให้มีกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เพราะฉะนั้นจากการที่เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสทั้งวัน ตลอดชีวิต จะถึงความเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสอีกต่อไป ต้องดับกิเลสตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่ากิเลสมีมากมายประมาณไม่ได้เลย คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนันตะ ไม่สามารถที่จะกล่าวให้หมดได้เลยอย่างไร กิเลสของแต่ละคนที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ก็อย่างนั้น แล้วจะดับให้หมดได้เลยทันที ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธรู้คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลสไม่เหลือเลย ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วก็ตรัสรู้ธรรมที่จะทำให้ดับกิเลสด้วยพระองค์เอง ในพระชาติที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว พร้อมที่จะได้รู้ความจริงถึงความเป็นผู้ที่สูงสุดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น คือเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ด้วยตนเอง รู้เองยากไหม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมก็ไม่รู้แน่นอน ฟังคำของคนอื่นก็ไม่รู้
การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าแต่ละคำลึกซึ้ง และเป็นประโยชน์มีค่ามหาศาลนับไม่ได้เลย เพราะก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เกิดมาก็ไม่รู้ ต่างกันไปตั้งแต่เกิดแต่ละคน เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง สิ้นชีวิตไปตั้งแต่อายุน้อยบ้าง มากบ้าง เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตก็หลากหลาย ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สิ่งที่เคยไม่รู้มาทั้งหมดนั้น ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งถูกปิดบังมานานในสังสารวัฏฏ์แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ค่อยๆ เปิดเผยให้เข้าใจถูกต้อง ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็น "สาวก" คือแม้ว่าไม่มีบารมีที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ธรรมด้วยตัวเอง แต่ก็ยังเป็นผู้ฟัง มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ แล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง
พระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ ได้แก่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ซึ่งสามารถที่จะนำไปสู่การดับกิเลส คนมีกิเลสกับคนไม่มีกิเลส หรือคนมีกิเลสน้อย ทุกคนก็ต้องรู้ความต่างกันใช่ไหม คนกิเลสมากเป็นอย่างไร พฤติกรรมทางกาย ทางวาจา เกิดจากใจซึ่งเป็นไปด้วยกิเลสมากเท่าไหร่ การกระทำทางกายวาจาก็เป็นอย่างนั้น ถ้ากิเลสน้อยลง ความดีก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ ดับกิเลส ตามลำดับขั้น จนกระทั่งจากความเป็นพระโสดาบันบุคคล ดับความเห็นผิด ความสงสัยในสิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏในโลกทุกอย่าง เพราะไม่รู้จึงสงสัย แล้วจะไปเอาคำตอบมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็มีตามความเป็นจริงว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ นี่ก็แสดงถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ว่า ธรรมรัตนะ คือสิ่งที่สามารถนำไปสู่การรู้ความจริง ซึ่งก็คือปัญญา ก่อนฟังธรรมมีปัญญาหรือเปล่า มีปัญญาตามสมุดพก หรือว่ารายงานของครูบาอาจารย์ ท่านผู้นี้มีปัญญามาก รู้นั่นรู้นี่ สอบได้ปริญญาตรี โท เอกหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าไม่รู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตที่เกิดมาต่อให้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วน รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่อยู่ตรงนี้ เกิดมาเป็นคนนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่จะสิ้นสุดความเป็นคนนี้ ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ล่วงหน้าเลย ว่าใครจะจากโลกนี้ไปเร็วหรือช้าแค่ไหน อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า หรืออีก ๑๐ ปี ๒๐ ปีก็ได้ แต่อยู่ตลอดไม่ได้แน่ ต้องไป ต้องจากไป จากไปแล้วก็ลืมหมด ไม่มีใครสามารถที่จะจำได้ ไม่เหลืออะไรอีกเลย
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ควรมีสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้เกิดมาแล้ว ไม่ได้จากไปด้วยการไม่รู้ความจริง สะสมความไม่รู้ สะสมกิเลสไปมากมาย เเต่สามารถที่จะเห็นว่าสิ่งที่มีค่าสำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ คือสามารถได้ฟังคำที่จะทำให้เกิดปัญญา และรู้จักบุคคลที่ประเสริฐสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงหนทางที่จะทำให้กิเลสซึ่งมีมากในใจของทุกคนลดน้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้ เมื่อไหร่รู้แจ้งความจริงถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลส เป็นพระอริยบุคคลเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนถึงพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด ผู้นั้นเป็นรัตนะ ซึ่งเป็นสังฆรัตนะ
พระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ ได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมรัตนะ ธรรมที่เป็นปัญญาที่นำไปสู่การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ ทำให้ผู้ที่รู้ความจริงนั้นเป็นผู้ที่เป็นรัตนะ เป็นหมู่คณะของผู้ที่ดับกิเลส เพราะฉะนั้นเราอยู่ในหมู่คณะของผู้ที่ไม่ได้ดับกิเลส แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อย จะนำไปสู่สังฆรัตนะ คือในหมู่ของผู้ที่ประเสริฐ โดยการเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นชาวพุทธรู้อะไร เริ่มคิดหรือยังสำหรับชาวพุทธว่ารู้อะไร หรือยังไม่เคยมีใครถาม แต่ถ้าเขาถามจะตอบได้ไหมว่าชาวพุทธรู้อะไร ถ้าไม่ศึกษาไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้เองได้ไหม ถ้ารู้เองก็ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ารู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นประโยชน์จริงๆ ว่าไม่มีใครสักคนที่สามารถที่จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจนั้นได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรม ก็จะมีความนอบน้อมเคารพอย่างยิ่ง เป็นชาวพุทธที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย ก็จะตอบคนอื่นได้ว่า ชาวพุทธคือผู้ที่รู้จักพระรัตนตรัย รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการฟังคำของพระองค์ และอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ตามพระองค์ด้วย แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้เป็นชาวพุทธหรือเปล่า ก็น่าคิดทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ถามว่าชาวพุทธรู้อะไร ก็มีชาวพุทธ ๒ พวก ชาวพุทธที่รู้ กับชาวพุทธที่ไม่รู้
อ.วิชัย ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงกล่าวว่าเป็นชาวพุทธ แต่ว่าต้องหมายถึงว่า รู้แล้วก็เข้าใจอะไร พุทธหมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้นการที่จะเป็นชาวพุทธ จะปราศจากความรู้ ความเข้าใจในความจริง ไม่ได้เลย กราบเรียนถามว่า ความรู้ที่เกิดขึ้น ความรู้นั้น รู้อะไร
ท่านอาจารย์ ก็น่าคิด เมื่อครู่เราพูดถึง ๓ คำ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง รู้จักโดยรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เลิศด้วย พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ ปัญญานั้นสามารถดับกิเลสได้ และพระมหากรุณาคุณ ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม จนกระทั่งเรามีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ซึ่งใช้คำว่าธรรม ทำไมใช้คำว่าธรรม แล้วใช้คำสอนของพระองค์ว่าพระธรรม เพราะเหตุว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เวลาที่ฟังธรรม ต้องทิ้งการที่เราเคยคิดเองทั้งหมดไป เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่เคยฟังธรรมเลย ถามว่าธรรมคืออะไร ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลยจะตอบว่าธรรมคืออะไร คุณอรรณพบอกว่าธรรมชาติ ก็ยังต้องถามต่อไปอีก ธรรมชาติคืออะไร เพราะเหตุว่าคำตอบที่ถูกต้องถึงที่สุดคือความจริงของสิ่งนั้น ถ้ายังตอบไม่หมด ก็หมายความว่ายังไม่รู้จักความจริงของสิ่งนั้นเลย
ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้สั้นๆ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตอบได้ไหมว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะต้องถามต่อไปอีก จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่านั่นแหละคือธรรม เพราะฉะนั้นแค่บอกว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถูกต้องไหม ถ้าไม่มีจริง เราจะพูดถึงสิ่งที่ไม่มีทำไมให้เสียเวลา แต่ว่าสิ่งนั้นต้องมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริงอยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า นี่คือสิ่งซึ่งถ้าเราไม่คิดไม่ไตร่ตรอง เพียงฟังเขาก็ไม่สามารถที่จะเกิดปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้องได้
คำที่คิดไม่ถึงก็คือ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย แล้วอยู่ไหน ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ต้องมี ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มี จะกล่าวว่าสิ่งนั้นมีจริงได้อย่างไร แค่คำเดียวแสดงความต่างห่างไกลแสนไกล ระหว่างพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับผู้ที่สะสมกิเลส อกุศลความไม่รู้มาแสนนานในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้ กี่แสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีจริงไหม คำตอบก็คือว่า เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็ต้องมี เดี๋ยวนี้มีธรรมแน่นอน แต่ถ้าไม่ฟังธรรม รู้ไหมว่า อะไรที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรม จะหาได้ไหม
ผู้ฟัง ตัวเองก็คิดว่าทุกวันในชีวิตเราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่เอาของใคร คิดว่าก็เป็นความดีแล้ว บางทีอาจจะไม่ต้องเข้าวัดก็ได้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เพราะเรารู้แล้ว
ผู้ฟัง ยังไม่รู้ เราต้องฟังให้ท่านบอกกล่าว เพราะเราคงไม่รู้ว่าเกิดแก่เจ็บตาย ทุกคนต้องเจอ ถ้าไม่มีใครสอน เราอาจจะอยากจะมีกิเลสมากกว่านี้ เราต้องฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ แต่คำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้หรือเปล่า เพราะเหตุว่าเพียงเท่านี้ฟังดูก็เหมือนความคิดของแต่ละคน ซึ่งสามารถที่จะคิดไตร่ตรองได้ ฟังโน่น ฟังนี่ ฟังคนนั้นคนนี้ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าทุกคนก็เกิดแก่เจ็บตาย เมื่อเกิดแก่เจ็บตายแล้วจะไปติดข้องอะไร ก็พูดกันอย่างนี้ว่าให้ละเสีย ให้ปล่อยวางเสีย แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องต่างจากคำของคนอื่น เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง หรือว่าเพียงแต่ฟังความคิดความเห็นของคนทั่วๆ ไป ซึ่งก็พูดกันอย่างนี้ ต้องต่างจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแต่ละคำถ้าไม่ไตร่ตรองให้เข้าใจจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าแม้มีก็ยากที่จะรู้ เพราะฉะนั้นถ้าฟังตามลำดับ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรมเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริง มีแน่ๆ
ท่านผู้หนึ่งตอบว่ามีชีวิตอยู่ ชีวิตคืออะไร ทุกคำมีคำตอบในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรง ชัด ลึก จริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พูด คนอื่นก็พูดเรื่องชีวิต แล้วก็รู้ว่าชีวิตก็มีจริงๆ ด้วย ก็ยังคงเป็นคำของคนอื่น ยังไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต่างกับคนอื่นซึ่งคิดไม่ถึงด้วย ลองคิดอีกก็ได้ ชีวิตมีจริง ใครๆ ก็รู้ว่าชีวิตมีจริง ใช่ไหม แต่นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสิ่งนั้นก็กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ด้วย บอกเพิ่มได้อีกว่ามีจริงทุกแห่ง ทุกเมื่อ ทุกขณะ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แต่อยากให้คิดว่า อะไรที่มีจริง ทุกหนทุกแห่ง
ผู้ฟัง ปัญญา
ท่านอาจารย์ ปัญญาคืออะไร ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ คนหนึ่งคิดว่าปัญญาคืออย่างนี้ อีกคนหนึ่งคิดว่าปัญญาคืออย่างนั้น แต่ว่าปัญญาจริงๆ นั้นคืออะไร มีผู้ตอบว่า ...
อ.อรรณพ มีพุทธะในตัวเอง
ท่านอาจารย์ อย่างนั้นไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีแล้ว ใช่ไหม แต่ว่าไม่ใช่ ไม่มี และเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจึงมี ก่อนฟังไม่มี มีอย่างอื่น มีกิเลสมาก แต่ว่าสิ่งที่มีเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือความเห็นที่ถูกต้อง จากคำธรรมดาง่ายๆ แล้วก็ค่อยๆ รู้ว่านี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดถึงสิ่งที่มีจริง ธรรมดาด้วย มีอีกไหม
อ.อรรณพ ความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ น่าฟัง แต่ว่าอะไรที่เปลี่ยนแปลง ที่ไม่แน่นอน
ผู้ฟัง จิตหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ จิตคืออะไร ทุกคนรู้คร่าวๆ รู้ง่ายๆ รู้นิดหน่อย ไม่ชัดเจน เช่นคำว่า จิต ทุกคนก็บอกว่ามีจิต แต่เท่านั้นไม่พอ นั่นไม่ใช่การรู้ ถ้าการรู้จริงต้องจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงจิตอย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ที่ตอบว่าจิต จิตมีจริง แต่จิตคืออะไร
ผู้ฟัง เหมือนเป็นความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอารมณ์เรา ว่าเราต้องการสิ่งใด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ขณะนี้จิตอะไร ประเภทไหน กำลังมีจิตกันทุกคน แต่ไม่มีใครรู้จักจิต จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แต่คิดได้ เเล้วจะได้รู้ว่าที่เคยคิด ใครๆ ก็คิด แต่ละคนก็แต่ละความคิด แต่อาศัยพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ ใช้คำว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่ไปคิดอย่างนักปรัชญา แต่จากการรู้ความจริง แทงตลอดสภาพนั้นที่มีจริงๆ ต่างกันแล้วใช่ไหม ปัญญาต่างระดับขั้น ปัญญาขั้นคิดกับปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งก็ต้องต่างกัน เดี๋ยวนี้มีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จิตอะไร ง่ายมากเลย จิตเห็น จิตได้ยิน กำลังเห็น คือจิตที่เห็น กำลังได้ยินก็คือจิตได้ยิน เพราะ จิตเป็นธาตุที่เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในโลกทั้งหมด กี่โลกก็ตามแต่ ก็มีสภาพที่ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือ อย่างหนึ่งเกิดแล้วไม่รู้อะไร แข็ง ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่จำ ไม่หิว ไม่โกรธ แต่สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือธาตุรู้ ธาตุ คือ ธา-ตุ หมายความว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธาตุแต่ละหนึ่ง ธาตุหมายความว่าสิ่งนั้นไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย ทรงไว้ซึ่งภาวะความเป็นสิ่งนั้น แข็งเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้ เสียงเป็นเสียง เป็นแข็งไม่ได้ เห็นเป็นเห็น เห็นได้ยินไม่ได้ คิดเป็นคิด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งไป ทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรม ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเริ่มเป็นชาวพุทธที่รู้จักธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ๔๕ พรรษา ให้มีความเข้าใจในประโยคที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตั้งต้นอย่างนี้จึงจะรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด อนัตตา หมายความว่าอะไร คุณวิชัย
อ.วิชัย คือเป็น สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจ และบังคับบัญชาไม่ได้
ท่านอาจารย์ เราคุ้นกับคำว่า อัตตา คือ เรา สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ดอกไม้เป็นดอกไม้ แสดงว่าเป็นสิ่งหนึ่ง อัตตา ดอกไม้ไม่ใช่โต๊ะ โต๊ะก็เป็นโต๊ะ เก้าอี้ก็เป็นเก้าอี้ ก็เป็นแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงยั่งยืนเป็นอัตตา แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็น อนัตตา ไม่ใช่เรา เห็นเกิดแล้วหมดแล้ว ถ้าเห็นเป็นเรา เราต้องหายไปแล้ว ได้ยิน กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย มีธรรมอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เข้าใจว่าเป็นเรา เข้าใจว่าเป็นเขา เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ซึ่งล้วนเป็น อัตตา ทั้งหมด
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
